10 ก.ย. 2023 เวลา 10:01 • ปรัชญา

พระภัททิยะเถระ ..ธรรมะวินัย.. ธรรมเค้าจะทดลองทดสอบเสมอ

ก็ดีใจที่ทุกคน ตั้งอกตั้งใจทำ เห็นความสำคัญของบุญที่เกิดขึ้น กิริยาของบุญก็ดี การนอบน้อมเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น อารมณ์ต่างๆ วางไว้อยู่ที่ นำอารมณ์ที่สร้างความดีให้แก่จิต สร้างเป็นบุญกุศล แม้แต่ตัวตัวกระทำที่เกิดขึ้น
จิตดวงใดก็แล้วแต่ ได้กายเช่นนี้ จิตดวงนั้นก็มีแต่ความสุข เมื่อมีความสุข จิตไม่มีภาระเรื่องราวของกรรม ก็มีเวลาไตร่ตรอง เรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย ของจิตที่เกิดขึ้นมา ที่มีเรือนกายที่ครบอาการสามสิบสอง
..ก็จะทำให้จิตระลึกว่า ฉันดีใจจังเลย ที่ได้เรือนกายธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา ได้ส่งเสริม ให้ธาตุทั้งสี่ของเราได้ประกอบมาเป็นตัวตนเราในขณะนี้ ไม่พิกลพิการ มีสติสัมปชัญญะที่รู้เรื่องราวจต่างๆ ดีและชั่ว ได้วางตนของตนให้เป็น..ตนที่มีแต่ความสุข คือ มีธรรมเป็นที่พึ่ง นั่นเอง ได้รู้จัก คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไม่ได้เป็นคำสอนที่เป็นสมมุติ เกิดขึ้นมา..อุปโลกน์ขึ้นมา ว่าสิ่งนั้นเป็นไอ้นั่น สิ่งนี้เป็นไอ้นี่
แต่โชคดีที่จิตของเรา ..มีเรือนกายที่เป็นกายบุญ หนุนนำกายบุญนั้นมาส่งเสริม ให้มีจิตมีปัญญาในธรรม รู้แล้วละในสิ่งต่างๆ แต่ละยังไม่หมด ..แต่ใช้เวลาการกระทำเป็นหลัก คือ การกระทำสร้างคุณความดีให้แก่จิต โดยนำเรือนกายนี้มาสะสม..ทิ้งกรรม ของตัวเอง โดยนั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรม ทั้งนี้แล้วแต่โอกาสที่จะเกิดขึ้น จะเป็นเนื้อนาบุญให้แก่จิต มีความแข็งแรง พร้อมที่จะทิ้งสั่งที่ยึดถือนี้ออกไป
.. แต่ก็เราก็ยังมี่ตัวยึดอยู่มากมายก่ายกอง แต่สิ่งที่อยู่ในเรือนกายของเรา ก็จะค่อยๆ ทยอยออกจากเรือนกายนี้ไป ทีีเล็กทีละน้อย โดยใช้แสงรัตนะ หรือ แสงของบุญที่เกิดขึ้น โดยการกระทำของเรา
การกระทำของเรา มีกายที่เป็นกายบุญ ที่จิตเฉยๆ ที่มีจิตที่แข็งแรง ปัดกวาด สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ออกจากจิตใจของเรา จิตก็ค่อยๆไม่ใช่ว่า ของมันเลอะเทอะ จะกวาดครั้งเดียว หรือ เช็ดทีเดียว มันจะหายเลอะ มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องหมั่น กวาด หมั่นถู หมั่นดูแลอยู่เป็นนิจสิน ไม่ใช่กวาดแล้ว ..ปล่อยมันเสียนมนาน หรือว่า ปล่อยมันจน..ขี้ฝุ่นมาจับอีกจนไม่สามารถ ที่จะปัดกวาด เข็ดถูได้ ให้มันสะอาดได้
เมื่อเรามั้นเก็บกวาด อยู่เป็นนิจสิน สถานที่ ที่เราอยู่ ก็เป็นสถานที่ ที่สะอาดสะอ้าน จะวางของสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป วางกายวาจาใจของเรา ก็..เป็นเรือนกายที่สะอาดสะอ้าน ที่เข้าข้างความบริสุทธิ์เกิดขึ้น มากขึ้นๆ สิ่งนั้นแหละ สิ่งที่..ที่จิตได้มาอาศัย มีความสุข ได้ทุกชาติ ทุกภพ ที่เกิดขึ้น
แต่ขณะนี้ กำลังกระทำอยู่ ยังไม่เท่ากับ การสะอาดสะอ้านที่แท้จริง จิตก็ยังหาความสุข..ที่แท้จริง ยังไม่ได้ ต้องค่อยๆ กวาด คอยเช็ดคอยถูกันอยู่เช่นนี้ เป็นนิจสิน
เราก็ไม่ปล่อย ..ไปให้มันรกรุงรังเกิดขึ้น ไม่มีอะไรทำให่เลอะเทอะเกิดขึ้น เพราะ มันจะเลอะเทอะ เราก็มากวาดมาถูมัน ความสะอาดสะอ้านของจิต ก็เริ่มมากขึ้นๆ
อะไรต่างๆ เมื่อไม่มีความปลอดโปร่ง ปัญญาธรรม ปัญญาสิ่งต่างๆ ก็จะไหลมา สู่จิตของเรา จิตของเราก็จะล่วงรู้ว่า อะไรดี หรือ อะไรไม่ดี ที่เกิดขึ้น เราต้องหมั่นเพียรพยายาม ที่กระทำ
ดูเรือนกายมนุษย์หญิงชายที่เค้าทำ กายนิ่ง..นอบน้อม กิริยาเกิดขึ้น ก็นำไปเก็บไว้ ยังใช้การไม่ได้ ก็เก็บไว้เป็นตัวอย่าง ซึ่งเค้ามามองดู..หูทิพย์ตาทิพย์..ที่มามองเราเรามนุษย์หญิงชาย ที่กำลังทำ
ถ้าทำได้อย่างนี้ เท่ากับได้เผยแผ่..เผยแผ่จิตของเราให้เป็นเนื้อนาบุญ ให้แก่ตัวเราเอง ขยาย..อย่าขยายในสิ่งที่ผิดๆ เช่น ทำบุญ ก็ล็อกแล็ก ปฏิบัติก็ไม่นิ่ง กายก็ไม่นิ่ง ก็เลย..เค้ามองเห็นข้างใน โอ้โห..คนนี้ใช้การไม่ได้เลย
แล้วก็ใช้การไม่ได่ เราก็ทำไป ..หมกมุ่นอยู่กับกรรม จะเห็นว่า เราปฏิบัติธรรม ..ทำไม จิตใจว้าวุ่น ทำไมมีทุกข์อย่างนี้ ไม่ปล่อยวางอะไรเลย ที่จริงเราปล่อยวางไม่ได้ แต่การกระทำของเรา..ห้อมล้อมเกิดขึ้น ในสิ่งที่ดี..
..ทำไมจิตใจของเรา ..ปฏิบัติธรรม..สร้างบุญ สร้างกุศล มันเกิดมีความสบายใจเกิด ไม่กลัดกลุ้ม ไม่ห่วงใยเรื่องราวต่างๆ มันเย็นสบาย อากาศต่างๆ ถึงจะร้อนอบอ้าวอย่างไร จิตใจทำไมสบาย อากาศ..ดินฟ้าอากาศที่เราอาศัยอยู่ ก็ไม่มีความหมายอะไรกับสังขารนี้ ..จิตใจของเรา..อยู่ที่จิตของเราต่างหาก ที่จะเข้าใจ ในการที่เราอยู่ ..ได้เกิดมา ..และได้อยู่ในสังขารนี้ ถ้าจิตไม่เข้าใจ มันก็สับสนวุ่นวายอยู่เช่นนั้น วางมัน
..ถ้าเราวางได้ สิ่งนั้นก็เป็นของเรา ถ้าวางไม่ได้ ความวุ่นวาย สิ่งที่ครุ่นคิด อารมณ์ต่างๆ มีนก็ช่วยกระพือให้เรา ได้รับความลำบากทั้งกายและใจเกิดขึ้น เอามั้ย..ไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะเรา ..เราสร้างขึ้นมาเอง เราก็ต้องใช้กรรมของตัวเองสืบต่อไป
นี่เราต้องขยับขยาย เราต้องเรียนรู้ ..เรียนรู้ว่า..ความสุขที่แท้จริง ต้องทำแบบไหน ถึงจะเป็นความสุข เราต้องมาเรียนรู้ เรียนรู้ เรื่องการทำบุญ การสร้างบุญสร้างกุศล สร้างจิตสร้างใจ กิริยาต่างๆที่เกิดขึ้นจากหูตาจมูกลิ้นกายใจ ต้องต้องพร้อมมูลว่า โอ้ว..เราทำอย่างนี้ จิตของเราไม่ว้าวุ่น ไม่ร้อนรน ไม่ไปติดยึดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งนั่น มันมีความสุขจริงๆ ก็นำสิ่งเหล่านี้ ..เก็บเข้าไว้ ภายในจิต
ถ้ามีความ..กรรมมันมา มันต้องมีกรรมอน ต้องคืดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ต้องคิดวิตกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ นึกถึง..การสร้างบุญสร้างกุศลในวันนี้ นำไปยึดอยู่กับจิต ..สิ่งที่จะว้าวุ่น คิดอะไรไม่ออก ก็จะยุติตรงนั้นไป จิตมีความสุข มีสบาย ก็คิดอะไรก็..อ่านออก เขียนได้ ที่จะเดินทาง ..ในทางที่ถูกต้อง
เหมือนกับการที่เราตัดไม้ ..ตัดไม้ให้พอดีกับ ช่องประตูหน้าต่าง ถ้าจิตมันว้าวุ่น ..ตัดแล้วตัดอีก พอดีไอ้ไม้ที่จะไปวาง มันก็ขาดๆเกินๆ ในที่สุดก็ต้องเปลื่อนไม้ใหม่ เปลื่อนกันอยู่อย่างนั้น ของก็เสีย เหนื่อยก็เหนื่อย ว้าวุ่นก็ว้าวุ่น
ก่อนที่จะทำ .ที่รู้ว่าว้าวุ่น ก็หยุดซะ ..หยุดนึกถึงเรื่องดีๆที่เกิดขึ้น เพราะเราทำความดีมา เราก็เก็บความดีของเราไว้ ไม่ไปไหนอยู่ที่จิตของเรา เราจะทำได้มั้ย ถ้าทำได้..หยุดชั่วขณะหนึ่ง ดึงลมหายใจลึกๆ แล้วกลั้นลมหายใจ นึกถึงสิ่งที่เรามีความสุข ที่เราได้ทำ..สร้างบุญสร้างกุศล หรือ ประพฤติปฏิบัติธรรมตอนหนึ่งตอนใด นำเก็บไว้
..เก็บไว้ โดยที่เราจะรู้ได้..ต่อเมื่อจิตเรา..เฉย ที่ให้กลั้นลมหายใจ ..ที่เพื่อทำให้..จิตเราเฉย จิตเฉย..จะได้นึกไปถึง..ตรงไหนที่มีความสุข สุขเกิดขึ้นแล้ว จิตใจก็ปลอดโปร่ง เราจะตัดไม้ลงไปที่ช่องหน้าต่างนั้น ตัดทีเดียวก็ต้องเข้าที่แล้ว ไม่ต้อง ตัดแล้วตัดอีก เกิดแล้วเกิดอีก ..เหนื่อย..ใช้อารมณ์ต่างๆมากมายก่ายกอง แล้วจะไปคล้องกรรมกับวัตถุต่างๆ คล้องกรรมกับคนใกล้เคียงเกิดขึ้น เป็นเวรเป็นกรรม ให้จิตของเราไปคล้องกรรม สร้างเจ้าเวรนายกรรมเกิดขึ้น
เจ้าเวรนายกรรม ไม่ใช่มีแต่สิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น แม้แต่วัตถุ ที่เรา..ที่จะเอาไม้ไปตอกที่หน้าต่าง ก็เป็นเจ้าเวรนายกรรมเราเหมือนกัน เพราะเราไม่พอใจที่เราทำ วางแล้ววางอีก ..ก็ไม่พอดีสักที เราก็เลยโมโหเกิดขึ้น ..นั่นแหละ..เจ้ากรรมนายเวรของเราเกิดขึ้น แต่เป็นวัตถุต่างๆ เราอย่าให้วัตถุต่างๆมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา ให้อภัยเค้าเถิด แล้วนึกถึงสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นภายในจิต
เหมือนกับเราเดินมา จะไปหยิบแก้วน้ำ ..แต่ไปปัดแก้วน้ำทิ้งเสีย แก้วก็แตก เราก็โมโหตัวเอง หรือ..โมโหว่า ใครน่ะมาวางแก้ว ที่หมิ่นเหม่เหลือเกิน ทำให้เราไปปัด โมโหไปถึงคนวาง หรือ ..เพราะเราพลั้งเผลอนั้นเอง
..เมื่อมันเป็นเข่นนั้น ก็หยุดสักครู่หนึ่ง หยุดเอาในสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตของเรา ที่เราเคยกระทำมา ความสบายใจก็เกิดขึ้น เมื่อมันแตกแล้ว จะ..ไม่ให้มันไม่แตกไม่ได้ เราก็ไปเก็บกวาด ไปเช็ดไปถู ..เช็ดถูเรียบร้อยเสร็จแล้ว สบายใจมั้ย ..สบายใจ ไม่ต้องเดือดร้อนใคร เหนื่อยมั้ย..มันไม่เหนื่อยเลย เพราะนึกถึงแต่ความสุขที่เกิดขึ้น เราได้ทำในสิ่งที่..ต่อไปเราจะไม่เดินในแบบนี้อีก ไม่ใช้มือใช้ไม้ในสิ่งที่วุ่นวาย จะใช้ก็ใช้ด้วยความเจาะจง มั่นคงยิ่งขึ้น
..นั่นคือ เรียก สติของตัวเอง คืนมา ..โดยที่ไม่สร้างเวรสร้างกรรมให้กับตัวเอง ก็ได้หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในการสร้างบุญ หรือในการประพฤติปฏิบัติ จดจำในสิ่งที่ดีๆเข้าไว้เท่านั้น
..สำคัญปฏิบัติไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เกิดขึ้น แล้วอุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นผู้ทำได้ๆ แต่เวลาอะไรมันเกิดขึ้นมา มันหายไปไหน ในสิ่งที่ว่าทำได้ ..มันทำไม่ได้..แล้วก็บอกว่าทำได้
ธรรมเค้าจะทดลองเสมอ เห็นว่าตัวเองทำได้ อวดดี ก็ลองไปเจอดู เสร็จแล้วก็เหมือนเดิม โมโหยังไง ไม่พอใจยังไง ก็เป็นเหมือนเดิมอย่างนั้น ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน รู้แล้วว่าเรา..ไม่พอใจ เราก็หยุด เอาสิ่งดีๆที่เราเคยทำ ขึ้นมาให้จิตได้เรียนรู้เกิดขึ้น เราจะได้มีสติปัญญา จิตมันสบาย คิดอะไรก็ออก แล้วก็ให้อภัยในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น กรรมมันก็..ไม่เกิดขึ้น ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้นภายในจิตของเรา
นี่ของง่ายๆ แต่ก็ต้องหมั่นเพียรพยายามในการกระทำจนรู้จัก ว่าทำที่รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ การสร้างบุญกุศลอะไรต่างๆ เกิดขึ้นอย่างนี้ ถือว่าเราได้ในสิ่งเหล่านั้น เราจะได้นำสิ่งเหล่านี้ เป็นประจักษ์พยานให้แก่จิต และ ดินฟ้าอากาศ ที่เค้าถูกบันทึกขึ้นมา
เพราะเราบันทึกเข้าไว้แล้ว มันก็ต้องเป็นของเรา ทำดี.. แต่บันทึกในสิ่งที่ไม่ดีลงไป พร้อมกันไป มันอยู่คู่กัน ไอ้ตัวไม่ดี..มันจะมา.มากกว่าตัวดี เพราะฉะนั้น เราก็ใฝ่อยู่ที่ ..เลยสร้างจิตสร้างกรรม ใจที่ว้าวุ่น โมโหโกรธา มีความทิฐิเกิดขึ้นมากมายก่ายกอง นั้น..ไปเป็นเรื่องเป็นราวไปอีก กลายเป็นต้องเก็บไปเป็นชาติๆ ที่จะต้องอยู่กับเค้า ปลดปล่อยมันไปเสีย เราก็จะได้สิ่งเหล่านั้นไปเป็นของเรา ข่วยตัวเอง ช่วยเหมือนตัวเอง ให้มากๆอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของเราแล้ว
..การทำบุญ ก็ได้ผลประโยชน์อย่างนี้ การปฏิบัติที่ก็ได้ผลอย่างนี้ แต่ให้รู้จักเลือกเอา เลือกเอาสิ่งที่เราเอาไปใช้ ถ้าเพียรพยายามที่จะกระทำ อย่างแน่วแน่ จริงจังขึ้นมา เราก็จะได้ สิ่งเหล่านั้น เป็นอะไของเรา
แต่สำคัญ ทำไปตามยถากรรม อยากจะทำก็ทำ ไม่หมั่นเพียร ถึงเวลาก็ทำ เพื่อไม่ให้คนโน้นคนนี้เค้ามาดูว่า เราไม่ได้ทำ ต้องตั้งใจที่จะกระทำปล่อยเปลื้องเรื่องราวของกรรม ความทุกข์ของเรา เราไม่ได้ทำฟรีๆ เราต้องการทำ..เราทำไม่ได้ทำคนเดียว อย่างน้อย ..แม่ทั้งสี่ ที่ในตัวเรา เค้าก็บันทึก แล้วอยู่ๆมีหูทิพย์ตาทิพย์ เค้าเดินผ่านำปผ่านมา
..หรือว่า โอปปาติกะต่างๆ ที่ร้อง โหยหา ขอบุญฉันบ้าง เปรตอสุรกาย ก็มาร้องขอ เราก็ไม่ได้ยิน แต่เราก็ ..ทำไป..เค้าเห็นแสง เค้าก็อนุโมทนา.. เค้าก็เป็นสภาพจากการหิวโหยเกิดขึ้น เป็นเนื้อนาบุญ ให้แก่เค้า จิตของเราก็เป็นจิตเป็นทาน เป็นเรื่องบารมีเกิดขึ้น โอ้ว..ได้ตั้งเยอะแยะ ขอให้ตั้งใจ ทำในสิ่งที่ คิดว่า..นั้น คือเนื้อนาบุญที่แท้จริง
แต่นี่ไป..เดินจงกรม ก็ไม่มีเนื้อนาบุญ คิดนั้นคิดนี่ เรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา มันเป็นกรรมทั้งนั้น ต้องหยุดให้ได้ หยุดให้เป็นเนื้อนาบุญ ที่แท้จริง สิ่งที่ได้..คือ จิตของเรา ก็เป็นจิตที่ประเสริฐ เกิดมากี่ชาติๆ ก็ได้ลดละ อารมณ์กรรมตัวกระทำไปทุกชาติ จิตของเรา เป็นจิตผู้มีธรรมเกิดขึ้น
นี่ที่มาที่ไป การสร้างบุญ สร้างกุศล ทุกผู้ทุกนาม ทุกดวงจิต ทุกดวงดาว เมื่อฟังแล้วของให้จดจำ ..ไป..นำไปบันทึกแม่ทั้งสี่ ที่ท่านได้นำเรื่องราวต่างๆ ตัวตนขึ้นมา ปรากฏในสถานะนี้ ให้จดจำ แล้วไปแก้ไขกันเอาเอง ให้บันทึกเป็นสิ่งที่ดีที่งาม ภาพวันนี้ไป บันทึกเสียงไป บันทึกเรื่องกิริยาต่างๆ บันทึกเหตุผลไป
ก็ขออนุโมทนา ในกุศลนั้นพร้อม กับญาติโยม โคตรมี ที่อนุโมทนาสร้างบุญ สร้างกุศลในวันนี้ สาธุ สาธุ สาธุ
…ปล..ธรรมวินัย กฤติยาโต โหตุ…
ธัมมะ กะริยา สัต ตะ ริ ยา เน จิต ตะ ถะ ริ ยา ปะติคาโล รัตธิ เต สัต ตะ รัต ธิ ยา ภัททะ นัน ธัมพระวินัย จัต ติ ยะ โต ปัต ติ ยา เต ติ สิท ธิ ยา โต โห ตุ.. เจริญสุข..
โฆษณา