14 ก.ย. 2023 เวลา 07:36 • ปรัชญา

แก้วเจียระไน .แก้วรัตนะ ปัญญาในบุญและบารมีของตัวเอง ..ต้นของกรรม

การทำสิ่งทั้งหลายเป็นที่ประจักษ์ ต่อดินฟ้าอากาศ ให้ประจักษ์อยู่ใน ดินแดนทั้งหก ขันธ์ทั้งห้าธาตุทั้งสี่ ที่ประจักษ์แล้ว อยู่ในตัวตนของแต่ละคนที่จิตมาอาศัยในเรือนกายนั้นๆ อยู่ ..เป็นที่ประจักษ์แก่จิตของแต่ละคน ว่าเป็นผู้อาศัย เป็นผู้นำมา ซึ่งเป็นประโยชน์ในแก่จิต มีผู้ที่ใช้ในเรื่องราวเหล่านี้ ไม่เป็นประโยชน์ให้แก่จิตเลยมากมายก่ายกอง นับไม่ได้ ที่จะต้องได้รับความทุกข์ ที่จะหา..ตัวเรื่องราวต่างๆ ที่จะมาใช้
บางคนใช้ไปใช้มา เดี๋ยว..ขาดได้โน้นขาดไอ้นี่ วิญญาณทั้งหกก็ไม่ครบถ้วน ขันธ์ทั้งห้าก็ไม่ครบ ธาตุทั้งสี่ก็ไม่ครบ ก็ต้องขาดลุ่มๆดอนๆ เพราะเค้าใช้ไม่เป็นนั่นเอง ใช้ไปในความโลภโกรธหลงเป็นที่ประจักษ์ ทำให้จิตของผู้นั่น มัวเมาอยู่ใน ตัณหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ผู้ที่จะช่วยเค้าได้ เค้าก็ไม่ให้ช่วย เพราะเค้าไม่ต้องการที่จะเดินทาง ที่จะใช้ในเรือนกายที่จิตอาศัยอยู่นั่น ให้เป็นประจักษ์แห่งความสุข เค้าจึงมีแต่เรื่องราวของความทุกข์ เพ้อฝันไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง ต้องเป็นได้โน้นเป็นไอ้นี่ ทะเยอทะยานไป แต่ไม่ได้ ..เอาวิญญาณทั้งนั้นหก ขันธ์ทั้งห้า ธาตุทั้งสี่ไปเคลื่อนไหว ในทางที่ถูกต้อง
หรือ เคลื่อนไหวไปทางที่หมกมุ่น อยู่กับตัณหาอุปาทานต่างๆ ในสิ่งเหล่านี้แหละ สิ่งที่ทำให้จมลงไป เกิดมาได้ทั้งที ก็ต้องจมลงไปอีกๆ แล้วเมื่อไหร่ จะได้ใช้วิญญาณทั้งหกเป็น ธาตุทั้งสี่เป็น ..มันก็ต้องบกพร่อง ไปอย่างนี้เป็นธรรมดา
แล้วยังมีเรื่องราวต่างๆ ที่มากมายก่ายกอง ที่มาสะสมกัน เห็นว่าสิ่งเหล่านั้น ดีที่สุด คือ อารมณ์กรรม แล้วตัวกระทำเค้าไม่รู้จัก แล้วกไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นจะมีจริง ก็เลย กระทำไปโดยพลการ ว่าสิ่งนั่นถูกต้องทั้งหมด เป็นเรื่องที่ดีที่งาม ..แต่เป็นเรื่องของความทุกข์ ทุกข์ไม่เคยคิด..คิดแต่ว่าสิ่งที่ทำนั้นคือ..สุข สุขที่กระทำไป โดยไม่ได้พิจารณาเลยว่า ..จมอยู่กับความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ทำไมไม่ละลาย ไม่ไปเห็นเรื่องราวต่างๆ
..อยู่ในศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาทั้งทีอยู่ในแว่นแคว้นที่ดี แต่ก็ทำให้แว่นแคว้นนั้นสกปรกเลอะเทอะ ไปด้วยกิเลสตัณหาทั้งปวง แล้วจิตจะดีได้อย่างไร จิตก็จมอยู่ในกิเลสตัณหาทั้งปวงนั้น เมื่อไหร่เราถึงจะมีความรู้จัก ว่าสิ่งกิเลสตัณหาต่างๆ โลภโกรธหลง เป็นอุปสรรคต่อจิต จะทำให้จิตต้องได้รับทุกข์เวทนาเปิดนิจสินมจะอยู่ตรงไหน ก็มีแต่ทุกข์
แต่ว่า ..มายาต่างๆ เค้าปิดบัง ไม่ให้จิตดวงนั้น ได้รู้จักว่า การนั่งอยู่เฉยๆ เพ้อฝันนั้นเป็นเรื่องที่ดี มายาต่างๆก็ปิด ในเรื่องความที่นั่งอยู่นานๆ มันก็เจ็บปวดเมื่อยล้าเรื่องราวต่างๆ อารมณ์ต่างๆ ก็พุ่งพาไปโน้นไปนี่ สับสนวุ่นวาย เหมือนกับเค้ากำลังรบราฆ่าฟันกันอย่างนั้น แต่ด้วยความที่เหมือนกับ..เป็นสิ่งที่ไม่มีความสนุกสนาน ในการที่เค้ารบราฆ่าฟันกัน เป็นที่สนุกสนานของตัวเอง
วันหนึ่งๆ ไม่มีเรื่องอะไร มัวแต่มองดูภาพต่างๆ ที่ปรากฏภายในใจของตัวเอง ว่าจะต้องเป็นไอ้นั้นเป็นไอ้นี่ ไปอะไรต่างๆนานาที่จะเกิดขึ้น นั่นแหละ คือ สิ่งที่ไม่ศึกษา ไม่ศึกษาในธรรมที่แท้จริง เป็นเอากิเลสตัณหา ..วิญญาณทั้งหกไปจมอยู่กับเค้า เมื่อจมนานๆขี้โคลน..ขี้อะไรต่างๆ ความสกปรกเลอะเทอะ มันก็มืดลงไปทุกวัน จะเอาน้ำไปล้าง เค้าก็ล้างเท่าไหร่ ..พอล้างพอจะสะอาด เค้าก็ไปจมลงไปอีก
..อย่างนี้ขี้โคลนมันก็เปรอะเปื้อนหมด จะเดินทางไปทางไหน มันก็เลอะเทอะ เหมือนไปทั่วแว่นแคว้น ที่เดิมทางไป ก็มีแต่อารมณ์ต่างๆ ..มองสิ่งต่างๆ ที่เค้ามองดี …พวกนี้จะมองว่าไม่ดีเสมอเป็นนิจสิน เค้าสนุกสนาน ก็ชอบทำตัวเศร้าสร้อยเกิดขึ้น เพราการอุปโลกน์ ..อุปโลกน์ของวิญญาณทั้งหก ที่มองในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ บอกให้มันเป็นไปได้ ..ไอ้ที่เป็นไปได้ .กลับมองมันเป็นไปไม่ได้ ..กลับตาลปัตรกันหมด ทำให้จิตดวงนั้นหมกมุ่นอยู่กับการอุปโลกน์..อุปทาน
..จะทำอย่างไรหนอ จะให้จิตดวงนั้นตื่นขึ้นมา มองเห็นหลักธรรม ..ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หมั่นชี้แนะแนวทาง ให้แสงสว่าง โดยการหนุนนำเอาสิ่งที่เราได้กระทำขึ้นมา ไปแสดงให้เค้าดู แสดงทั้งเสียง ทั้งภาพเรื่องราวต่างๆ แล้วต้องมองไปถึง ในอดีต..สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม..ฮะไรมันเกิดขึ้น ..ไปบอกกล่าวว่า ..สิ่งเหล่านี้มันไม่ดี ..แต่ด้วยบุญกุศล..ที่ในชาติที่แล้ว ได้กระทำมา ..ก็เลยกลับเนื้อกลับตัว
หรือ กลับใจ..มาสร้างแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้น โดยยึดธรรม นึกถึงรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นที่ตั้ง ..ก็เดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสี่รอยเกิดขึ้น จนจิตและวิญญาณทั้งหก มีความแจ่มใสเกิดขึ้น มองสิ่งใดก็เป็นบุญเป็นทาน เป็นความที่อนุเคราะห์ สงเคราะห์เสมอ เป็นนิจสิน นั่นก็คือ เมื่อก่อนข้าพเจ้า เคยทำบุญให้ทาน แล้วอยู่ๆก็หยุดทำบุญให้ทาน เพราะกรรมมาตัดรอน เห็นสิ่งต่างๆเป็นเรื่องไร้สาระเกิดขึ้น
และบัดนี้ กรรมดีได้ปรากฏขึ้น ได้มาทำบุญทำทาน แล้วก็ยังมีประพฤติปฏิบัติ ให้จิตนิ่งสงบ ไม่ใช้วิญญาณทั้งหก ไปในทางที่ลุ่มหลงในลาภยศสรรเสริญที่เกิดขึ้น ทำให้จติและวิญญาณทั้งหก ได้มีความแจ่มและสว่างขึ้นมา
เหมือนกับ ว่าไฟที่ริบหรี่เกิดขึ้นม เมื่อเติมน้ำเต็มไฟลงไป ไฟดวงนั้นก็เริ่มสว่างไสวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสว่างไสวเกิดขึ้น ก็ใช้ไฟดวงนั้น ส่องแสวงหาเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ในทางโลกทางธรรม ก็มองไปในทางมีเหตุมีผลเกิดขึ้น แล้วก็ยังมีการกระทำในสิ่งที่ ..ปลดเปลื้องเรื่องราวของโลภโกรธหลงลงไป จึงมีอารมณ์เป็นทาน วัตถุเป็นทาน แล้วก็ยังมีหนุนนำเอากายมาเป็นทาน
กายเป็นทานนั้นไม่ใช่ว่า เอากายไปแบกหามอะไร เป็นกายนั้นอนุเคราะห์สงเคราะห์ บางสิ่งบางอย่าง เช่น คนนั้นยกขอไม่ขึ้น ก็เอากายมาเป็นเครื่องยก เค้าก็ช่วยกันยกไป เค้าก็มีเคลื่อนที่สิ่งของนั้นไปได้ นั้น ..บางทีเห็นเค้ายก เราก็มองเค้า ก็เดินสะบัดหน้าหนีไป หรือ ว่าคนนั้นเค้ามีทุกข์ เค้าอยากระบายทุกข์ เราก็เดินหนี เพราะไม่อยากมีทุกข์ เหมือนกับเค้า ก็เลยไม่อยากฟัง ไม่อยากทุกข์..
..ให้เค้าคายพิษ ..ภายในใจของเค้าออกมา แล้วเราก็ใช้ธรรมะ เป็นที่ตั้งอยู่ ฟังไป..พุทโธไป..พุทโธไป ..จิตเป็นพระ กายเป็นบุญกุศลเกิดขึ้น กระแสอันนี้ เมื่อเค้า..ตีบอลลงมาถูกข้างฝา .ข้างฝาเป็นบุญกุศลบารมี..วันนั้นก็เลย ..ไม่ถูกตัวผู้ที่เค้าตีมา ..สะท้อนกลับ กลายเป็นลมเย็นให้ผู้นั้น ได้รับความเย็นจากลูกบอล ที่เค้าตีไป
นั่นคือ สิ่งที่เราให้ ให้โดยกายของเรา ที่จะจะต้องทนทุกข์ ที่จะต้องไปนั่งฟังเรื่องราวการคายพิษของผู้อื่น นั่นเป็นทานบารมีที่สูง สูงอย่างไร ทำให้จิตของเราไม่ไปยึดติด ในสิ่งที่เค้าพร่ำพรรณา บอกกล่าวเรามา ..สิ่งเหล่านั้นเราเคยมา และเป็นไปทั้งนั้น มีความทุกข์เหมือนกับเค้า แต่เรายังไม่ค้นพบ ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของเรา แต่ที่จริงแล้ว มันผ่านมาๆ จนเราถูกอะไรต่างๆ มันปิดไปหมด ไม่สามารถจะรื้อฟื้นขึ้นมาได้
ถ้าเรารื้อฟื้นขึ้นมา เปิดดูเรื่องราวของเรา เราก็สามารถรื้อ..เอาสิ่งเหล่านั้นไปทิ้งได้ แต่เพราะถูกปกปิดอยู่อย่างนั้น เมื่อเค้าคลายพิษเรื่องราวอารมณ์ต่างๆ พรั่งพรูออกมา ด้วยความโลภโกรธหลงของเค้า เราก็ใช้ปัญญา ..คือ..การทำ..กายนิ่ง..จิตนิ่ง มีพุทโธเป็นที่พึ่ง มีพระเป็นที่พึ่งของจิตของเรา สิ่งเหล่านั้น เราก็จะรับรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น แม้แต่เราจะไปเลิก ดูสิ่งที่ปกปิดเราก็นึกไม่ออก วันหนึ่ง..ข้างหน้า สิ่งนั้น ..กลับมาสอนเรา แล้วเราก็ประจักษ์ ..แล้วเราก็ทิ้งมันไปได้
นั่นคือ เรื่องราวของอารมณ์กรรมตัวกระทำที่เกิดขึ้น อย่าหนี อย่าหาย..กับเรื่องราวที่จะเห็นว่า มันเป็นความขีรำคาญ มีความทุกข์ต่างๆ เราก็ต้องหยุดเค้าด้วย แล้วก็หยุดตัวเรา เพื่อจะคลี่คลายกรรมของเรา ที่ที่เค้าพูดออกมา หรือ เปล่งออกมาด้วยคำพูด ทั้งดุดัน
หรือ ว่าเป็นทุกข์เป็นร้อน อะไรต่างๆ เป็นของเราทั้งนั้น เค้าระบายออกมา ..ของเค้าก็จริง แต่เป็นของเรา ..แต่เป็นอดีตชาติ แล้วเราก็เป็นการปลดเปลื้องเรื่องราว ที่เค้าพรั่งพรูออกมา รวมไปกับเค้าด้วย เค้าก็คลายออก เราก็เลยหยิบมันทิ้งไป โดยที่เค้าเป็นเชื้อนำทางให้แก่เรา
แต่เค้าได้แต่ความสบายใจชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่สามารถตะเด็ดทิ้ง สิ่งที่มันยังติดเป็นราก หรือ เรียกว่า ถอนรากถอนโคนไม่ได้นั่นเอง เพียงแต่..เปิดเผยขึ้นมาเท่านั้น ..ได้ประจักษ์ว่า สิ่งนี้ต้นนี้ คือ..ต้นของกรรม ที่ได้เปิดเผย ให้คนอื่นเค้ารับรู้สักทีหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่จิตของเรา กับมีพุทโธๆ กับเอาสิ่งที่เค้าเล่านั้นแหละ เป็นอดีตชาติ การที่เราเคยกระทำมา กลับมีความสุข สุขที่หังคนเองเค้าระบาย เบาจิตเบาใจ แต่ว่า ..ถ้าเราไม่มีอะไรป้องกัน หมกมุ่นอยู่กับเค้า มันรำคาญจัง ฟังเมื่อไหร่จะจบ จะอะไร…เลยร่วมทุกข์ร่างกายสุขไปกับเค้าด้วย เค้าก็ระบาย ..ระบายมา ก็ปกปิดเหมือนเก่า กลับไปที่เก่าอีก อะไรต่างๆ ต่างคนต่างช่วยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นี่คือ เรื่องราวของการให้จิตเป็นทานเป็นบารมี ทีเหน่อจากกรรมทั้งหลาย
จงตั้งอกตั้งใจการกระทำนั้น เพราะอะไรถึงกระทำได้ถึงขนาดนี้ เพราะเราได้ทำบุญด้วยวัตถุที่เกิดขึ้น ทำบุญไอ้นั่น ทำบุญไอ้นี่ อะไรต่างๆ แล้วก็ถึง..จะมาถึง..เป็น..อารมณ์เป็นทาน เหมือนกัย พระเวสสันดรที่นี้ เค้าทำบุญทำทานด้วยวัตถุต่างๆ พอมาเป็นเจ้าชาย เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็มีให้อารมณ์เป็นทานไปทั้งหมด ไม่ยึดติดทรัพย์สินเงินทองที้งหลายเหล่านี้ หลุดพ้นเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ที่มาที่ไปเราก็นำไปศึกษา เอานำไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดขึ้น
.ทำเท่าไหร่นะวัตถุเนี่ย ทำบุญทำทานด้วยเต็มใจ เดี๋ยว..มันก็ไหลเข้ามาๆ มันเพิ่มพูนโดยที่เราไม่รู้ตัว ว่าทำไมมันไหลเข้ามาได้อย่างไร แต่อันนี้ต้อง..เอาไปพิจารณาว่า มันจริงหรือไม่จริง ถ้ามาเขื่อเลย ..อุ้ย..ทำใหญ่เลย ..ทำ.ทำ ..โดยที่ไม่มีสติที่จะรู้เรื่องในการทำบุญที่แท้จริงเกิดขึ้น ..
เอ๊ะ..ทำไปทำมามันก็ไม่หาย ไม่กลับมาเลยอะไรต่างๆ ก็ลองพิจารณาดูว่า เราทำ..ด้วยกายที่ ..กายบุญ จิตที่มีปัญญาในธรรม รวมแล้วของสิ่งเหล่านั้น มันไหลเข้ามาได้อย่างไร แต่ไม่ใช่ว่า ..มันลอบมาจากกลางอากาศ หรือ ว่าไป มีคนโน้นคนนี้ให้ การกระทำต่างๆ มันมีปัญญาเกิดขึ้น
โดยที่ เหมือนกับ สิ้นปีสิ้นเดือนที ทำไมเงินมันเหลือใช้ หรือวัตถุนั้น เงินเข้ามาได้อย่างไร อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็คือ จิตกำลังไม่มีความรู้สึกว่า มันมาได้อย่างไร ที่จริงแล้ว เป็นการแบ่งจัดสรรของปัญญาของเรานั่นเอง ทำให้เรามีเรื่องสิ่ง ที่กลับคืนมามโดยที่เราไม่อยู่ ไปใช่ในทางที่ผิด ..มันก็เลยกลับคืนมา โดยที่เราไม่รู้ตัว
ไปพิจารณาดู เราจะได้มั่นใจ ในการทำบุญให้ทาน ว่าทำแล้ว อยู่กับดินฟ้าอากาศ มิได้ไปไหน แต่กลับมาหาเรา โดยที่เรา คิดไม่ถึงว่า มันจะมา..มาได้อย่างไร ไม่ใช่ลอยมาแค่กลางอากาศ แต่มาโดยปัญญาในบุญและบารมีของตัวเอง ที่บังเกิดขึ้น ก็ให้ไปสร้างกุฏสร้างการปฏิบัติขึ้น
วันนี้..ก็ขอแสดงในธรรมที่เกิดขึ้น เมื่อกรรมก็แก้ไข โดยการทิ้งมายาในกรรมนั่นๆ สิ่งใดยึดอยู่ ก็วางตัวยึก สิ่งนั้นก็..เราก็จะไม่มีตัวยึด แล้วไม่มีทุกข์ต่อไป ปัญญาเกิดขึ้น ด้วยรู้แล้ววาง ตั้งอกตั้งใจ เดินให้แน่ว ..ทางที่ถูกต้อง
การประพฤติปฏิบัติ บางจิตที่ไปประพฤติที่มองดู ก็ไปได้ แต่คอยจะย้อนกลับไปทุกครั้งๆ จงบอกตัวเองเสมอว่า เราเดิน เพื่อต้องการ จับคำว่ากายนิ่ง จิตเฉย ไม่นึกคิดอะไร นอกจากพุทโธเท่านั้น ไปด้วยจิตที่เป็นพุทโธก็แล้วกันน่ะ มองดูแล้ว ก็น่าชื่นอกชื่นใจ สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา