17 ก.ย. 2023 เวลา 11:30 • ความคิดเห็น

โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี : No Free Lunch

ตาม DNA ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มนุษย์เราเกิดมาพร้อมความ ”อยาก” และ “ความสามารถในการเอาตัวรอด” ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้เผ่าพันธ์เราอยู่รอดมาในประวัติศาสตร์อันยาวนาน และเป็นจ้าวโลกมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ๆๆ ไม่ว่าเราจะเป็นจ้าวโลกที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน มันเป็นแค่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของมนุษย์อย่างเรานะครับ เราไม่ได้เป็นจ้าวโลกจริงๆ มีหลายอย่างบนโลกนี้ที่เราควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม
ต่อให้เราไม่ชอบอากาศร้อน แต่เราก็หยุดพระอาทิตย์ให้ขึ้นไม่ได้ เราทำได้ดีที่สุดคือยอมรับว่าเราหยุดมันไม่ได้ และอยู่กับมันอย่างมีความสุข ทาครีมกันแดด และหากิจกรรมกลางแจ้งเล่น
#แทนที่จะมานั่งเป็นทุกข์เพราะความร้อนที่ยังไงเราก็หยุดมันไม่ได้ก็ใช้ประโยชน์จากมันซะ
วกกลับมาเรื่อง No Free Lunch สำนวนที่คนต่างชาติพูดกันจนติดปาก
สำนวนนี้ถ้าเทียบกับสำนวนไทย ผมว่าเหมือนกับที่เราชอบพูดกันว่า “ไม่มีของฟรีบนโลก”
อย่างที่บอกแหละครับ เรื่องบางเรื่องบนโลกนี้เป็นเหมือนสัจธรรม ที่เราเปลี่ยนมันไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดคือเข้าใจมัน และอยู่กับมันอย่างเข้าใจและมีความสุข… สำหรับผม No Free lunch ก็เป็นอีกหนึ่งสัจธรรม ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ทันระวังว่ามันเป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าเราจะตระหนักว่ามันมีอยู่หรือไม่ตระหนัก
คนที่เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่อยู่รอบตัวเราและเกิดขึ้นตลอดเวลา จะดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความสุข (มากขึ้น) ผมเลยอยากเขียนบทความฉบับนี้ เพื่อให้มีคนซักคน ที่ผ่านมาอ่านบทความนี้แล้วตระหนักถึงสิ่งนี้จนเป็นประโยชน์กับชีวิตเค้าได้
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมขอยกตัวอย่างของเหตุการณ์ No Free Lunch ที่เจอบ่อยๆ ซัก 3 ข้อนะครับ
ตัวอย่างที่แรก การย้ายงาน มีคนจำนวนไม่น้อย ย้ายงานเพื่อเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อันนี้ผมว่าไม่ได้ผิดอะไร มนุษย์เงินเดือนอย่างเราย่อมอยากได้เงินที่มากขึ้น (เพราะค่าใช้จ่ายเราก็มากขึ้น ^_^) แน่นอนว่าการย้ายงานเราอาจจะได้อะไรดีๆ มามากมาย แต่ก่อนตัดสินใจ ผมอยากชวนให้มองถึงสิ่งที่เราต้องเสียไปด้วย เพื่อเปรียบเทียบให้รอบด้าน
ย้ายงานเสียอะไรบ้าง ?
1) เราต้องเสียเครดิตและความเชื่อมั่นที่ผู้คนมีให้กับเรา ที่เราสั่งสมมาตลอดระยะเวลาการทำงาน ถ้าเราทำงานไม่แย่จนเกินไป ต่อให้มีคนไม่ชอบเรา แต่จะมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบในผลงานของเรา และมีคนอีกไม่น้อยที่เชื่อมั่นในตัวเรามากพอที่จะสนับสนุนให้เราก้าวหน้า (เมื่อเค้ามีโอกาส)
2) เราต้องเสียความสามารถบางอย่างที่มีประโยชน์กับงานในบริษัทเก่าเท่านั้น และต้องเสียเวลาเพื่อไปเรียนรู้ความรู้เดิมจากบริษัทใหม่ เช่น พื้นฐานธุรกิจ กระบวนการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร และ วิธีทำงานที่เหมาะกับรูปแบบการทำงานของบริษัท
3) อีกอย่างที่คนมักมองข้ามคือ เราต้องเสียโอกาสที่กำลังเข้ามา (แต่เรายังมองไม่เห็นมัน)... โอกาสบางโอกาสที่เรามองไม่เห็น ใช่ว่ามันจะมีไม่มีอยู่นะครับ เพราะโดยปกติตามหลักการทำงานของบริษัท (โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ) เราจะไม่บอกลูกทีมเราเรื่องความก้าวหน้าจนกว่ามันจะแน่นอน 100% ผมเห็นผู้คนมากมาย ที่เกือบจะได้ตำแหน่งที่พวกเค้าคาดหวัง เกือบได้มา 2-3 รอบตลอดปี แต่พวกเค้าไม่รู้ตัวเลย จนบางคนเลือกออกไปก่อน ในขณะที่บางเลือกคนสู้ต่อ (ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไร) จนเค้าได้มันมาจริงๆ ในเวลาต่อมา
1
หลายครั้งหลังย้ายงาน เราต้องค้างอยู่ตำแหน่งเดิม เงินเดือนไม่ขึ้นอีกหลายปี จนเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นที่เราได้มาตอนย้ายงานไม่คุ้มค่า… อย่างที่บอกครับ ไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่ผมอยากบอกแบบย้ำๆ ว่า No Free Lunch
ตัวอย่างที่สอง คือเรื่องแจกเงินทั่วประเทศ จริงๆ หัวข้อนี้ผมเขียนแล้วเอาออกไปหลายรอบมาก เพราะประเด็นนี้ละเอียดอ่อนสำหรับคนหลายคน แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเก็บเอาไว้ เพื่อหวังที่จะให้มันเป็นประโยชน์กับผู้คน ซักคนสองคนก็ยังดี
ของฟรีใครก็ชอบ (ผมก็ชอบ^_^) ไม่แปลกเลยครับ ที่จะมีคนรอรับเงินแจกนี้อยู่มากมาย แต่สิ่งนึงที่คนอาจจะไม่ทันตระหนักคือ สุดท้ายแล้วเงินทั้งหมดนั้นจะทำให้เค้าลำบากกันมากกว่าเดิมอีก คนรับเงินอาจจะรู้สึกดีซัก 1-2 เดือนเพราะมีเงินมาหมุน เศรษฐกิจจะดีขึ้นจากเงินที่เข้ามากระตุ้น แต่สุดท้ายแล้วเงินทั้งหมดนั้นจะทำให้ราคาสินค้าและอาหารแพงขึ้นไปอีก ปัญหาคือ ราคาของขึ้นแล้วมันจะไม่ลงกลับมานะครับ ซึ่งคนที่ใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการกินการใช้ก็คือคนทั่วไปอย่างเราๆ นี่แหละครับ ไม่ใช่ใครอื่น
เพราะฉะนั้นเงินแจกนี้ มีราคาต้องจ่าย นั่นก็คือค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีถูก ไม่มีผิด แค่เราควรต้องตระหนักไว้ว่า No Free Lunch
ตัวอย่างสาม ทำแต่งานจนตำแหน่งใหญ่โต มีธุรกิจร่ำรวย เคยสังเกตุมั้ยครับว่าหลายครั้งคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน กลับไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิต จนสุดท้ายเมื่อถึงจุดๆ นึง ถึงมาตระหนักได้ว่า “เชี่ยยย นี่เราวิ่งมาคนเดียว ไม่เหลือใครวิ่งตามเรามาแล้ว ครอบครัวไม่มี คนรักไม่อยู่ สุขภาพเราก็พังๆ แล้วเราจะวิ่งต่อไปเพื่อ… “
2
บางคนเสียเพื่อนไประหว่างทาง จนไม่สามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีก
บางคนเสียครอบครัวไประหว่างทาง กลับมาได้บ้าง กลับมาไม่ได้บ้าง
บางคนเสียสุขภาพไประหว่างทาง จนกลับมาออกกำลังกายจนแข็งแรง
บางคนเอาแต่ได้จนลืมให้ จนเพิ่งมาพบว่า มนุษย์เราถ้ามีแล้วต้องให้ออกไปบ้าง ถึงจะมีความสุข
บางคนเสียความสุขไประหว่างทาง จนลืมไปว่าตัวเองยิ้มแบบเต็มบานจากใจครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
จากที่ผมเขียนถึงทั้งหมดข้างบน คงจะมีคนเห็นด้วยกับผมใช่มั้ยครับว่า “No Free Lunch เป็นสัจธรรม” เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด เพราะจริงๆ แล้วมันคงไม่มีคำตอบที่แน่นอน แต่ที่แน่ๆ คือ ถ้าเราตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน เราจะสามารถหาสมดุลที่ถูกต้องให้กับตัวเองได้
หวังว่าบทความฉบับนี้จะมีประโยชน์กับคุณนะครับ ถ้าคุณอยากให้คนอื่นได้อ่านมันเหมือนคุณ อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นประโยชน์ และเป็นกำลังใจให้กับผมนะครับ
1
#SalarymanEstator
โฆษณา