5 ส.ค. 2023 เวลา 05:52 • ประวัติศาสตร์

เมื่อ "อินเดีย" ต้องยากจนเพราะ "อังกฤษ"

นักประวัติศาสตร์หลายๆ คนมองว่า "จักรวรรดิอังกฤษ (British Empire)" เป็นสาเหตุที่ทำให้ "อินเดีย (India)" จากประเทศที่รวยที่สุดในโลก กลายเป็นประเทศยากจน
5
ภายใต้การปกครองของอังกฤษ อินเดียยังคงเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ หากแต่ภายหลังเรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น
1
ลองมาดูเรื่องราวนี้กันครับ
1
ในปีค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) อินเดียในเวลานั้นอยู่ใต้การปกครองของ "จักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire)" และเป็นชาติที่รวยที่สุดในโลกด้วยจีดีพีสูงถึงราว 150,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.2 ล้านล้านบาท) สูงกว่าจีดีพีของจีนในเวลานั้น โดยในเวลานั้น จีนมีจีดีพีอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.1 ล้านล้านบาท)
3
ในปีค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) จีดีพีของอินเดียเท่ากับประมาณ 24.5% ของจีดีพีโลก ในขณะที่จีนมีจีดีพีเท่ากับประมาณ 22.3% ของจีดีพีโลก ส่วนสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนีมีจีดีพีเท่ากับประมาณ 11.8% ของจีดีพีโลก ส่วนอาณานิคมอังกฤษซึ่งภายหลังคือสหรัฐอเมริกา มีจีดีพีเท่ากับประมาณ 0.1% ของจีดีพีโลก
แต่เมื่อถึงปีค.ศ.1820 (พ.ศ.2363) เปอร์เซ็นต์จีดีพีของอินเดียลดลงเหลือ 16.1% ของจีดีพีโลก ส่วนจีดีพีของจีนสูงขึ้นมาเท่ากับ 33% ของจีดีพีโลก ส่วนจีดีพีของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีได้สูงขึ้นเป็น 14.2% ของจีดีพีโลก และสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศใหม่เอี่ยมก็มีจีดีพีสูงขึ้นเท่ากับ 1.8% ของจีดีพีโลก
1
ในปีค.ศ.1820 (พ.ศ.2363) จีดีพีของจีนขึ้นเป็น 355,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12.4 ล้านล้านบาท) ส่วนจีดีพีของอินเดียเท่ากับประมาณ 160,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท) ส่วนจีดีพีอังกฤษอยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.75 ล้านล้านบาท)
1
คำถามสำคัญก็คือ "เกิดอะไรขึ้นกับอินเดีย?"
1
ย้อนกลับไปในปีค.ศ.1757 (พ.ศ.2300) "บริษัทอินเดียตะวันออก (The East India Company)" ได้แผ่อำนาจเข้ามาในอินเดียด้วยการคว้าชัยชนะใน "ยุทธการที่ปลาศี (Battle of Plassey)" ซึ่งป็นการต่อสู้ระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษกับแคว้นเบงกอลของจักรวรรดิโมกุลที่มีฝรั่งเศสหนุนหลัง
ภายหลังจากคว้าชัยชนะ บริษัทอินเดียตะวันออกก็ได้เริ่มเก็บภาษีในแคว้นเบงกอลเพื่อนำมาเป็นทุนสำหรับกองทัพทหารอาสาของตน และในเวลาต่อมา บริษัทอินเดียตะวันออกก็ได้เริ่มบังคับให้ชาวนาในแคว้นเบงกอลปลูกฝิ่นเพื่อนำส่งไปยังจีน แลกกับใบชา
3
ยุทธการที่ปลาศี (Battle of Plassey)
ในศตวรรษที่ 18 และ 19 "ชา" คือหนึ่งในสินค้าหรูราคาแพงของโลก และชานี่แหละที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความขัดแย้งและสงครามหลายครั้งในเวลาต่อมา เช่น "สงครามฝิ่น (Opium Wars)"
ในปีค.ศ.1784 (พ.ศ.2327) สภาอังกฤษได้ออกกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐบาลอังกฤษเข้าควบคุมบริษัทอินเดียตะวันออก อีกทั้งยังให้อำนาจบริษัทอินเดียตะวันออกเข้าถึงกองทัพอังกฤษได้อีกด้วย
ในปีค.ศ.1803 (พ.ศ.2346) กองทัพอังกฤษได้เข้ายึดครองเมืองเดลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล ตามมาด้วยชัยชนะเหนือ "จักรวรรดิมราฐา (Maratha Empire)" ซึ่งเป็นรัฐที่ทรงอำนาจที่สุดของอินเดีย และทำให้อินเดียไม่สามารถต้านทานอำนาจของอังกฤษได้อีกต่อไป
3
จากนั้น อินเดียก็ได้มีฐานะยากจนลงเนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออกได้โกยกำไรและผลประโยชน์จากอินเดียมหาศาล ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ก็ถูกแบ่งปันไปยังผู้ถือหุ้นในอังกฤษ ในขณะที่อินเดียแทบไม่ได้อะไรเลย
อีกสาเหตุที่บริษัทอินเดียตะวันออกรวยยิ่งกว่าเดิมก็เนื่องจากบริษัทอินเดียตะวันออกเริ่มจะไม่ทำการค้าเหมือนเดิมอีกต่อไป หากแต่มุ่งไปยังการทำสงครามและเข้ายึดครองดินแดนต่างๆ แทน ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกกลายเป็นเหมือนอาณาจักรย่อมๆ ที่ทรงอำนาจ
2
นอกจากนั้น ชาวอินเดียหลายคนก็หันไปเข้ากับอังกฤษ โดยกองทัพอังกฤษนั้นมีทหารจำนวนมากเป็นทหารอาสาชาวอินเดีย พ่อค้าอินเดียและเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากก็ทำงานให้บริษัทอินเดียตะวันออก
4
นอกจากนั้น ผู้นำอินเดียจำนวนมากต่างก็ทะเลาะกันเองมากกว่าจะต่อต้านอังกฤษ แม้แต่ราชวงศ์อินเดียซึ่งปกครองอินเดียก็ยังยอมให้อังกฤษเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
2
บริษัทอินเดียตะวันออก (The East India Company)
การล่มสลายของอินเดียนั้นไม่ได้จบลงในคราว "กบฏอินเดีย ค.ศ. 1857 (Indian War of Independence)" ในปีค.ศ.1857 (พ.ศ.2400) หากแต่การล่มสลายนั้นดำเนินมาเรื่อยๆ จนหลังจากอินเดียได้รับอิสรภาพในปีค.ศ.1947 (พ.ศ.2490)
ในปีค.ศ.1913 (พ.ศ.2456) จีดีพีของอินเดียลดลงเหลือเพียง 7.6% ของจีดีพีโลก ส่วนจีดีพีของสหรัฐอเมริกาขึ้นเป็น 18.9% ของจีดีพีโลก ส่วนจีดีพีของยุโรปก็อยู่ที่ 22.2% ของจีดีพีโลก
1
ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) อินเดียที่เพิ่งได้รับอิสรภาพมาหมาดๆ มีจีดีพีเท่ากับ 4.2% ของจีดีพีโลก ส่วนจีดีพีของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 27.3% ของจีดีพีโลก ในขณะที่อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จีดีพีก็ลดลงเหลือเพียงประมาณ 15.6% ของจีดีพีโลก
1
เรียกได้ว่าการอยู่ใต้อำนาจของอังกฤษราว 190 ปี ได้ทำให้จีดีพีของอินเดียลดลงอย่างฮวบฮาบ
และนักประวัติศาสตร์หลายคนก็มองว่าการอยู่ใต้อำนาจของจักรวรรดิอังกฤษน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อินเดียได้เปลี่ยนจากชาติที่ร่ำรวยที่สุด กลายเป็นชาติที่ยากจน
โฆษณา