9 ส.ค. 2023 เวลา 10:09 • สุขภาพ

Life begins at 40

[นี่คือที่มา จุดเปลี่ยนของชีวิตที่ได้บันทึกไว้ใน Note ของ facebook เมื่อวันเกิดตัวเองในปี 2014]
พอขึ้นปี 2013 ก็เริ่มวูบๆแล้ว โห…เลข 3 ปีสุดท้ายแล้วอ้ะ มันคงเป็น feeling เดียวกับตอนกำลังจะขึ้นเลข 3 ยังจำความรู้สึกใส่กระโปรงนักเรียนตอนอายุ 16 ได้อยู่เลย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ พูดจริง ๆ ก็อายุเกินครึ่งหนึ่งของอายุเฉลี่ยคนไทยแล้วนะ มีเหตุการณ์ต่างๆมากมาย จำได้บ้าง จำไม่ได้ก็เยอะมากจนน่าเสียดาย ถ้าขยันเขียนไดอะรี่เหมือนเมื่อก่อนก็คงจะดี
วันนี้ 40 แล้วก็เลยอยากเขียนถึงชีวิตในปีที่ผ่านมา ด้วยความตั้งใจที่จะเริ่มต้นวัย 40 ด้วยสุขภาพที่ดี (ถ้าใครอายุ 30 กว่าๆ คงจะเริ่มรู้สึกแล้วว่า ทำไมมันไม่เฟรชเหมือนเก่านะ) อันนี้จุดเปลี่ยนก็เริ่มจากเราจะขับรถไปเที่ยวสมุยตอนพฤษภา 2013 กัน ก็เลยไปซื้อจักรยานพับกันมาสองคันคู่กัน ให้พี่หนูสอนขี่แป๊ปนึงก็เอาไปเที่ยว ได้ขี่เล่นบนเกาะสนุกดี ยังไม่ได้ขี่ไกลมากนัก แต่ได้ขึ้นเนินพอประมาณ กลับมาแล้วดูรูปตัวเองบนเกาะ ชักจะอวบอ้วนแล้ว กราฟน้ำหนักเป็นกราฟขึ้นสม่ำเสมอ ลดดีกว่า ปีหน้าไปทะเลอีกจะได้สวยๆ
แล้วก็มีอีกอย่าง ดู Desperate Housewives นางเอกเกิดจะต้องไปฟอกไต อาทิตย์นึง 3 วัน วันนึงก็ทั้งวันที่ต้องนั่งแช่กับเครื่องฟอกไต ดูแล้ว โหย...นี่ถ้าเป็นตัวเองจะทำไง แทนที่จะได้ไปเที่ยวลั้ลล้าใช้ตังค์ กลับต้องมาเทียวอยู่รพ. งานการก็คงพัง ไม่ไหวๆ สมควรจะออกกำลังจริงจังได้แล้ว
หลังจากนั้นก็มาหาข้อมูลในเน็ท ตอนนั้นก็พอหาอ่านได้บ้างแม้จะไม่บูมมากเหมือนตอนนี้ มี group ลดน้ำหนัก กินคลีน ก็อ่านๆ ทำๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง
เริ่มจากตีแบดเพราะอยากตีให้ดี (จากระดับห่วยมาก) ก็เลยไปเรียนตีแบดจริงจังแถวบ้าน วันแรกเหนื่อยมาก hr กระจาย รู้เลยว่าต้องกินอาหารเช้าก่อนไปตีไม่งั้นไม่รอด จะตีแบดสู้เค้าก็ต้องฝึกกล้ามเนื้อแขน ขา เลยไปยกเวทเพิ่มให้มีกล้ามเนื้อ ไปคุ้ยดัมเบลล์มาจากบ้านเก่า แล้วก็เริ่มวิ่งให้ร่างกายมีความอดทนมากขึ้น insanity ก็เล่น ช่วยให้วิ่งอึดขึ้นหลายกิโล
ตีแบดวันเสาร์ ขี่จักรยานวันอาทิตย์ ฟิตเนสวันธรรมดา ซื้อนาฬิกาวัดอัตราการเต้นหัวใจ จากการอยากรู้ว่า ล้างรถอย่างเหนื่อยนี่มัน burn กี่แคลอรี่ อาหารก็คุมมากขึ้น (แม้จะยังไม่ดีพอ นางยอมแพ้กับหลายเมนู) อ่านในเน็ทว่าต้องคำนวณสารอาหารยังไง เทียบกับที่มีคนคิดให้ ดูเมนูอาหารคนอื่น รวมๆแล้วก็ชอบ Cardio มากกว่า Weight Training ไม่นานน้ำหนักก็ลงมาประมาณ 3 โลแล้วก็คงที่ ก็เป็นน้ำหนักที่ตัวเองพอใจ
เราต้องตั้งเป้าหมายในการออกกำลังไปเรื่อยๆ มีเป้าระยะสั้น เดือนนี้มีนัดกินข้าวกับเพื่อน เดือนหน้าต้องไปตรวจร่างกาย เดือนนู้นจะไปเที่ยว จะได้มีกำลังใจฮึดๆหน่อยไม่ขี้เกียจ แล้วก็ถ่ายรูปผลการเล่นแต่ละวันเก็บไว้ดู (ชอบดูอะไรที่เป็นตัวเลขวัดได้มากๆ)
พอเข้าหน้าฝนก็ต้องหยุดขี่จักรยาน เหลือแบด เวท โยคะ ยิม เดือนกันยาก็มีคนชวนไปวิ่งงาน Standard Chartered Bangkok Marathon 2013 ตอนปลายปีก็เอาเลย ระยะ 5 Km ตั้งเป้าหมายใหม่ เริ่มฝึกวิ่งสายพานเดือนกันยา เสาร์อาทิตย์ก็ไปวิ่งสวนลุม เดือนตุลาไปเที่ยวเหนือก็หอบหิ้วจักรยานพับไปปั่น + เข็นขึ้นเขา และก็ขี่ไปตลาดตอนเช้าๆ ปลายปี 13 อากาศเย็นเร็วทำให้การออกกำลังสบายมาก
พอถึงวันแข่งวิ่งก็ผ่านไปด้วยดี แข่งเสร็จยังรู้สึกไปได้อีก ต่อจากงานนั้นก็เลยเพิ่มระยะเป็นมินิมาราธอน 10 Km แล้วไปลงวิ่งงานคมชัดลึก งานจอมบึง งานไทยคม อีกเป็นเป้าหมายระยะยาว จนเริ่มเข้าหน้าร้อน ก็หยุดวิ่งแข่งเพราะคนวิ่งด้วยเริ่มเจ็บเข่า มาออกกำลังในร่มคือในฟิตเนส วิ่งก็วิ่งลู่
ส่วนแบดพอครบปีก็ไม่ได้ไปเรียนต่อ เพราะผู้หญิงมาเรียนน้อย เรียนแล้วหายกันหมด ฝีมือเรากับพวกผู้ชายที่เหลือต่างกันมาก เค้าระดับลงแข่งเอาถ้วยกันแล้วเกรงใจเค้า ก็เลยเหลือแต่ตีกับน้องๆที่ออฟฟิศในบางอาทิตย์ (เพิ่งไปถามครูมา ครูบอกมี ญ มาเรียนตรึมตอนนี้ เลยว่าจะกลับไปเรียนอีก 2 ชม. burn ไปเกิน 700 ทุกที)
การตั้งเป้าหมายยังเหมือนเดิม เป้าระยะสั้นทำแล้วมีกำลังใจ inspiration คือดูรูปผู้หญิงออกกำลัง กล้ามสวยๆเข้าไว้ แปะเป็น wallpaper บนโทรศัพท์เลยจะได้สะกดจิตตัวเอง การอัพเดท status ลง app แล้วมาดูผลทุกเดือนว่าเดือนนี้ออกกำลังไปเท่าไหร่ ก็ทำให้ฮึกเหิมเหมือนกัน เดือนไหนได้น้อยก็ผิดหวังตัวเองแล้วจะได้ตั้งใจเดือนหน้าต้องไม่ขี้เกียจแบบนี้
พอหยุดวิ่งแข่ง ให้ฮีพักขา ก็พอดีกับเป้าหมายใหม่คือ ไตรกีฬา ที่ไปลงระยะสั้นไว้ มีเวลาซ้อม 3 เดือน เลยไม่กล้าขี้เกียจนาน บางทีหยุดออกกำลังไปหลายวัน ความขี้เกียจมาเกาะอย่างแรง โดยเฉพาะช่วงที่ support go-live หยุดไป 3 อาทิตย์ เหมือนกับเริ่มต้นใหม่ แม้น้ำหนักจะไม่ขึ้นไปเท่าเดิม แต่ตื่นมางี้แม้จะตื่นเช้าก็อยากนั่งเฉยๆ ไถโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ จนหมดเวลา บวกกับนอนดึกด้วย
จะออกกำลังตอนเช้า ต้องเริ่มตั้งแต่นอนให้เร็ว จะได้ตื่นเช้าเด้งตัวได้เลย ตื่นมารีบไปแปรงฟัน ห้ามใจไม่เล่น fb เล่น line ค่อยไปเล่นตอนช่วงเดินวอร์มบนลู่วิ่ง และอย่าหยุดนาน หยุดนานคือเริ่มต้นใหม่ จำไว้ๆ
นอกไปจากน้ำหนักลงมาแล้ว สิ่งที่คุ้มยิ่งกว่าจนทำให้ต้องพยายามออกกำลังต่อไป คือสิ่งต่อไปนี้
1. ทุกทีช่วงปลายปี จะเริ่มเป็นหวัด เป็นประมาณเดือนนึงแล้วก็หาย หาหมอบ้างแล้วแต่ระดับความแรง โดยมียาประจำตัวคือ บริคานิล เป็นยาขยายหลอดลม อยู่คู่กันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนนี้เค้าเลิกผลิตแล้ว แต่ปกติเป็นคนไม่ชอบกินยาทุกประเภท คือหนักแล้วถึงยอมกิน ล่าสุดปลายปี 2012 คงจะด้วยนอนน้อย งานหนักเข้าช่วง go-live เลยเป็นหวัดตั้งสามเดือนตั้งแต่ พ.ย ถึง ม.ค. หน้าโทรมมากๆ ตาก็เหลืองจนลูกค้าทักว่าไหวไหม มีเวลาแค่หาหมอในคลีนิคตอนที่หนักมากๆ กินยาก็ไม่หาย
ไปหาหมอ 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายงานซาแล้วก็ลาไปรพ.เพราะไม่หายซักที ไอตลอดเวลา แต่ไม่มีเสมหะหรือน้ำมูกเหมือนแรกๆ ลูกค้าต้องมาพ่นยาฆ่าเชื้อในห้องที่นั่งทำงานร่วมกับเค้า เพราะเค้าก็กลัวพนักงานเค้าติดจากเรา คือตอนนั้นใครเป็นหวัด อิชั้นโดนเพ่งเล็งตลอด หยุดงานก็ไม่ได้ ผ้าปิดปากก็ใช้แล้ว หมอที่บำรุงราษฎร์บอกว่าไม่ได้เป็นหวัด เป็นอาการแพ้อากาศ จ่ายยามาพร้อมกับสอนการล้างจมูก หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ก็หายสนิท เลยไม่รู้ยาดีหรือกลัวต้องจ่ายค่ายา 3000 อีกรอบ
หลังจากออกกำลังต่อเนื่องก็ไม่เป็นหวัดเลย บางครั้งเหมือนจะเริ่มมีอาการ จามติดๆกัน ก็จะไปวิ่งๆๆๆให้เหงื่อออก วิ่งเสร็จที่เหมือนจะเจ็บคอก็หาย จนถึงตอนนี้ไม่ได้เป็นหวัดมา 1 ปี 4 เดือนแล้ว
2. โรคประจำตัวคือ ลมพิษที่ขึ้นผื่นตามแขน-ขา ช่วงเปลี่ยนฤดู หรือตอนอ้าวมากๆ ทำให้วิตกจริตกับอากาศอ้าวแบบฝนจะตก เพราะกลัวลมพิษขึ้น ทาคาลาไมน์ไม่เคยหาย โรคนี้เพิ่งมาเป็นตอนโตซักประมาณ 5 ปี คือ พอเริ่มคันล่ะรู้แล้ว เดินไปดูกระจกผื่นมาล่ะใช่เลย การรักษาก็โปะบัวหิมะแล้วไปนอน ถ้าไม่หายก็ต้องกินยา ซึ่งก็ไม่ชอบกิน มันจะง่วงมึนหัว ถ้าไม่หายจริงๆก็ไปหาคุณหมอที่รพ.ธนบุรี อันนี้ก็จะยากหน่อย แต่ยาคุณหมอเด็ด กินแล้วหายทันที
จนถึงตอนนนี้ ลมพิษก็ไม่ได้เห่อแบบเยอะๆ มาปีกว่า มีบ้างเบาๆเวลาอากาศอ้าวจัดๆ เอาน้ำเย็นลูบๆก็จะยุบไปเองไม่ต้องกินยา
3. ข้อนี้อยากจะเรียกว่าสวรรค์เลย คืออาการปวดท้องประจำเดือนที่หายไป ก่อนหน้านี้จะมีการปวดท้องเมนส์ในวันแรกบ้างในบางเดือน บางเดือนก็ไม่เป็น บางทีก็ปวดน้อย บางทีก็ปวดมากจนขาชา พอเริ่มปวดมากก็กิน ponstan 500 mg เม็ดเดียวก็อยู่ได้ ซึ่งตามอาการคุณหมอว่าปกติ ไม่ได้ปวดทุกเดือนหรือปวดจนเป็นลม และก็ตรวจร่างกายประจำ
ทีนี้เพราะมันไม่ได้ปวดทุกเดือน ก็เลยจะกินยาเฉพาะตอนที่ปวดมากๆเท่านั้น ไม่มากก็ทนๆไม่สบายตัวเอา บางทีนอนไปแล้ว มาตื่นเพราะปวดท้องจนทนไม่ไหว นอนต่อไม่ได้ ต้องงัวเงียมาหายากิน แล้วไปนั่งหลับในโซฟา นั่งหลับในท่างอๆให้ท้องอุ่นๆมันจะลดการปวดได้จนกว่ายาจะออกฤทธิ์และหลับไปเอง แต่มันมีช่วงทรมานไปแล้วไง ตอนเช้าก็โทรมเลย นอนไม่พอ
อาการปวดประจำเดือนมาหายไปหลังจากออกกำลังติดต่อกันมา 6 เดือน เรียกว่าไม่รู้สึกใดๆ ไปวิ่ง ไปออกกำลังได้เหมือนวันปกติ มีท้องบวมๆนิดหน่อย ช่วงก่อนมีประจำเดือนที่เคยหงุดหงิด ฟังอะไรก็ไม่ถูกหู (เค้าว่าเพราะฮอร์โมนนะจ๊ะ) ก็ลดไปเยอะมากเลย สังเกตตัวเองได้ มีข้อเสียอย่างเดียว ด้วยความที่มันไม่มีอาการ บางทีมันก็มาโดยเราไม่รู้ก็มีเหมือนกัน แต่มันแปลกอย่างนึง เดือนไหนที่มีนัดตรวจร่างกาย ตรวจเสร็จแล้วพอหลังจากนั้นมีประจำเดือนจะปวดรุนแรงทุกที ไม่รู้เพราะอะไร เดือนต่อมาก็ไม่เป็น
4. อาการปวดหัว ที่เริ่มเป็นบ่อยขึ้น ตามความเครียดจากงานหรือจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว ไม่ถึงขนาดไมเกรน แต่มันก็จี๊ดๆน่ารำคาญ ปวดมากก็พอนสแตนบ้าง พาราบ้างแล้วแต่จะหาเจอแล้วก็นอน แต่พอออกกำลังแล้ว ไม่เคยปวดหัวอีก ตอนไหนที่รู้สึกว่าเป็นช่วงเครียด ตอนเช้าก็ตื่นไปวิ่งให้เหงื่อออก ก็จะโล่ง เลยไม่ต้องกินยาอีก ยาในบ้านหมดอายุไปแล้ว
ยา 4 ตัวที่ไม่ต้องกิน เลยเป็นเหตุให้ไม่กล้าหยุดออกกำลัง อาจจะมีขี้เกียจบ้าง ก็ต้องตั้งเป้าหมายใหม่เพื่อกระตุ้นตัวเอง เหมือนกับที่ตั้งใจไว้ว่า "จะก้าวเข้าวัย 40 ด้วยสุขภาพที่แข็งแรง" ในวันนี้ก็ทำมาได้ระดับนึงแล้วนะ เป้าหมายระยะยาวที่แสนยากคือ การลดคลอเรสเตอรอลให้ต่ำกว่า 200 ตั้งกะตรวจร่างกายมาสิบกว่าปี มีแค่ปีเดียวมั้งที่ต่ำกว่า 200 (ไม่น่าเชื่อถือ) ส่วนมากก็ต่ำกว่า 250 ไม่ต้องกินยา ตอนนี้ก็ลงมาเรื่อยๆ HDL เพิ่มเรื่อยๆ ก็ยังต้องทำต่อไป เพื่อตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อใคร
โฆษณา