24 ก.ค. 2023 เวลา 02:18 • ประวัติศาสตร์

"พีท เบสต์ (Pete Best)" เต่าทองที่ถูกลืม

เมื่อพูดถึง “สี่เต่าทอง (Fab Four)” หลายคนคงนึกถึงวงดนตรีระดับตำนานอย่าง “เดอะบีทเทิลส์ (The Beatles)”
เดอะบีทเทิลส์ เป็นวงดนตรีที่สร้างปรากฎการณ์ต่างๆ มากมาย และเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้
อีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจก็คือเรื่องของ “พีท เบสต์ (Pete Best)” อดีตมือกลองของเดอะบีทเทิลส์ ซึ่งดูเหมือนเรื่องราวของเขาจะเป็นที่ถูกลืมไปแล้ว
ลองมาดูเรื่องราวของเขากันครับ
“พีท เบสต์ (Pete Best)” หรือชื่อแรกเกิดคือ “รานดอล์ฟ ปีเตอร์ สแกนแลนด์ (Randolph Peter Scanland)” เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) ที่อินเดีย
พีท เบสต์ (Pete Best)
พ่อของเขานั้นเสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนแม่ของเขา “โมนา เบสต์ (Mona Best)” ได้แต่งงานใหม่กับ “จอห์นนี เบสต์ (Johnny Best)” ในปีค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) ทำให้พีทได้หันมาใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยง
ภายหลังจากที่โมนาแต่งงานใหม่ ครอบครัวเบสต์ก็ย้ายกลับมายังถิ่นฐานเดิมที่อังกฤษ และโมนาก็ต้องการจะอยู่อาศัยในบ้านหลังใหญ่ที่สะดวกสบาย เธอจึงนำเครื่องเพชรทั้งหมดที่มีไปขาย และนำเงินที่ได้ไปเล่นพนันแข่งม้า และก็ชนะซะด้วย
1
หลังจากชนะแข่งม้า โมนาก็นำเงินที่ได้ไปซื้อคฤหาสน์สไตล์วิกตอเรียหลังใหญ่ มีห้องนอนถึง 15 ห้อง และได้ซื้อกลองชุดให้พีท ซึ่งภายหลัง พีทก็ได้ตั้งวงดนตรีของตนเองชื่อว่า “เดอะแบล็คแจ็คส์ (The Black Jacks)”
ด้วยความที่บ้านใหม่นั้นหลังใหญ่ มีเนื้อที่กว้างขวาง พีทจึงขอใช้พื้นที่บางส่วนในบ้านเป็นสถานที่ที่พีทและเพื่อนๆ จะรวมกลุ่มฟังเพลงกัน ซึ่งโมนาก็ไม่ได้ว่าอะไร และอนุญาตให้ใช้ห้องใต้ดินทำเป็นคอฟฟีคลับ
โมนา เบสต์ (Mona Best)
ในไม่ช้า คอฟฟีคลับที่ห้องใต้ดินก็กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับวงดนตรีใหม่ๆ ที่ต้องการจะแสดงฝีมือ มีวงดนตรีมาแฮงค์เอาท์มากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือวง “เดอะควอรีเมน (The Quarrymen)”
สมาชิกของเดอะควอรีเมนประกอบด้วย “จอห์น เลนนอน (John Lennon)” “พอล แม็คคาร์ทนีย์ (Paul McCartney)” “จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison)” ตบท้ายด้วย “สจ๊วต ซัตคลิฟฟ์ (Stuart Sutcliffe)” ซึ่งเข้าร่วมวงในภายหลัง
2
เดอะควอรีเมนสนใจจะมาเล่นดนตรีที่คอฟฟีคลับนี้ และโมนาก็อนุญาต แลกกับการที่สมาชิกของวงช่วยเธอทาสีผนังของคลับให้เสร็จ
1
ในไม่ช้า เดอะควอรีเมนก็สามารถเรียกแขกเข้ามาในคอฟฟีคลับได้เป็นจำนวนมาก หากแต่จุดอ่อนของวงก็คือการที่วงยังไม่มีมือกลอง โดยในเวลานั้น วงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “เดอะบีทเทิลส์ (The Beatles)” และได้รับการติดต่อให้ไปเล่นดนตรีที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี
(จากซ้ายไปขวา) จอร์จ จอห์น และพอล
ด้วยความที่จำเป็นต้องมีมือกลองอย่างเร่งด่วน ทางวงเลยให้พีทเป็นมือกลองโดยไม่จำเป็นต้องออดิชั่นก่อน และอีกอย่าง พีทก็เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นและบุคลิกที่ดูแบดๆ ทางวงจึงคาดหวังว่าพีทน่าจะเรียกแฟนๆ สาวๆ ให้กับวงได้
อีกข้อก็คือ พีทสามารถพูดภาษาเยอรมันได้ ทำให้การติดต่อสื่อสารน่าจะง่ายขึ้นเมื่ออยู่ที่เยอรมนี
ในช่วงที่อยู่ฮัมบูร์ก ชื่อเสียงของเดอะบีทเทิลส์ก็โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่วัยรุ่นเยอรมัน หากแต่ด้วยความพิเรนของพีทและพอล ก็ทำให้เกิดเรื่องเข้าจนได้
พีทและพอลได้นำถุงยางไปแปะไว้กับผนังและจุดไฟ โดยเจตนาแค่ต้องการจะเล่นสนุกๆ หากแต่เจ้าของคลับไม่สนุกด้วย และแจ้งความกับตำรวจ ทำให้ทั้งพีทและพอลถูกส่งกลับไปอังกฤษ ตามมาด้วยจอร์จที่ถูกส่งกลับมาภายหลังเนื่องจากถูกจับได้ว่าอายุไม่ถึงเกณฑ์
เดอะบีทเทิลส์ตัดสินใจกลับมายังลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ยกเว้นสจ๊วตที่เลือกจะอยู่เยอรมนีต่อ
ถึงแม้จะเคยเกิดเรื่องวุ่นๆ ที่ฮัมบูร์ก แต่เดอะบีทเทิลส์ก็ได้กลับไปยังเยอรมนีอีกครั้งในปีค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) และก็ได้รับโอกาสสำคัญ นั่นคือได้ร้องแบ๊คอัพให้ศิลปินดังอย่าง “โทนี เชอริดัน (Tony Sheridan)”
การได้ร้องแบ๊คอัพให้ศิลปินดังทำให้วงยิ่งโด่งดังมากกว่าเดิม และเมื่อกลับมาอังกฤษ พวกเขาก็เปลี่ยนจากวงดนตรีกิ๊กก๊อก กลายเป็นวงที่วัยรุ่นจำนวนมากเริ่มสนใจ
เมื่อกลับมายังลิเวอร์พูล ผู้ที่ดูแลและทำหน้าที่เสมือนผู้จัดการแก่เดอะบีทเทิลส์ก็คือชายที่ชื่อ “ไบรอัน เอ็ปสไตน์ (Brian Epstein)”
ไบรอัน เอ็ปสไตน์ (Brian Epstein)
ไบรอันนั้นมองเห็นอนาคตในเดอะบีทเทิลส์ และตั้งใจจะทำให้วงโด่งดัง
ในวันปีใหม่ ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) ไบรอันก็ได้ตกลงกับบริษัทเดคคาเรคคอร์ดส์ (Decca Records) ให้เดอะบีทเทิลส์เข้ามาออดิชั่น
การออดิชั่นกับเดคคานับเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของเดอะบีทเทิลส์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของพีทกับเดอะบีทเทิลส์
เดคคานั้นไม่สนใจเดอะบีทเทิลส์และได้ปฏิเสธที่จะเซ็นสัญญาออกแผ่นเสียงกับวง แต่วงก็ยังคงวางใจให้ไบรอันเป็นผู้จัดการวง โดยสัญญาระหว่างไบรอันและวงก็ถูกเซ็นที่บ้านของพีท
อีกคนที่สนใจในตัวของเดอะบีทเทิลส์ก็คือ “จอร์จ มาร์ติน (George Martin)” โปรดิวเซอร์มือทอง
จอร์จ มาร์ติน (George Martin)
มาร์ตินนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ที่มีชื่อเสียงในวงการดนตรี และมาร์ตินก็คิดว่าเดอะบีทเทิลส์นั้นสามารถประสบความสำเร็จระดับสูงได้ หากแต่ข้อด้อยที่มาร์ตินมองเห็นอย่างเด่นชัด ก็คือมือกลอง
มาร์ตินมองว่าพีทนั้นไม่มีความสามารถพอ และอยากจะให้มือกลองที่มีประสบการณ์กว่านี้ ฝีมือดีกว่านี้เข้ามาแทนที่
ในไม่ช้า เรื่องการเปลี่ยนตัวมือกลองก็ถูกนำมาพูดถึงในวง ซึ่งจอห์น พอล และจอร์จก็ต้องตัดสินใจ
ทั้งสามรับทราบถึงการที่มาร์ตินต้องการจะเตะพีทออกจากวง หากแต่ก็ไม่ต้องการจะทำเองเนื่องจากพีทก็เป็นเพื่อนของพวกตน จึงขอให้ไบรอันเป็นคนไปคุยกับพีทเอง
ไบรอันก็ลังเลที่จะไล่พีทออกจากวงเนื่องจากพีทก็เป็นสมาชิกที่ได้รับความนิยมสูง เป็นที่ชื่นชอบในหมู่สาวๆ หากแต่จอห์น พอล และจอร์จต่างเห็นตรงกันว่าความนิยมในแฟนๆ ท้องถิ่นนั้นไม่ยั่งยืน การผลิตงานดนตรีที่มีคุณภาพต่างหากจะสามารถทำให้วงอยู่ได้ในระยะยาวและสร้างฐานแฟนคลับที่ใหญ่ขึ้นได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไบรอันจึงจัดการไล่พีทออกจากวง โดยพีทเล่นดนตรีกับเดอะบีทเทิลส์เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505)
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เดอะบีทเทิลส์ก็โด่งดัง กลายเป็นซุปตาร์ ในขณะที่ชื่อของพีทค่อยๆ จางหายไป
ภายหลังจากถูกไล่ออกจากวง พีทก็เสียใจหนักและขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลานานกว่าสองสัปดาห์ ไม่ยอมพบหน้าใครๆ หากแต่ไบรอันนั้นยังคงเป็นห่วงและติดต่อกับพีทเสมอ และแอบช่วยพีทตั้งวงดนตรีของตนเอง
พีทนั้นสามารถตั้งวงดนตรีของตนและได้เซ็นสัญญากับเดคคา หากแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก และหลังจากนั้น พีทก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเดอะบีทเทิลส์
นอกจากเรื่องฝีมือกลองที่อาจจะไม่ได้เก่งมากแล้ว อีกเรื่องที่หลายคนคาดเดากันไปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พีทโดนไล่ออกจากวง ก็เนื่องจากความหล่อเหลาของพีทที่เรียกแฟนๆ ได้จำนวนมาก สร้างความอิจฉาแก่สมาชิกคนอื่นๆ จึงหาเรื่องกำจัดออกไป
หากแต่เดอะบีทเทิลส์ที่เหลือก็ได้เปิดเผยว่า อันที่จริงนั้น พวกตนมีปัญหาในการสื่อสารกับพีท โดยกล่าวว่าพีทนั้นอยู่ในกรอบมากเกินไป พีทนั้นมักจะไม่ค่อยทันอารมณ์ขันของคนอื่นๆ และชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับเพื่อนๆ ในวง อีกทั้งยังไม่ยอมทำตามสมาชิกในวงคนอื่นๆ เช่น เรื่องทรงผมหน้าม้าซึ่งเป็นทรงผมยอดนิยมในยุคแรกๆ ของเดอะบีทเทิลส์ พีทก็ปฏิเสธที่จะตัดผมทรงนี้
อีกข้อที่หลายคนคาดเดาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พีทถูกไล่ออก ก็คือความขัดแย้งระหว่างไบรอันกับโมนา แม่ของพีท
ก่อนที่ไบรอันจะเข้ามา โมนาเป็นผู้ดูแลเดอะบีทเทิลส์ หากแต่เมื่อไบรอันเข้ามา โมนาก็ถูกลดความสำคัญลง จึงเชื่อกันว่าที่พีทถูกไล่ออกจากวง ก็เพื่อกันไม่ให้โมนาเข้ามายุ่งกับวงได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร ทั้งจอห์น พอล และจอร์จ ต่างก็เปิดเผยในภายหลังว่ารู้สึกเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
สำหรับชีวิตหลังจากออกจากวง พีทได้แต่งงานในปีค.ศ.1963 (พ.ศ.2506) และอยู่กับภรรยามาจนถึงทุกวันนี้ และออกจากวงการดนตรี
ด้วยความที่เป็นผูัมีการศึกษาสูงที่สุดในเดอะบีทเทิลส์ พีทจึงได้เข้ารับราชการ มีอาชีพการงานที่มั่นคง
เมื่อเวลาผ่านไป พีทเริ่มเปิดปากให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเดอะบีทเทิลส์มากขึ้น และถึงแม้จะเลิกคบกับเพื่อนในวงแล้ว พีทก็ยอมรับว่าตนนั้นสะสมแผ่นเสียงของเดอะบีทเทิลส์ อีกทั้งยังกล่าวว่าตนนั้นก็เป็นแฟนเพลงคนหนึ่งของเดอะบีทเทิลส์
3
ทางด้านจอห์นนั้นก็ยังคงรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับโมนา และในอัลบั้ม “Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band” ก็ได้ขอยืมเหรียญกล้าหาญในสงครามซึ่งเป็นของพ่อโมนา เอามาเป็นของประกอบฉากในหน้าปกอัลบั้ม
ในปีค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) พีทได้กลับสู่วงการดนตรีอีกครั้ง โดยตั้งวงของตน และถึงแม้พีทจะไม่ได้รับผลประโยชน์มากเท่าเดอะบีทเทิลส์คนอื่นๆ แต่ในปีค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) พีทก็ได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นจำนวนระหว่าง 1-4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 44-176 ล้านบาท) เนื่องจากในอัลบั้มแรกๆ นั้น มีเสียงกลองที่พีทเป็นผู้เล่นอยู่
3
พีทในปัจจุบัน
ในทุกวันนี้ พีทมีอายุย่าง 82 ปี และยังคงออกทัวร์กับวงดนตรีของตน และได้ชื่อว่าเคย “เกือบ” จะได้เป็นซุปตาร์ระดับตำนานไปแล้วหากไม่ถูกไล่ออกซะก่อน
โฆษณา