Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
KD
•
ติดตาม
24 ส.ค. 2023 เวลา 04:20 • บันเทิง
J Robert Oppenheimer วิเคราะห์บุคลิกภาพบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์
ในมุมที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุด ในมุมที่ไม่ใช่สามีที่ดีที่สุด ในมุมที่ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ และในมุมที่แอบเป็นเสือผู้หญิง
Oppenheimer เป็นหนังชีวประวัติที่ออกจะผิดคาดหน่อยๆ ความคาดหวังแรกคือมันเป็นหนังวิทยาศาสตร์จ๋า ที่เล่าถึงเรื่องราวการสร้างระเบิดประมณูลูกแรก แต่เอาเข้าจริงตัวหนังพูดถึงด้านชีวิตส่วนตัว อุปสรรคของคนในยุคนั้น และความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจมีอารมณ์ความรู้สึก มากกว่าที่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์ ถามว่าผิดหวังไหม...ไม่เลยครับ วิทยาศาสตร์จะสนุกอะไร ถ้าไม่ได้รับรู้เรื่องราวของคน
และจุดที่หนังเน้นหนักก็ไปที่คนที่สำคัญที่สุด นั่นคือ Oppenheimer
หลังช่วงนี้ไปจะมีสปอยล์อ่อนๆ ใครยังไม่ได้ดูแนะนำว่าอย่าเพิ่งอ่าน (แต่ถึงแม้จะอ่านก็ยังดูหนังได้อรรถรสอยู่ดี)
Oppenheimer เป็นผู้อำนวยการโครงการ Trinity ที่ทำการทดลองและสร้างระเบิดประมาณูลูกแรก ในด้านความรู้เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งเกินเบอร์กว่าคนอื่นๆ หลายครั้งเราจะเห็นว่าเขามีข้อจำกัด และทฤษฎีหลายๆอยางที่เขาคิดก็ไม่ได้ถูก 100% (เขาแอบไม่ชอบคณิตศาสตร์ด้วย)
Oppenheimer เป็นนักทฤษฎี เขาติดนิสัยพิสูจน์ทฤษฎีต่างๆโดยไม่ได้ทำการทดลองจริง และหลายอย่างก็ถูกหักล้างโดยนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ แต่คุณสมบัติเด่นอย่างหนึ่งของ Oppenheimer ก็คือ เขาเป็นคนเปิดใจ ไม่เหมือนนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่ค่อนข้างจะหัวรั้นและปกป้องความคิดของตัวเอง ใครท้าทายอะไรไม่ได้
เขารู้ตัวเองดีว่าเขาต้องพึ่งพาความรู้ของเพื่อนร่วมงาน ต้องพึ่งพาการทำงานเป็นทีมมากกว่าที่จะลุยเดี่ยว เคยมีคำกล่าว (ที่ผมจำที่มาไม่ได้) บอกว่า
“จับนักปราชญ์สิบคนมาทำงานด้วยกัน งานอาจจะไม่ออก แต่จับคนธรรมดาที่สามารถทำงานเป็นทีมมาทำงานร่วมกัน ก็อาจจะให้ผลมากกว่า”
Oppenheimer มีความเป็นนักประสานงานอยู่ในตัว เขาไม่ใช่คนที่มี Connection ทางด้านการทหารหรือเข้าใจเรื่องการเมือง แต่เขาต้องทำให้คนหลายๆฝ่ายที่มีความต้องการที่แม้จะเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างทางด้านวิธีการ มาทำงานร่วมกัน แล้วบางครั้งการที่จะประสานงานหลายๆฝ่ายเข้าด้วยกัน ก็ไม่ได้มีชั้นเชิงอะไรซับซ้อนนอกจากคำคำเดียวคือ“ความจริง”
Oppenheimer มีความ struggle ในชีวิตประจำวันไม่ต่างกับคนทั่วไป หลายคนอาจจะคิดว่านักวิทยาศาสตร์มักจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับชีวิตด้านนอก ใช้ชีวิตอยู่กับตำราอยู่กับการทดลอง แต่ในความเป็นจริงเขาก็เป็นบุคคลธรรมดา เขามีมุมเศร้า เขามีมุมเหงา เขามีมุมที่สนใจเรื่องอื่นนอกเหนือจากวิทยาศาสตร์ ในจุดหนึ่งของชีวิตเขาก็ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แล้วนั่นได้สร้างปัญหาให้กับเขาในหลายๆด้าน ทั้งในเรื่องงานและชีวิตส่วนตัว
Oppenheimer จับทุกฝ่ายอยู่มายืนอยู่บนกระดานแผ่นเดียวกัน นั่นคือบนกระดานของความเป็นจริง ว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ หลายครั้งที่สร้างความขัดแย้งในกลุ่ม หลายครั้งที่มีทีมงานถอนตัว แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในความจริงที่เขาต้องรับ เขาไม่เล่นดราม่า เขาไม่เสียใจฟูมฟาย เขาแค่ทำหน้าที่ต่อตาม Resource ตามกำลังคนเท่าที่ความจริงจัดสรรให้
บางทีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำก็ต้องการแค่ว่า การที่เราทำอะไรแล้วเราไม่หยุด ต่อให้สถานการณ์มันเปลี่ยน เราก็จะใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบๆตัวให้ได้มากที่สุด ไม่ไปฟูมฟายกับสิ่งที่เสียไป หรืออ้อยอิ่งรอคอยสิ่งที่อยากได้แต่ยังมาไม่ถึง
ประเด็นที่คนจะพูดถึงมากที่สุดและคนน่าจะไม่ค่อยเชื่อก็คือ นักวิทยาศาสตร์หรือคนที่ Nerd เป็นเสือผู้หญิงได้ด้วยหรือ? ประวัติส่วนนี้ก็เป็นอะไรที่คนนึกไม่ถึงว่า Oppenheimer จะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างอีรุงตุงนัง เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิง 2 คน คนนึงค่อนข้างเกิดขึ้นเร็วจนเกือบจะเรียกว่า ONS แต่ก็กลายเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว
ส่วนอีกคนหนึ่งที่เป็นภรรยาไปจนแก่เฒ่า แต่นางก็แต่งงานอยู่ก่อนแล้วกับคนในวงสังคมเดียวกัน เขามีความสัมพันธ์ลับๆจนผู้หญิงตั้งท้อง แล้วจึงหย่าออกมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แต่ในขณะนั้นเขาก็ยังไปๆมาๆกับแฟนเก่าที่เจอกันครั้งแรก
ถามว่า Oppenheimer เป็นคนเจ้าชู้ไหม ก็เจ้าชู้ แต่โดยพื้นฐานเขาไม่ใช่ Playboy เขาไม่ใช่คนที่จะเดินไปจีบใครแล้วก็จะพยายามพาขึ้นเตียง แต่เขามีบุคลิกอย่างหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของผู้ชายที่ผู้หญิงชอบ จริงๆจะเรียกว่าเป็นเสน่ห์ที่แม้แต่ผู้ชายหรือคนทั่วไปด้วยกันเองก็มองหา นั่นก็คือนั่นคือความเป็นธรรมชาติ
Oppenheimer ไม่ใช่คนที่มีความซับซ้อนด้านการแสดงออก เขาคิดอะไรเขาพูดอย่างนั้น แล้วเขาไม่เกรงใจใคร เขาไม่ใช่คนขวานผ่าซาก เขาพูดจานิ่มๆ แต่เขากล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่เขาเชื่อหรือสิ่งที่เขาคิด ต่อให้สิ่งนั้นจะไม่ถูกใจใครก็ตาม นั่นเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของ Bad Boy ซึ่ง Typical Nice Guy ไม่ค่อยมี พอมาเทียบกับในชีวิตประจำวัน เรามักจะถามว่า ทำไมผู้หญิงถึงชอบแบดบอย แล้วมีอะไรเกี่ยวกับ Nice Guy ที่ผู้หญิงไม่ชอบ คำตอบคือความไม่เป็นธรรมชาตินั่นเอง
ลองมานึกดูดีๆ อะไรทำให้ผู้หญิงถึงไม่ชอบผู้ชายที่คอยวิ่งตาม คอยถาม คอยตามเล้าหลือว่าอยากได้นู่นอยากได้นี่ไหม แล้วรีบประเคนมาให้ ไม่ใช่ว่าไม่ดี ใครๆก็ชอบคนเอาใจ แต่ถึงจุดนึงเรารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ธรรมชาติ ตัวตนเธอไม่ได้เป็นแบบนั้น มันรับรู้ถึงความปกปิด รับรู้ถึงช่วงโปรโมชั่นที่มันจะต้องหายไป แล้วมันเป็นธรรมชาติของคนที่เราจะรู้สึกไม่สบายใจที่เรารู้ว่า ข้างใต้บุคลิกนั้นมันมีคลื่นใต้น้ำ และเราไม่ชอบเซอร์ไพรส์ว่าวันนึงตัวตนจริงๆเขาจะออกมา
Oppenheimer แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เพียงแวบแรกที่ได้คุยกับเขาเรารู้ทันทีว่านี่คือตัวตนเขาจริงๆ คนเราส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบคนคารมดีอย่างที่เข้าใจกันแบบผิวเผิน คนเราชอบคนที่มั่นใจในตัวเอง และความมั่นใจไม่ได้หมายถึงการเป็นคน Cocky หรือการโอ้อวด หรือทำตัวกร่างให้ใครเห็น มันคือแค่ความมั่นใจที่จะแสดงตัวตนที่เราเป็น โดยที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะว่ายังไง
การที่ใครสักคนเปลี่ยนบุคลิกไปเรื่อยๆ หรือคอยมองว่าคนอื่นจะมองเขายังไง ให้นึกถึงกิ้งก่าที่คอยกลอกตาไปมา ซ้ายทีขวาทีตลอดเวลา ล่อกแล่ก อยู่ไม่นิ่ง มันไม่มีอะไรสง่างามในนั้น
แม้แต่ผู้นำทางทหารก็ยังชอบคุยกับเขา เพราะรู้ว่าความจริงใจและความตรงไปตรงมาจะทำให้เขาได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วอีกฝ่ายก็จะมอบความจริงใจนั้นให้เช่นกัน ทางด้านเพื่อนร่วมงานของ Oppenheimer พวกเขารู้ว่าเขาจะมีโอกาสที่จะเสนอความคิดที่แตกต่างและอีกฝ่ายจะฟัง นั่นคือการให้เกียรติ การเป็นตัวของตัวเองคือการให้เกียรติตัวเอง และให้เกียรติคนอื่นในเวลาเดียวกัน
ทีนี้มาในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว การเป็นคนตรงไปตรงมา การเป็นคนที่พูดในสิ่งที่คิดมันช่วยอะไร? มันช่วยให้เรา Connect กับเพศตรงข้ามได้ยังไง เคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งไหมครับว่า “อย่าดูถูกการคุยกันทุกวันมันจะทำให้เรา Connect จิตใจกัน” หรือคำกล่าวอีกอันหนึ่งที่บอกว่า “ถ้าเรารับรู้ความลับของกันและกันมากกว่าประมาณ 10-20 กว่าเรื่อง เราจะเริ่มรู้สึกว่าอีกคนคือคนพิเศษ” มันมีการทดลองแบบนี้ออกมาซึ่งผมจำไม่ได้ว่าทดลองจากไหน แต่ผมเคยอ่านเจอ
Oppenheimer เป็นคนที่พูดตามความจริง รวมถึงความรู้สึกของเขาเอง แฟนคนแรกของเขาเป็นนักคิดหัวการเมือง สองคนนี้รู้ว่าต่างคนต่างมีของที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ เพราะ Oppenheimer มีอะไรมากกว่าแค่หน้าตา (ไม่ได้หล่อ แต่ก็ไม่ขี้เหร่) เขาฉลาด ถ้าลองยกตัวอย่างบทสนทนา คุณลองคิดว่าบทสนทนาแบบไหนจะสนุกกว่ากัน สมมติว่าคุณต้องไปจีบใครสักคน แล้วเราเอาแต่คอยตามเดาว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง เราพยายามหาคำตอบที่ถูกใจเขาที่สุด บทสนทนาจะเป็นลักษณะแบบนี้...
เธอชอบนี้ไหม
ฉันก็ชอบ (ต่อให้จริงๆจะไม่ชอบก็ตาม)
อืม (จบ...ไม่มีอะไรต่อ)
แต่ในขณะที่การเป็นตัวของตัวเองหมายถึง
เธอชอบเรื่องนี้ไหม
ฉันไม่ชอบ
คำถามถัดมาคือ “ทำไม” แล้วตามมาด้วยการอธิบาย นั่นคือกระบวนการที่ได้รู้จิตใจลึกๆของอีกฝ่าย และ Connection จะเริ่มจากตรงนั้น ดังนั้น Conflict ไม่ได้หมายถึงการจบบทสนทนาเสมอไป แต่มันคือสะพานของการเชื่อมความเข้าใจ และ Oppenheimer ไม่กลัวที่จะอยู่ท่ามกลาง Conflict
Oppenheimer ไม่ได้ตั้งใจเป็นเสือผู้หญิง แต่ด้วยความเป็นธรรมชาติและความเปิดอก ทำให้อีกฝ่ายพูดเปิดอกได้เหมือนกัน เขาให้เกียรติคน เขาไม่โยนความคิดต่างทิ้ง หรือพยายามกดให้จมดิน
เขาไม่สนการเอาชนะ (ไม่ใช่พวกอีโก้บอบบาง แตะไม่ได้) และเมื่ออีกฝ่ายพูดหรือแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา เขาจะมีความรู้สึกเป็นอิสระ รู้สึกว่าเป็น Safe Zone และเมื่อรวมกับบุคลิกภาพที่เป็นคน Open เหมือนกัน จะกลายเป็นว่าคนสองคนสามารถ Connect กันได้โดยที่ไม่มีกำแพงกั้น นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไม Oppenheimer ถึงได้มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงค่อนข้างลึกซึ้ง แต่น้อยคน
Oppenheimer เป็นคนที่มีความอ่อนไหวทางด้านอารมณ์ เขาไม่คิดจะซ่อนจุด เขาไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ความไม่สมบูรณ์แบบนี้แหละมันทำให้เขา Connect กับอีกคนนึงที่เผลอเข้ามาอยู่ในวงสนทนาลึกซึ้ง สุดท้ายถ้าเป็นผู้ชายก็จะจบลงที่เพื่อนสนิท ผู้หญิงก็มักจบลงที่คนรัก
การมีเสน่ห์บางครั้งไม่ต้องเป็นอะไรมากมาย หรือเป็นอะไรที่เกินมนุษย์ทั่วไปที่พยายามทำตัวเองดูน่าชื่นชม บางครั้งคนเราสามารถ Connect กันได้ด้วยความบกพร่อง เพราะมันทำให้เราได้เห็นว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต่างจากเราเท่าไหร่
คนที่จะเป็น Emotional Support กันได้ ไม่จำเป็นต้องให้ทางออกกับทุกปัญหา แต่ในระหว่างที่เผชิญกับปัญหา เผชิญกับคลื่นลมต้องฝ่าไปด้วยกันได้ และการฝ่าเป็นมากกว่าแค่ว่าการพูดว่า “ฉันจะอยู่ข้างๆเธอ”
Oppenheimer มีคุณสมบัติที่ว่า เขาสามารถฝ่าไปกับคนรอบตัวของเขาได้ในลักษณะของการเข้าใจคลื่นลม รับรู้ถึงความเจ็บปวด รู้ถึงความยากลำบาก ณ ตรงนั้น แล้วต่อให้เขาไม่ใช่คนเพอร์เฟค อีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกขาดทางด้านจิตใจ
ถ้าดูหนังแล้วจะรู้ทันทีว่าเมื่อ Oppenheimer ถอยออกจากชีวิตคนคนหนึ่ง มันสร้างหายนะต่อคนคนนั้นขนาดไหน
หากดูจากฝ่ายหญิงที่ Oppenheimer มีความสัมพันธ์ด้วย พวกเขาก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ซึ่งมันสะท้อนถึงจิตใจของ Oppenheimer เองว่าลึกๆเขามีความไม่มั่นคง คนประเภทเดียวกันมักจะดึงดูดกันและกัน
สำหรับ Oppenheimer วิทยาศาสตร์คือแกนของชีวิต เขาใช้ทฤษฎีในการแก้ปัญหาทุกอย่าง จนถึงจุดหนึ่งเขารู้ว่าทฤษฎีพาเขามาสุดทาง ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เต็มไปด้วยสมการที่เขาหาคำตอบไม่ได้ เขาไม่ชอบตรงนั้น แต่ช่วยอะไรไม่ได้เพราะนั่นคือธรรมชาติของโลก
หากมองประเด็นพวกนี้ในด้านของชีวิตประจำวัน คนรอบๆตัวของเขาหรือแม้แต่พวกเรากันเองที่อยู่ตรงนี้ก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกันอยู่ หลายครั้งเราอยากให้ชีวิตไปในลักษณะ 1+1=2 แต่ชีวิตจริงไม่ใช่แบบนั้น บางครั้งมันบวกได้ 3 หรือบางครั้งมันบวกได้ 0 เพราะชีวิตเป็นคณิตศาสตร์ของพระเจ้าที่เราไม่มีทางเข้าใจ
Oppenheimer เป็นตัวอย่างที่ดีว่าอย่าพยายามเป็นอะไรที่เราไม่ได้เป็น เป็นตัวของตัวเอง ต่อให้ไม่ถูกใจใคร ขอให้มั่นใจ พูดในสิ่งที่คิด แต่ก็ต้องให้เกียรติและมีมารยาทกับคนอื่น รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ เพราะทุกๆการตัดสินใจมีราคาต้องจ่าย ไม่ว่าการตัดสินใจนั้นจะให้ผลดีแค่ไหนก็ตาม เพราะโลกนี้คือการจ่ายราคา ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ขาวไม่ใช่ดำ 100%
ในด้านการทำงาน คนที่เก่งที่สุดอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่จะนำทุกคน แต่ผู้นำอาจเป็นเพียงคนที่พร้อมจะถอดหัวโขน พร้อมจะถอดตัวตนของตัวเองเพื่อจุดประสงค์หลักของส่วนรวม คนที่จะเป็นกาวประสานงาน และการเป็นกาวไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นชิ้นส่วนที่แข็งแรงที่สุด แต่เราต้องแข็งพอและมีความโอนอ่อนผ่อนปรน พอที่จะดึงทุกคนมาอยู่ด้วยกันได้
ทั้งด้านชีวิตคู่ บอกได้เลยว่าไม่ใช่ทุกคนที่ตั้งใจจะออกนอกลู่นอกทาง แต่ขอให้ระวังการกระทำ ความเกรงใจ ความไม่เด็ดขาด บางครั้งมันพาเราไปในจุดที่กู่ไม่กลับ ต้องรู้ทันการกระทำของตัวเองตลอดเวลา
ถ้าในทางฝ่ายพุทธเขาก็จะบอกว่าให้รู้ทันใจตัวเอง แต่ถ้าในทางคริสต์ เขาก็จะบอกว่ามารในใจเรา เราไม่มีทางรู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน รู้ตัวอีกทีจิตใจเขาก็ไปกับใครเราก็ไม่รู้ จิตใจเขาก็อยู่ในสภาพหรืออยู่ในโหมดอะไรที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นมาก่อน เพราะมันไม่ใช่ของเรา
บางครั้งเราเชื่อว่าเราควบคุมชีวิตได้ แต่จริงๆเราแค่ React กับสิ่งที่จิตใจของเราตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว ใจเราเองยังไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นเราทำได้แค่ตีกรอบ ตีเส้นว่า ณ จุดไหนถือว่าเกินหรือไม่เกิน และอย่าได้ล้อเล่นกับความรู้สึก เพราะทุกคนที่ทำผิดพลาดเกิดจากความคิดง่ายๆว่า “มันไม่มีอะไรหรอก”
Oppenheimer เป็นมากกว่าหนังวิทยาศาสตร์ มันเป็นหนังชีวิต มันเป็นหนังที่พูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ ความจริงที่ว่าชีวิตมันไม่ง่าย เพราะธรรมชาติไม่ได้ชอบอะไรที่เพอร์เฟค ธรรมชาติชอบความสมดุล
และที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องตระหนักไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีราคาต้องจ่าย แม้แต่เรื่องที่ดีที่สุดบางครั้งราคาที่ต้องจ่ายก็แพงที่สุดเหมือนกัน และอย่าได้ละเลยกับการกระทำและเล็กๆน้อยๆ เพราะบางครั้งการไม่ตัดสินใจหรือการปล่อยปละละเลย มันก็มีราคาของมัน
Oppenheimer เป็นหนังที่ดี บางคนอาจจะถามว่าในเมื่อเขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุด แล้วส่วนไหนของเขาที่ทำให้เขาคู่ควรที่จะมีหนังของตัวเอง มันคือส่วนของความเป็นมนุษย์ มันคือส่วนที่เขาต้องดีลกับอะไรยากๆหลายๆด้านพร้อมกัน และผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด มันทำให้เรารู้สึกถึงความกดดันในชีวิต เรารู้ว่าชีวิตมันมีหน้าตาเป็นยังไง มันทำให้เรารู้จักตัวเอง
หากใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ผมขอแนะนำ ตัวหนังค่อนข้างยาวแต่จะได้อะไรเยอะกว่าที่คิด ด้านงานภาพหลายอย่างต่อให้เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาพนั้นสื่ออะไร แต่งานเสียงถือว่าดันอารมณ์ได้ดีมากๆ ผมยกให้เรื่องนี้เป็นหนังแห่งปี
สรุปสุดท้าย Oppenheimer ไม่ได้เป็นอะไรที่เรากล่าวมาทั้งหมด เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุด เขาไม่ใช่นักการเมืองที่ช่ำชองที่สุด เขาไม่ใช่นักเรียนที่ดีที่สุด เขาไม่ใช่คนรักที่ดีที่สุด เขาไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุด เขาไม่เป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากเป็นคนธรรมดาเหมือนเรา แล้วเขาเจอปัญหาไม่ต่างกับเรา ต่อให้สเกลของเขาจะใหญ่กว่าหรือดูเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ แต่สเกลที่เราเจออยู่ก็หนักหนาไม่ต่างกัน
เพราะถ้าเผื่อระเบิดประมณูพูดถึงอะตอมที่มันเป็นเรื่อง Universal อยู่ทุกๆที่ บางครั้งปัญหาหรือการใช้ชีวิตก็อาจเป็นเรื่องของอะตอมเช่นกัน เพราะมันก็รวมเป็นคน รวมเป็นสังคม รวมเป็นอะไรหลายๆอย่างรอบตัว และมันก็เป็นเรื่องของชีวิตของเราเช่นกัน
หนังดี ให้ 9/10 จบครับ
ความรัก
ความรักความสัมพันธ์
ภาพยนตร์
1 บันทึก
2
2
2
1
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย