29 ก.ค. 2023 เวลา 09:27 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

9 เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ ก่อนจะดูหนังดังแห่งยุค Oppenheimer ให้สนุกและได้อรรถรส

วงการภาพยนตร์ขณะนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์เป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลก ที่เรียกว่า “บาร์บี้ไฮเมอร์”
กล่าวคือมีหนังที่เปิดตัวพร้อมกัน 2 เรื่อง แต่เป็นคนละแนวกัน แบบชนิดสุดโต่งเลยทีเดียว
สองภาพยนตร์ดังแห่งยุคในขณะนี้
เรื่องแรกคือ เรื่องเกี่ยวกับตุ๊กตาบาร์บี้ และเรื่องที่สองคือ Oppenheimer ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การสร้างระเบิดปรมาณูของสหรัฐอเมริกา
โดยหนังดังยอดฮิตเรื่อง Oppenheimer นั้นเป็นหนังหนัก ดูไม่ง่าย รายละเอียดมาก ซึ่งมีความยาวมากถึง 3 ชั่วโมง
แต่สมควรที่จะต้องดูหนังหรือชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะสร้างขึ้นมาจากเรื่องจริงของประวัติศาสตร์โลกที่เนื้อหาหนักมาก แต่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี
ดร.ไฮเมอร์
เป็นเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์สหรัฐอเมริกาเชื้อสายยิวคนสำคัญ ผู้ดูแลโครงการแมนฮัตตัน จนเกิดการสร้างระเบิดปรมาณูหรือระเบิดอะตอม (Atomic Bomb) สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก
ในระหว่างการดำเนินเรื่อง จะได้เห็นภาพประวัติศาสตร์สำคัญระหว่างสองนักวิทยาศาสตร์สำคัญระดับโลก คือ ไอสไตน์และไฮเมอร์ที่ได้พูดคุยกัน
จะได้รับทราบเรื่องราวความยุ่งยากซับซ้อนทางวิชาการ โดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์ ในเรื่องที่เหลือเชื่อและคนคิดไม่ถึงในสมัยนั้น เรื่องสสารและพลังงาน
ได้รับรู้เรื่องราวของสหรัฐอเมริกาในการร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง การตัดสินใจของฝ่ายต่างๆที่จะใช้ระเบิดปรมาณู ซึ่งทราบว่ามีอานุภาพร้ายแรงและจะทำลายชีวิตผู้คนพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสงครามเป็นจำนวนมาก
ได้พบและรับทราบเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลในภายหลังเกือบ 10 คน มารวมตัวกันอยู่ในโครงการแมนฮัตตันที่พัฒนาระเบิดปรมาณู
ดร.ไฮเมอร์กับหญิงคนรักที่ไม่ใช่ภรรยา
รวมทั้งหนังเรื่องนี้ถูกจัดเป็นเรท R ด้วยฉากระหว่างไฮเมอร์กับหญิงคนรักที่ไม่ใช่ภรรยาของตนเอง
ภาพยนตร์ดังกล่าว ได้เปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 โดยทุนสร้างมากกว่า 3500 ล้านบาท และขณะนี้ได้โกยรายได้ไปแล้วมากถึง 6000 ล้านบาท
ซึ่งนับเป็นรายได้สูงที่สุดของผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ซึ่งเคยกำกับภาพยนตร์ดังที่เรารู้จักกันดี เช่น เรื่องแบทแมน(Batman)
ด้วยความที่หนังเรื่องนี้มีความยาวและรายละเอียดมาก สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องฟิสิกส์สมัยใหม่ ประวัติศาสตร์โลกในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และพฤติกรรมศาสตร์
อาจจะทำให้ได้รับอรรถรสน้อย ก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายระหว่างชมได้ ทั้งที่เป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจและมีความสำคัญเป็นอย่างมากก็ตาม
จึงขอสรุปประเด็นสำคัญ 9 ประเด็นที่ผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ควรได้รับทราบไว้ก่อน ก็จะชมภาพยนตร์ได้อย่างมีความเข้าใจ สนุก มีอรรถรส และประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
พระเอก
โดยจะเป็นประเด็นทางด้านฟิสิกส์ 4 ประเด็น ทางด้านประวัติศาสตร์โลก 4 ประเด็น และทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ 1 ประเด็น ดังนี้
1
1) ต้องเข้าใจเรื่องของสสารว่า สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ซึ่งเดิมเราเชื่อกันมาโดยตลอดว่า สสารและพลังงานเป็นคนละเรื่องกัน
1
จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังคืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้สร้างทฤษฎีและคำนวณสูตรคณิตศาสตร์เอาไว้คือ E = mC2
นางเอก ภรรยาดร.ไฮเมอร์ ที่รักชาติมากกว่าตัวเอง
2) การเกิดพลังงานอย่างมหาศาลจากสสารนั้น เกิดได้อย่างน้อยสองรูปแบบด้วยกัน คือ
2.1 ปฏิกิริยา Fission หรือการทำให้อะตอมขนาดใหญ่ เช่น ยูเรเนียม หรือพลูโตเนียมแตกตัวออก แล้วปลดปล่อยพลังงานออกมา เป็นกลไกที่นำมาผลิตระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb)
2.2 ปฏิกิริยา Fusion ซึ่งจะมีพลังงานมากกว่าวิธีแรกหลายเท่า ก็คือการรวมอะตอมขนาดเล็ก เช่น ไฮโดรเจนสองอะตอม รวมกันกลายเป็นฮีเลียม แล้วเกิดการปลดปล่อยพลังงาน ซึ่งเราเรียกว่าระเบิดไฮโดรเจน (Hydrogen Bomb) ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นอยู่ในดวงอาทิตย์
ผู้แสดงที่ทำให้หนังเป็นเรท R
3) ฟิสิกส์ดังกล่าว เป็นเรื่องทางทฤษฎีมาโดยตลอด โดยไอสไตน์แล้วมีไฮเมอร์ (Oppenheimer) เป็นผู้นำมาปฏิบัติให้เห็นจริงได้
4) แม้ไฮเมอร์และทีมงานจะเก่งกาจเพียงใดก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่เคยมีความรู้มาก่อน การคำนวณความรุนแรงของระเบิดจึงผิดพลาดไปมากมาย รวมทั้งถึงการคาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตด้วย
5) ประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1939 หรือพ.ศ. 2482 เยอรมันโดยฮิตเลอร์ได้เริ่มบุกโปแลนด์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 และฮิตเลอร์ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนับล้านคน
ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายยิวที่เก่งกาจทางด้านฟิสิกส์เป็นจำนวนมาก ต้องหลบหนีออกมาสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้ามาสู่สหรัฐอเมริกา จนมาสร้างระเบิดปรมาณูในที่สุด
6) ตลอดสงคราม 6 ปีนั้น ท้ายที่สุดเยอรมันก็แพ้และฮิตเลอร์ได้ฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1945
แต่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมตั้งใจจะใช้ระเบิดปรมาณูเพื่อยับยั้งฮิตเลอร์ ก็ยังนำระเบิดปรมาณูดังกล่าวมาใช้กับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในภาวะสุดท้ายที่จะแพ้สงครามอยู่แล้ว
โดยประธานาธิบดีทรูแมนได้สั่งการให้ทิ้งระเบิดปรมาณู 2 ลูกที่ญี่ปุ่น
7) การทิ้งระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb) ดังกล่าวนั้น เริ่มต้นจากได้มีการทดลองระเบิดปรมาณูสำเร็จที่รัฐนิวเม็กซิโกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 1945
แล้วนำระเบิดปรมาณูไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 ทำมาจากยูเรเนียม 235
และในอีก 3 วันต่อมา 9 สิงหาคม 1945 ก็ได้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ทำด้วยพลูโตเนียม 239 ที่เมืองนางาซากิ
โดยในเบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่าน่าจะมีผู้เสียชีวิตในระดับ 20,000 คน แต่ผลสุดท้ายคือคนเสียชีวิตกว่า 200,000 คน และเกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน
Matt Damon
7) มีการถกเถียงกันมากมายกับการทิ้งระเบิดปรมาณูทั้งสองลูกดังกล่าวว่า แม้จะได้ช่วยชีวิตทหารทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสหรัฐอเมริกาหรือสัมพันธมิตรและฝ่ายญี่ปุ่น จึงเป็นประโยชน์ของการทิ้งระเบิดปรมาณู
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีการโต้แย้งว่า ชีวิตที่ได้รับการช่วยไว้นั้นเป็นทหาร แต่ชีวิตที่ต้องแลกมา กลับเป็นชีวิตพลเรือน 200,000 คนใน 2 เมืองดังกล่าว ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย
1
8) สหภาพโซเวียตในขณะนั้น ยังเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส โดยที่ฝ่ายอักษะประกอบด้วยเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
9) ภาพยนตร์จะทำให้เห็นความน่าสนใจของเรื่อง การรักชาติมากกว่าการรักตัวเอง โดยภรรยาของไฮเมอร์ แม้จะไม่พอใจสามีอย่างรุนแรงที่มีผู้หญิงอื่น แต่ก็ยังคงสนับสนุนและให้กำลังใจสามี เพื่อให้ทำระเบิดปรมาณูให้สำเร็จ เพื่อชาติอันเป็นที่รักของตน
ภรรยาไฮเมอร์เมื่อทราบความจริง
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีนักการเมืองที่รักตัวเองมากกว่ารักชาติ สามารถกลั่นแกล้งไฮเมอร์ จนกระทั่งถูกสอบสวนมากมาย สร้างความยากลำบากตลอดเรื่อง
เรื่องการเชื่อมั่นในตนเอง การอวดดีถือดีของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักการทหาร และนักการเมืองที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
1
ภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงจัดเป็นภาพยนตร์ที่ต้องดู เพียงแต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อให้การชมภาพยนตร์ สนุก ได้อรรถรส และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ผู้กำกับ : คริสโตเฟอร์ โนแลน
จัดจำหน่าย : โดยยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ส
ดนตรี : ลุดวิก เยอรันส์ซอน
ดารานำ : Cillian Murphy แสดงเป็นOppenheimer
Emily Blunt
Matt Damon
Robert Downey Jr.
Florence Pugh
โฆษณา