17 ก.ย. 2023 เวลา 17:40 • ปรัชญา

การขยับขยายจิต กระจายบุญกุศล ..

การกระจายบุญ กระจายกุศล ไม่ใช่เราจะกระจายให้กับหมู่คณะของจิตไม่ เช่น ..มี บิดามารดา สามีภรรยา บุตรธิดา ญาติมิตรสหาย ต่างๆ กรณีนี้ก็ยังขยายไปสู่จิต ที่โน้นที่นี่ การขยายไปเรื่อยๆ จิตก็กว้างมากขึ้นๆ การถือตนถือใจของตนเองเป็นที่ตั้งใหญ่ ก็ค่อยๆ ลดหายลงไปๆ ก็เลย กลายเป็นเห็นใจซึ่งกันและกัน เห็นจิต.มีจิตเมตตาเกิดขึ้น
เกิดจากจากที่เราได้ขยาย ที่ไม่..เก็บความเมตตา ไว้กับตัวเอง แต่ได้ขยายออกไปๆ ก็เป็นเนื้อบุญของเราให้เกิดเป็นกัลยาณมิตร สิ่งนั้น คือ จิตที่มีบุญกุศลบารมีเป็นที่ตั้ง ซึ่งมอง ..ต่อไปก็จะมองเห็นทุกข์..เป็นเรื่องความสำคัญ ไอ้นั่นก็ทุกข์ ไอ้นี่ก็ทุกข์ เกิดจากอารมณ์ทั้งนั่น แต่ก็ยังไม่ถึงอารมณ์ แต่มองดู..วัตถุต่างๆก่อน จึงเกิดเป็นอารมณ์ รู้จักอารมณ์ที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น ความยึดถือต่างๆก็ค่อยๆลดน้อยลงไปๆ
เหมือนกับการที่เราเคยกินอาหารมากเต็มจาน เราก็ค่อยๆลดลงไปทีละนิดๆ ในที่สุด เราไม่กินก็ได้..อยู่ได่เพราะเป็นผู้เป็นบารมี ผู้รู้แล้วซึ่งเรื่องราวของกรรม เรียกว่าปลดเปลื้องเรื่องราวของการยึดการถือเกิดขึ้น แต่นั่น มันมีสังขารอยู่ สังขารต้องการอาหาร ต้องมาผลิต เรื่องการเลี้ยงสังขาร แต่การกินข้าวหนึ่งคำไม่ใช่ว่า จะอยู่ไม่ได้ ..อยู่ได้ ..เพราะว่า ผู้นั้นไม่มีกรรม มีแต่บุญบารมีเป็นที่ตั้ง
เรื่องราวต่างๆของกาย ถึงแม้จะทำงานเหน็ดเหนื่อยอย่างไร ก็ไม่ได้ใช้.ไม่ได้เรื่องของอารมณ์ อารมณ์เป็นตัวดูด ดูดเรื่องราวต่างๆไปทั้งหมด ความคิดความอ่านต่างๆนั้นแหละ เป็นตัวดูด ดูดน้ำเลือดน้ำหนอง ดูดเรื่องร่างกายของเราให้ทรุดโทรมลงไป แล้วก็ยัง..เอาสิ่งที่เป็นกรรมเข้ามา คือ ความที่จิตใจฟุ้งซ่าน หงุดหงิด วุ่นวาย แล้วก็โรคพัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น
แต่คนท๊่มีกรรม ถึงแม้ว่าร่างกายจะถูกเจ็บป่วยไข้ หรือ ว่าจะถูกอุบัติเหตุอะไรก็แล้วแต่ เค้าจะไม่รู้สึกว่า นี่คือ กรรม เป็นการที่ธรรมชาติต้องมีเป็นเช่นนี้ ต้องมีเจ็บป่วย ต้องมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ต่างๆนานาที่เกิด..นั่นมันเรื่องการคล้องกรรม มีกรรมทั้งนั้น เค้าอาจจะเตือนสติของเรา แต่เราก็ไม่รู้ ..นึกว่าเป็นเรื่องของธรรมดา..ที่อยู่ ..เมื่อพบปะกัน ก็ต้องมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น ..ไม่รู้ว่านั่นแหละ กรรม ..ที่ตะทำให้ตัวเอง มีทุกข์เกิดขึ้น
กรรมก็เกิดจากการกินการนอน ไม่ได้ไปไหนเลย มันวุ่นอยู่กับการกินการนอน มันก็ใช้อารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น มันก็เกิดกรรม ต้องไป ..ยื้อแย่งกันกิน ยื้อแย่งที่อยู่ ที่อาศัย ยื้อแย่งทรัพย์สมบัติ สิ่งโน้นสิ่งนี้เกิดขึ้น ถามว่าข้าพเจ้า ทำงานให้เค้า
ถ้าเราไม่ทำ..ถ้าเราทำเราก็ไปยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของคนอื่น มาเป็นของตัวเอง แต่เราไม่รู้ว่า สิ่งที่อยู่ข้างหลัง มันยังมีอยู่ ถ้าเราปลดปล่อยเรื่องราวเล่านี้ไป เราก็ไม่ไปยื้อแย่งใคร ใครอยากอะไรก็เอาไป เราไม่มีอะไรที่จะไปยื้อแย่ง ก็ไม่กระตือรือร้น ที่จะหากิน หานอน หาที่อยู่อาศัย หาชื่อ หาเสียง หายศฐาน หาศักดิ์ ก็ไม่มี นั้น คือ หยุดยั้ง ในเรื่องของอารมณ์ที่จะมีตัวกระทำในวันข้างหน้า
การที่มองไม่เห็นกรรม มีมากมายก่ายกอง แม้แต่ที่นั่งนี่ ก็มองไม่เห็น เห็นว่า ..สิ่งนั่นมีความสำคัญแก่จิต จิตก็ต้อง..เดิน ..เลยไปหามัน ปัจจัยเราอยากได้ จิตก็เลยต้องไปหามัน แต่ไม่รู้หรอก ว่านั่นคือ กรรม ..ที่สร้างความทุกข์ให้แก่กายและจิต ..จิตใจของตัวเอง แล้วก็เป็นทาสของกรรม..ที่วุ่นวายอยู่แค่นี้
..ไม่ใช่ทาสของปัจจัย ..แต่เป็นทาสของอารมณ์ อารมณ์มันใช้ไป ..ให้ไปเอาไอ้โน้นไอ้นี่ เราต้องมีมากกว่านี้ เดี๋ยว..ไม่มีกืน ไม่มีใช้ ไม่มีที่จะนอน อารมณ์ก็สั่งเรื่อย ..จิตก็ต้องอาศัย ธาตุทั้งสอง หรือ เรือนกายบิดามารดาไปกระทำ
กายบิดามารดา ธาตุทั้งสอง ดินฟ้าอากาศ เค้าให้มาสร้าง คำว่า ปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรม แต่เราก็ไปเพิ่มพูนเรื่องราวของกรรมเป็นนิจสิน เพราเรายังไม่มีปัญญา เราก็กระทำไปก่อ ..แต่ก็ทำอยู่ในขอบเขตที่ดีเกิด
ครั้งหนึ่ง เราอาจะเป็นผู้ปลดเปลื้อง ตัวยึดถือนี้ไม่มี สิ่งเหล่านี้..ไม่มีความสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือ จิตที่เป็นอิสระ จิตที่ไม่มีการควบคุม ของอารมณ์ต่างๆ มีแต่อาศัยเรือนกาย ที่จะเดินทางไปปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรม ที่เป็นอารมณ์
ทุกองค์ที่มาในวันนี้ ก็มาในเรื่องนี้ทั้งหมด ก็มาชี้ เรื่องราวเหล่านี้ ให้พากันรับรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น นั่นคือ เรื่องราวของ การที่เกิด กรรมมันอยู่ตรงไหนบ้าง ถ้าเราหาเจอ..และเข้าใจ ..เข้าใจถึงจิต ไม่ใช่เข้าใจในอุปโลกน์
หรือ เรื่องราวของอารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ปัจจุบันนี้ จะเข้าใจหมดทุกอย่าง ใครพูด..อะไรมา รู้เรื่องทั่งหมด ใครกันเป็นผู้เรื่องอารมณ์ ถ้าจิตรู้เรื่อง..จิตจะหยุดยั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แม้แต่ที่จะกิน ท๊่จะนอน เค้าก็หยุด เพราะมันมีตัวยึด ตัวกรรม จิตจะอยู่ยังไงก็ได้ ..เค้าเฉย เพราะเค้ามีที่อาศัยของเราเค้า แต่อารมณ์ ..จิตไม่สามารถ จะตอนติ่งอยู่เฉยๆได้ ถูกอารมณ์ใช้อยู่ตลอดเวลา นั่นก็ค่อ ทาสของอารมณ์นั่นเอง
มีบุญบารมีอยู่ บ้างเล็กๆน้อยๆ ก็ไขว่คว้า หามาให้ได้ ให้ประจักษ์ให้ได้ แม้แต่ไม่ได้อะไรเลย ก็เล็กๆน้อยๆต้องได้ ให้มันเกิดขึ้น วันหนึ่งคืนหนึ่ง ..เรามีหนี้สิน เราใช้เค้าวันละบาท หรือ วันละเฟื้อง วันหนึ่งข้างหน้ามันก็หมด แต่นี่ไม่ยอมใช้ หยิบยืมเ๕้ามาใช้ หยิบยืมเค้าใช้อยู่เรื่อย มันก็เพิ่มพูนขึ้น ..มากขึ้น เมื่อไหร่..เราถึงจะหมด
มีปัจจัยมากๆ ที่นั่งที่นอนดีๆ เราก็บอกว่า..มีความสุข ไม่ได้ที่มา ว่าต้นตอเค้ามาอย่างไร ปัจจัยนั่น ที่นั่งที่นอน มันมาอย่างไร เราไม่เคยสอบสวน ตรวจสอบเรื่องราวเหล่านี้ เห็นว่าได้มา มันมีความสุขตรงไหน
ถ้าไม่ได้มา..มันมีแต่ความทุกข์ จะบอกว่า เราอยู่ด้วยสิ่งเหล่านั้น. เราหลงมั้ย เราหลงใหลอะไรบ้าง นำมาเพื่อ ..สร้างเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้น เพืีอให้ประจักษ์ กับจิตของเรา เข้าใจ..รู้ว่า.สิ่งเหล่านี้ เรายึดอยู่ไม่ได้ ..เลยมาสร้างเป็นบุญกุศลเกิดขึ้น ฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ จยนกว่าจะมีปัญญา ซ.หนีเรื่องราวเหล่านี้ได้
ก็โดยวัตถุธาตุต่างๆ ที่นำมาสร้างบุญสร้างกุศลในวันนี้ ก็เพื่อจะให้หลุดออกไปจากบ่วงของกรรม ของจิตนั่นเอง ด้วยธาตุทั้งสอง และธาตุทั็งสี่ของเรา ที่ประกอบจิต..ให้เราอยู่อาศัย ได้นำมาเป็นสังขารที่ กำลังสร้างเหตุผล..ที่จะหนีกรรม หนีความยึดความถ่ออะไรต่างๆออกไป
แต่ทุกคน ไขว่คว้าหาเรื่องความทุกข์ ..เราจะไปไขว่คว้า หาเรื่องความทุกข์แบบเค้าหรือ เค้าอยากได้ มีเงินเยอะๆ ยศฐานบรรดาศักดิ์ เราต้องมองดู..องค์พระสิทธัตถะเป็นหลัก ทำไม..ท่านต้องทิ้งเวียงวัง ยศฐานบรรดาศักดิ์ เพราะเห็นว่าเป็นทุกข์ ท่านก็เลยทิ้ง แต่ที่มากมายก่ายกอง ทิ้งไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จัก ต้นตอที่มานั้นเอง เลยต้องอยู่กับเค้า แต่ก็ยังดี ที่มีการผ่อนหนักให้เป็นเบาขึ้น หนักก็เบาลงไปๆ วันหนึ่งข้างหน้า ก็จะประจักษ์..รู้จักเค้าจริงว่า ..สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความสำคัญแก่จิต
..แต่กายที่เป็นกายบุญ..ที่จะนำมาสร้างให้จิตเป็นบารมี ไม่ใช่อยู่ในกายของกรรมไปตลอดทุกชาติ ถึงแม้ว่าจะได้กายมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง มันก็อยู่ที่ คงเป็นปัจจัตตัง..นั่นแหละ มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าปัจจุบันนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่ได้ตรวจสอบเอง เรามีการเปลี่ยนอะไรบ้าง ตอนเด็กเราเป็นอย่างไร นิสัยอย่างไร เป็นหนุ่มเป็นสาวนิสัยอย่างไร การกระทำอย่างไรบ้าง พออายุมากเข้า ดูพ่อแม่ บิดามารดา ปู่ย่าตายาย เค้ามีนิสัยอย่างไร รูปร่างเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ..
เพราะเค้าก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ แต่เค้ารู้เรื่องราวอะไรต่างๆได้บ้าง เค้าก็อยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง แล้วเค้าก็จากเราไป แล้วเราจะเป็นอย่างนั่นหรือ แล้วสิ่งที่เรามีอยู่ หามาแทบตาย ไม่ได้ช่วย ให้เราหยุดยั้ง เรื่องราวของกายที่เปลี่ยนแปลง
เปลี่ยน..การเปลี่ยนแปลงของกายเรารู้จัก แต่จิตของเรามีการเปลี่ยนแปลงมั้ย ไม่เคยรู้จัก แล้วดูอารมณ์ล่ะ มีการเปลี่ยนแปลงมั้ย ..ก็ไม่เคยศึกษา พอศึกษาดู..สัก..การที่ทำให้กรรมเล็กเป็นกรรมใหญ่เพิ่มขึ้นๆ เพราะว่า อารมณ์สร้างกำลัง การกระทำที่มี..กำลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นๆ จิตก็ไม่สามารถที่จะบรรเทาอารมณ์กรรมนั่นได้
..จะเห็นว่า ผู้ใหญ่ผู้แก่เฒ่า ก็ใช้อารมณ์ต่างๆ เป็นเรื่องที่ถูกต้องทั้งหมด ..เด็กเล็กแดงหร่อ คนไหนก็แล้ว มีเรื่องต่างๆ ไม่ถูกต้อง เค้าเป็นผู้ถูกคนเดียว นั่นอารมณ์ที่มันแข็งแกร่งขึ้นมา ไม่ฟังเหตุผลใครทั้งนั้น เห็นอารมณ์ตัวเอง เป็นใหญ่อย่างเดียว
สิ่งที่ผู้มีความแข็งแกร่ง เค้ามีวิธีการ ที่เอาชนะ ..เรื่องราวต่างได้ ..แต่เป็นอารมณ์กรรมทั้งหมด ..จะเห็นมีการงอแงเกิดขึ้น แกล้งไม่กินข้าวบ้าง แกล้งป่วยเสียบ้าง เพื่อคนนั่นมา ยอมแพ้เค้า เท่านั้นเอง นั่นคือ อารมณ์ที่แข็งแกร่งของกรรม ที่มันเกิดขึ้น ก็มียังไม่แข็งแกร่ง ผู้ที่ทำจิตทำใจมา ตั้งแต่ต้น ..มาถึงแก่เฒ่าชรา ความแข็งแกร่งของความดีก็เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเค้ามีเหตุผล และยอมแพ้
เค้าเรียกว่า ยอมแพ้เด็กรุ่นหลัง ที่มีอารมณ์ใหม่ๆ ที่มันเกิดขึ้น คนแพ้คือ..ผู้ชนะ คนชนะคือ ผู้แพ้ นึกว่า สิ่งที่ทำนั้นถูกต้อง ที่จริงผู้ใหญ่ คนนั้น..มีธรรม เค้าล่วงรู้ แล้วว่า ถ้าไปแก้ไขตรงนี้ อารมณ์ของเด็กผู้นี้ หรือ ลูกผู้นี้ จะต้องเตลิดเปิดเปิง หรือ มีทิฐิเกิดขึ้น เค้าก็หยุดยั้งให้..ให้ชนะ แล้วก็สามารถชี้แจงเรื่องราวของกรรมได้ กว่าเราจะรู้..ก็เกือบจะสาย หรือ อาจจะไม่รู้เลย เพราะถือตนเองดีแล้วนั่นเอง นี่ก็เกิดจากอารมณ์กรรม การกระทำทั้งหลาย จะอยู่ในโลกไหนก็แล้วแต่
มาอยู่ในโลก มาเยี่ยมเยือนโลกมนุษย์ เค้าก็ทำบุญเช่นนี้ มีเหตุผลเช่นนี้เกิดขึ้น แต่โลกทั้งหมด มีโลกมนุษย์เท่านั้น ที่จะเข้าแดนพระนิพพานได้ คือ ปล่อยวางอารมณ์กรรม ตัวกระทำได้ ไม่ยึดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ดาวทุกดวงมีตัวยึด แต่ตัวแก้ไข ที่ปล่อยวางไม่มี
อย่างดาวเสาร์ ที่ท่านมาพร้อมหน้าพร้อมตาอนุโมทนา วันนี้ก็มาหลายตน ก็เฝ้ามองว่าเค้าทำอะไรกัน เค้าให้จับก็จับ เอ๊ะ..ทำไมมันถึงมีความสุขเกิดขึ้น เค้าส่งมือ ตัวแทนมาหนึ่งตน แล้วก็จับตัวแทนนั้น เป็นแถวยาวยืดเลย อนุโมทนาในวันนี้ ทุกคนจาก..ที่หน้าตา ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ก็ยิ้มแย้มเบิกบานเกิดขึ้น ก็แสงรัตนะของการทำบุญ
เหมือนกับญาติโยมที่มาทำ เกิดเป็นปิติเกิดขึ้น ว่าได้ทำบุญ กายที่เป็นบุญที่แท้จริงเกิดขึ้น คือ กายนิ่ง จิตเฉย กระแสจิตเกิดขึ้น กระจายเป็นแสง ไปสู่กับดาวเสาร์ มนุษย์ดาวเสาร์ เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่หน้าตาคนละอย่าง แต่นิสัยไปทำอีกอย่าง การแก้ไขเรื่องราวจะปลดเปลื้องราวของกรรม เป็นไปไม่ได้เท่านั้น
เพราะไม่มีการรับรู้จักกรรม ที่แท้จริง รู้แต่อยู่ไปวันหนึ่งวันหนึ่ง แล้วก็..พอถึงเวลา กายนั่นก็ละลายไป เกิดมาใหม่ ..ดาวโน้นดาวนี้ หรือ เกิดมาเป็น เทวดา เป็นเทพ แล้วจุติ มาเป็นมนุษย์ ก็ต้องเก็บเกี่ยวเรื่องราวเหล่านี้ เก็บไว้ชาติของเค้า แล้วก็แปรสภาพ มาดินน้ำลมไฟเช่นนี้ กลับไปกลับมาเช่นนี้
แต่ความเป็นอยู่ของโลกดาวเสาร์นี้ มีสิ่งที่..แต่ว่าแต่คน ต่างมีอากาศคนละอย่าง ของเค้าร้อนไปเสียส่วนมาก บางครั้งก็มืดไปเลย เค้าก็เสาะแสวงหา ที่อยู่ใหม่เหมือนกัน แต่เค้าอยู่แบบในโลกมนุษย์ไม่ได้ เพราะอากาศ การกินการอยู่ ไม่เหมือนกัน การประคองสังขารไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นต่างคน ต่างก็กำหนดขึ้น เหมือนกับเรานี่ มองเห็นสัตว์ต่างๆ วัวควายก็กินหญ้า หมูหมาเป็ดไก่ก็กินอาหาร บางคร้้งที่ออกลูกมาเป็นตัวตนก็มี เป็นไข่ก็มี ไปไอ้นั้น เป็นไอ้โน้นก็มี แล้วแต่..ก็เหมือนกัน เรื่องราวเหล่านี้ เอาไปเป็นกฎที่แน่นอนว่า อะไรที่จะผ่านพ้น ไม่ให้มีจิตเกิดมาอีก ต้องมาอยู่ในเรือนกายมนุษย์หญิงชาย แต่ให้รู้จัก คำว่า กรรม ..แล้วไม่ยึดคำว่า ..บุญ บุญหนุนนำ ให้เรามีปีญญาที่หนีกรรม ให้มาสร้างบารมีขึ้น
ฉะนั้นเมื่อเราทำบุญ เราก็ได้กายบุญเกิดขึ้น ถ้าไม่มีกาย เราจะไปปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรมได้มั้ย .
มันก็ไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องสร้างบุญเกิดขึ้น การสร้างบุญ สร้างด้วยวัตถุต่างๆ เกิดขึ้น ได้อะไรไปบ้าง ได้กายบุญ ..แล้วได้อะไรไปอีก ได้การปล่อเปลื้องเรื่องราวของกรรม ไม่ยึด ..ติดในวัตถุนั้น
เฉพาะ สถานที่นี้ เค้ามีพระผู้สอน เค้าไม่ให้ มีอธิษฐานไปอีกแบบหนึ่ง แล้วสถานที่อื่น ทำบุญ กลับเพิ่มพูนกรรมขึ้น ของให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพิ่มพูลมากขึ้น ทำอย่างให้ได้ร้อยอย่าง กลับคืนไปสู่ บ้านเรือนบ้านช่่องตัวเอง
การยากจน การร่ำรวย อยู่ที่บุญบารมีเก่า มิใช่การมาทำ เดี๋ยวนี้ แล้วได้ ..ความร่ำรวยอย่านี้..ไม่ใช่ เป็นบารมีบุญเก่าของเราเท่านั้น เพียงแต่ว่า ไปเชื่อมต่อกันเท่านั้น เราทำบุญที่..ก็เชื่อม ..เชื่อมทรัพย์สินเงินทอง ที่เป็นขวบริสุทธิ์ ที่ไหลเข้ามาเอง
คราวนี้ มันเคย ออก..มันไม่ไหลออก มีแต่ไหลเข้า เข้าในทางที่ถูกต้อง คราวนี้ ผู้ที่ทำบุญ ให้ได้ร้อยเท่า พันเท่าเกิดขึ้น บางทีเข้ามาแล้ว มันออก ..ออกแล้วออกหมดได้ ก็เหมือนกลับไป ..เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ของตัวเองที่สะสมไว้
ถ้าเชื่อมบุญต่อบุญ มันก็เป็นบุญขึ้น คราวนี้ เอาบุญไปเขื่อมกรรม ก็ได้กรรมกลับมามากมาย แล้วก็ในที่สุด เราก็ สร้างแต่กรรมๆ ไปไม่เป็นนิจสิน มีโชคมีลาภเกิดขึ้น เอาไอ้โชคลาภ มาสร้างเป็นบุญขึ้น ดำมากขึ้น จิตใจมันก็ดำขึ้นๆ กลายเป็นทำบุญ ทำไปทำมา กลายเป็นจิต กิริยาใหญ่กว่าพระ วาจาใหญ่กว่าพระ ไม่เกรงกลัว เครื่องหมายของธรรม นั่นลักษณะของการทำบุญ ได้กรรมเกิดขึ้น ได้ให้ไปพิจารณากันน่ะ
นี่ก็ใช้เวลาไปอีกยาวนาน ญาติโยมก็ต้อง กลับไปพักที่อาศัย อยู่กันไกล จะเดิน ก็ให่มีความปลอดภัย มีแสงธรรม ส่องจิตส่่องใจ ไปถึงเคหะสถาน ปลอดภัยทุกคน แล้วให้มี สุขภาพพลานามัย ที่แข็งแรง พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้สร้างบุญ สร้างทานเป็นบารมี หนีกรรม ไปตลอด ..ชีวิตนี้ แล้วก็ให้ปลดเปลื้อง เรื่องราวของกรรม ไปทุกชาติ..สาธุ สาธุ สาธุ
 
สาธุ ศรีรัตนะ สุมาลา กุริยาโต โยตุ..สาธุ
โฆษณา