2 ส.ค. 2023 เวลา 06:33 • สิ่งแวดล้อม

"ภาวะโลกร้อน (Global Warming)" ในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596)

มีการคาดการณ์กันว่าในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596) โลกจะแตกต่างจากทุกวันนี้
3
ภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาสะสมมาอย่างยาวนาน จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและนำมาคาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ
3
เรื่องแรกคือเรื่องการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเล
จากการคำนวณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีการวิเคราะห์ว่าการละลายของแผ่นน้ำแข็งจะทำให้ภายในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596) ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 1-2 ฟุต
2
อาจจะฟังดูไม่มากเท่าไร แต่จะส่งผลกระทบต่อเมืองที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก โดยมีการประเมินว่าในทุกๆ 1 นิ้วที่น้ำทะเลสูงขึ้น ชุมชนที่ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่งจะทรุดตัวลงราว 1.5 เมตร
1
เมืองใหญ่ๆ เช่น ไมอามี นิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ และเหล่าประเทศที่เป็นเกาะจะพบกับปัญหาน้ำท่วม ทำให้ผู้คนอพยพไปอยู่ที่อื่น สาธารณูปโภคต่างๆ ก็เสียหาย และการฟื้นฟูความเสียหายก็อาจจะต้องใช้เงินนับล้านล้านดอลลาร์
2
อีกสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ "ผู้ลี้ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Refugee)"
คำๆ นี้จะกลายเป็นคำที่ธรรมดาสามัญในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596) โดยจะเป็นการสื่อถึงผู้คนที่ต้องโยกย้ายถิ่นที่อยู่โดยมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผู้คนนับล้านต้องย้ายถิ่นที่อยู่เพื่อหนีจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจนทำให้น้ำท่วม และอากาศที่แปรปรวน
มีการประเมินว่าภายในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596) จำนวนผู้ลี้ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะสูงถึงหลัก 100 ล้านคนเลยทีเดียว และการโยกย้ายถิ่นฐานนี้ก็จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนและการแย่งชิงทรัพยากร
4
ข้อต่อไปคือ "รูปแบบสภาพอากาศ" ที่เปลี่ยนแปลง
ภาวะโลกร้อนจะส่งผลต่อรูปแบบสภาพอากาศในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596) โดยในหลายๆ พื้นที่จะพบเจอกับคลื่นลมร้อน ภัยแล้งที่กระจายไปทั่ว และพายุที่โหมกระหน่ำ
1
รูปแบบสภาพอากาศที่แปรปรวนนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ การเพาะปลูก และสาธารณูปโภคต่างๆ
1
ประเทศที่ยากจนและตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่ไม่เป็นใจจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด การเพาะปลูกอาจจะล้มเหลว ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหารและทำให้ความยากจนกระจายไปทั่ว บวกกับพายุที่โหมกระหน่ำก็จะสร้างความเสียหายต่อสาธารณูปโภคและทำให้ผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
1
เรื่องต่อไปคือ "ความหลากหลายทางชีวภาพ"
ภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการเพิ่มสูงขึ้นของอุณหภูมิ ความเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพอากาศ และการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลจะทำความเสียหายแก่สภาพแวดล้อม ทำให้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตจำนวนมากต้องสูญพันธุ์ โดยที่เสี่ยงที่สุดก็คือป่าอเมซอน (Amazon Rainforest) แนวปะการัง (Coral Reef) และขั้วโลกเหนือ (North Pole)
นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ว่าภายในปีค.ศ.2053 (พ.ศ.2596) สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตราว 30% จะอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ความเสียหายของสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมา
เรื่องสุดท้ายคือ "เศรษฐกิจ"
ภาวะโลกร้อนอาจจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ โดยผลกระทบทางตรงก็อาจจะเป็นความเสียหายของสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้างต่างๆ เนื่องจากพายุ ความเสียหายของดินแดนต่างๆ จากภาวะน้ำทะเลที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากจำนวนผู้ป่วยจากภาวะโลกร้อนและโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบตามมาเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนผลกระทบทางอ้อมก็อาจจะเช่น การสูญเสียจำนวนแรงงานในภาคการผลิต ราคาอาหารที่สูงขึ้นเนื่องจากการเพาะปลูกล้มเหลว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ธนาคารโลกได้คาดการณ์ว่าภายในปีค.ศ.2050 (พ.ศ.2593) ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอาจจะมีจีดีพีลดลงกว่า 11% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ส่วนมูลค่าที่เกิดจากการย้ายถิ่นฐานของผู้คนทั่วโลกก็น่าจะสูงถึงหลักล้านล้านดอลลาร์
นี่ก็เป็นการคาดการณ์จากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แต่ก็เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น เป็นการคาดการณ์เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โฆษณา