31 ก.ค. 2023 เวลา 08:55 • ความคิดเห็น
เมื่อเราลองไปอ่านดู เรื่องราวชาดก ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็บำเพ็ญ อยู่ในรอยของคำว่า สะสมทาน บุญกุศล บารมี เรื่องทาน ..เป็นเรื่องของการข่วนเหลือเกื้อกูลกัน ช่วยเหลือ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ลำบาก ..เราก็ช่วยเหลือ เกื้อกูลกันไป ถึงคราวเราทุกข์ยาก เจ็บป่วย ถึงคราวจำเป็นต้องการความช่วยเหลือ แม้อยู่ในที่ลำบาก สิ่งที่เราเคยทำทานมา ก็จะมีผู้มาช่วยเหลือ ให้ผ่อนคลายทุกข์
เรื่องของบุญที่เราทำด้วยทรัพย์สิน เงินทอง บำรุงศาสนา ที่ช่วยชี้ทาง ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ เราทำน้อมถวายต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สอนให้ลดละโลภโกรธหลง เรามาทำไว้ในศาสนา อะไรที่ว่าศาสนา ก็นักบวช ที่ครองเครื่องหมาย ของธรรม ถือครองผ้ากาสาวพัสตร์ ว่าจะมาเดินตามรอยพระตถาคต ประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยของพระศาสดา
วัตถุสิ่งของที่เรานำมาทำบุญ ทำให้มันถูกวิธี ..เพื่อแปลงวัตถุสิ่งของให้เป็นบุญ เก็บไว้เป็นเสบียงให้แก่จิต ที่ต้องเดินทาง แล้วก็เก็บไว้ ..ไปถึงชาติหน้า เมื่ิอมาอาศัยกายมนุษย์ ..ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน ต้องใช้กายให้มีทุกข์ยากลำบาก ทำมาหากิน .ที่มีรายละเอียดมาก ในเรื่องอานิสงส์ของของการสร้างบุญกุศล ทำบุญฝากไว้กับใครอีก? ? .ที่เก็บเรื่องราวบุญกุศลไว้ให้ ..
แต่ปัญหามักเกิด เพราะเราทำบุญ ไปเรียกหากรรม มันจึงไม่เกิดเป็นคำว่าบุญเลย มันกลายเป็นว่าทำบุญ เพราะอยากได้กรรม ร่ำรวย เงินทอง ชื่อเสียง ลาภยศ ..ก็ต้องอยู่เฝ้าเวรกรรมที่ตนเองเรียกร้อง ทำบุญอุทิศเผื่อแผ่ให้เกิดเป็นอโหสิกรรม ..เอาแต่อยากมีอยากเป็นอยาได้ มันจะเกิดอโหสิกรรมมั้ย
เราก็ทำบุญกับเครื่องหมายของธรรม พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราทำบุญ ..เราก็ควรรู้จัก ว่าเราต้องการบุญกุศล บุญกุศล ..นั่นเกิดจากเรานำกายพ่อแม่ ที่อาศัย ไปหาวัตถุสิ่งของด้วยความเหนื่อบกาย กายพ่อแม่เหนื่อย จิตเราก็เลยเหนื่อไปตามกาย ก็คือ อารมณ์ที่ห้อมล้อมจิตอยู่ สะสมเก็บเข้ามาทุกวันๆ ที่เราใช้ชีวิตมีอารมณ์ โลภโกรธหลง
เกิดมีกรรมก็เพราะอารมณ์ที่เราดิ้นรนไปหาเงินทิงทำมาหากิน ..จะว่าเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกก็ใช่ แต่กายมนุษย์ ทำไมถึงแตกต่างจากสัตว์ ที่แตกต่าง ก็เพราะสามารถ มาทำเรื่องราวดีๆได้ ใช้เหตุผลดีๆได เรียกคุณพ่อคุณแม่ได้ แล้วกรรม..นั่นเราก็ไม่รู้เลยว่ามันเก็บที่ไหน ..มันมองไม่เห็น เพราะกรรมมันปิดไปหมด
คราวนี้..เมื่อเราจะให้ทาน สมมุติวา เราไปเจอะเจอ คนมาทำตัวเป็นขอทาน ..มาขอเรา ..เราก็กำหนดไปที่จิต หยิบตังค์ ขึ้นมา บอกตัวเอง เบาๆ จิตของข้าพเจ้าอรศัยอยู่ในธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าขอนำปัจจัยที่อาศัยกายบิดามารดาไปหามา ..ได้มา ข้าพเจ้าไม่ยึดปัจจัยนี้ ข้าพเจ้าขอให้เป็นทาน ..และขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้ มีกรรม จะต้องไปหลอกชาวบ้านเค้ากินเลย ..เรากล่าว เบาให้หูเราได้ยิน (ยิ่งสมัยนี้ ใส่หน้ากาก ปิดปากปิดจมูก เราพูดเบาให้หูเราได้ยินได้ ของเราคนเดียว)
เรื่องที่ช่วยให้จิตเรา..ผ่อนคลายเบาบางจากทุกข์ นั้นต้องทำความเข้าใจ ว่าเราเป็นฆราวาส มีกายใช้วาจาในกายทำมาหากิน หากเราถือศีลจริงๆ มันก็คอยจะผิดศีล เดี๋ยว..เหยีบมด ตียุง ไปหยิบของใช้ของคนอื่น .ที่อยู่ร่วมกัน ไปหยิบสบู่ยาสีฟัน ..ที่คนอื่นเค้าซื้อมา เราไปไปใช้ ไปบอกขออนุญาตเค้ามั้ย มันมีเรื่องเหมือนไปขโมยของๆ ที่มีเจ้าของยึดอยู่ ..เราไปกินข้าว เนื้อหมูเนื้อไก่ นั่นก็น้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรมทั้งนั้น
คราวนี้ .เรามาดูว่า รอยของพระ เป็นอย่างไร รอยของผู้ที่มีบุญกุศล เมื่อเรานำกายวจาใจ นำกายพ่อแม่..อธิษฐาน มาเดินในรอยของพระ พระยืน เดิน นั่ง นอน..ทำใจให้อยู่กับพระ จิตเป็นมัชฌิมา อยู่เฉยๆนิ่งๆ จิตเป็นพระ ..พอละ ..รอยของพระนี้ ..เป็นของสูง..เป็นรอยของพระ รอยของผู้ที่ไม่ปรารถนา การเกิดการตายอีก รอยที่จะไปหาธรรม..ให้กายเป็นบุญจิตมีธรรม
เราลอง ไปสังเกตดูได้ ..วิธีปฏิบัติธรรม ..ต้องเริ่มกระทำ ตั้งแต่เริ่มกราบ ..เริ่มเอากายพ่อแม่มากราบพระปฏิบัติธรรมกันเลย แล้วก็กราบพระ ขออาราธนา รอยทั้งสี่ของพระ รอยที่พระสิทธัตถะกระทำบำเพ็ญอยู่ในป่า ขอนำกายบิดามารดา มากระทำในกิริยาขอพระ ..เมื่อจิตเรามีกรรม มีอารมณ์ ..ให้เราแค่ภาวนาพุทโธ ..ทำเป็นสัจจะ อธิษฐาน นำกายพ่อแม่ มาเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
..แล้วก็กราบ เราก็นั่งสมาธิ..ไปจนครบกำหนดเวลา เมื่อเราทำครบเวลา เราก็สังเกตตัวเราเอง ว่าเป็นอย่างไร ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมเสร็จ ก็กราบพระ ลาสัจจะ ..ขอขมา . ขอขมาก็เพราะเราอาราธนาของสูงๆ มา กระทำ แล้วจิตใจเรามันวุ่นวายกับอารมณ์ ก็เหมือนไปเอาเส้นทางของท่านมาทำให้เปรอะเปื้อน
รอยทั่งสี่นี้ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..เมื่อจิตไม่สร้างทานกุศลมาดี ..เค้าก็จะนำกายวาจาใจ มาเดินในรอยทั้งสี ให้มีสติสัมปชัญญะ. ทำกายนิ่ง จิตเฉย ไม่วุ่นวาย ..เค้าทำไมได้เลย ..ก็ไปสังเกตดูเอา ..แต่ถ้าไปเดินไปยืน ท่องคาถาอาคม ทำได้ เดินได้ ..เพราะกรรมเค้าส่งเสริม
แต่มาเดินลดละกรรม..ตามรอยพระ ยุติอารมณ์กรรม อารมณ์นึกคิดไม่ได้เลย ..เดินไปเดินมา หาคำว่าพุทโธไม่ได้เลย ..บ้างก็ว่าอยู่กับอารมณ์ นึกคิด เป็นวิปัสสนาไปเสียอีก ..แล้วรู้จักคะว่า สติที่หยุดยั่งอารมณ์หรือ ยัง ..มันคิดไปเรื่อย..ไม่มีหยุด ..คามอารมณ์ที่สอดเข้ามา..
เมื่อเริ่มต้นปฏิบัติธรรม ต้องเอาจริงเอาจัง อย่าไปทำเล่นๆ จะไม่ได้อะไรเลย ได้แต่อารมณ์กรรมกลับไป เราทำอยู่ในรอยของพระ ถามตัวเองว่าดีมั้ย..เราทำเพื่อใคร ..เพื่อลดละ อารมณ์ ..พอเเรามาเดินในรอยนี้ ..สิ่งที่สกปรกเลอะเทอะในกาย มันไหลออกมา เราก็ต้องทน..แสบร้อน ปวดเมื่อย ฟุ้งซ่าน ก็ทนไป ..ด้วยความอดทน ..ใหม่เดินจงกรมดีที่สุด ..เพราะอารมณ์สิ่งที่เลอะเทอะ มันไปบอกมา เราก็อย่าไปสนใจ..ทำจิตใจเฉยๆ ..เพื่อปลดปล่อยทุกข์ ไม่ใช่ให้จิตไปยึดทุกข์
รอยนี้ ..รอยทั้งสี่นี้ จิตดวงใด ไม่สร้างทานบุญกุศลมา อยู่จะมาเดินในรอยนี้ ก็เหมือนเดินตก ..จากการเดินบนไม้ไผ่ลำเดียว ..แล้วมันก็จะร้อนเอง ยิ่งไปท่องคาถาอาคม มาเดินในรอยนี้ ..มารก็จะเค้ามาแทรก ส่งเสริม ให้หลงผิด ทำตัวเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ..ไม่มีความอ่อนน้อมอะไรเลย วาจาก็ไปทางสามหาว ..
ทำบุญ ก็อย่าไปคิดเองว่า ทำอย่างนี้แล้วจะได้บุญ ….เราก็ควร ศึกษาว่า บุญ
ที่แท้จริง นั่นเค้าทำกันอย่างไร ถึงเรียกว่าทำบุญ สร้างบุญกุศล ..เราก็ควรเรียนรู้จักบ้าง..ไม่ใชสักแต่ว่า .ทำ.. เรื่องนี้ เราเคยทำบุญน้อมถวาย พระแม่สุชาดา พระแม่วิสาขา เราขอให้ได้เรียนรู้วิธี ที่ฆราวาส สมัยต้นพุทธกาล ท่านทำบุญกันอย่างไร ใช้กิริยาอย่างไร .
เรื่องของทาน บุญ บารมี เค้ามีขั้นตอนอยู่มีน้องที่รู้จัก ..เป็นคนหงุดหงิด เหวี่ยงอารมณ์บ่อย
ๆ เราก็ชวนเค้า เริ่มให้ทาน ..ปล่อยสัตว์ที่ถึงที่ตาย ไปขอซื้อปลาจากตลาดที่เค้าลังจะทุบขาด พวกปลาช่อน ปลาหมอ .ไปปล่อย หาที่ให้เหมาะกับเค้าอยู่ได้ ..ทำอยู่สองสามปี ก็ขยับมาสนใจใส่บาตร..แล้วก็ขยับมาสวดมนต์ ไหว้พระ ค่อยๆ ขยับมาปฏิบัติธรรม ..เรื่องทาน บุญ กุศล นั้นมีขั้นตอนอยู่ ..พอขั้นบารมี ก็ทำอีกขั้นหนึ่ง มีเป็นขั้นตอนอยู่
โฆษณา