ชัยชนะ 3-1 เหนือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงถิ่นของ ไบรท์ตัน ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2023 ไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากความฟลุกหรือเป็นแค่จังหวะฟุตบอลที่ไม่เอื้อให้กับทีมเจ้าบ้าน แต่มาจากสไตล์การเล่นและปรัชญาของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ที่ปลูกฝังให้กับนักเตะของเขา
แม้ค่าตัวของผู้เล่น 11 ตัวจริงจะรวมกันอยู่แค่ 17 ล้านปอนด์ แต่นักเตะของทัพนกนางนวลกลับต่อบอลสู้ทีมปีศาจแดงได้อย่างไม่เกรงกลัว และยังอนุญาตให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นมาเพรสบอลถึงหน้ากรอบเขตโทษตนเอง ในขณะที่ ไบรท์ตัน สามารถคุมเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มารู้จักกับปรัชญาและ DNA ฟุตบอลของ ไบรท์ตัน ที่ เด แซร์บี้ สั่งสมจากประสบการณ์การเล่นและเรียนรู้ จนกลายมาเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมสุดฮอตของยุคกับ Main Stand
ธีสิสลูกหนัง
เด แซร์บี้ เป็นอดีตผู้เล่นจากระบบอคาเดมีของ เอซี มิลาน แต่เส้นทางการค้าแข้งของเขาอาจไม่ได้เป็นที่จดจำมากนัก เพราะอดีตมิดฟิลด์รายนี้ได้โยกย้ายไปมากับหลายสโมสร ก่อนแขวนสตั๊ดด้วยวัย 34 ปี กับทีม เอซี เทรนโต ในระดับเซเรีย ซี ของอิตาลี
แม้เส้นทางนักเตะอาชีพอาจไม่ได้โด่งดังเป็นพลุแตก แต่ในฐานะผู้จัดการทีมเขาคือปรากฏการณ์ที่เข้ามาลบล้างคำสบประมาทได้อย่างเต็มตัว
หากพูดถึงตำแหน่งผู้จัดการทีม ใครก็ตามที่ผ่านการอบรมโค้ชฟุตบอลระดับ "โปรไลเซนส์" มาแล้ว คงอยากที่จะเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา หรือ โฆเซ่ มูรินโญ่ คนต่อไปกันทั้งนั้น เด แซร์บี้ ก็ไม่ต่างกัน เขาใช้เวลาว่างยามเย็นในช่วงท้ายอาชีพไปกับการศึกษาระบบการเล่นของยอดกุนซือเหล่านี้อย่างแข็งขัน
สิ่งที่แตกต่างไปคือ กุนซือชาวอิตาลีรายนี้ต้องการจะเป็นโค้ชในแนวทางของตัวเอง และงานวิทยานิพนธ์ "Il mio modello di gioco" ของเขาที่ โคแวร์เชียโน่ ศูนย์ฝึกสอนผู้จัดการทีมของอิตาลี ได้ผสมผสานสไตล์การผ่านบอลแบบสเปน เกมเพรสซิ่งแบบเยอรมัน และบอลแท็กติคอย่างอิตาลี มาเป็น "โมเดลการเล่นฟุตบอลในแบบของผม" ตามคำแปลของหัวข้องานวิทยานิพนธ์ดังกล่าว ที่ทำให้ เด แซร์บี้ ได้ "โปรไลเซนส์" สำหรับการเริ่มต้นอาชีพกุนซือของเขา
แต่นอกจากการศึกษาด้วยตนเองแล้ว เด แซร์บี้ ยังได้บรมครูในวงการอย่าง มาร์เซโล บิเอลซ่า ที่เขาส่งข้อความไปขอคำแนะนำแนวทางในการคุมทีม เมื่อครั้งเขาโดนปลดจาก ปาแลร์โม่ ในปี 2016 ด้วยผลงานการพ่ายแพ้ 7 นัดรวด และได้รับคำเชิญจากบิเอลซ่าให้ไปพูดคุยและชมการฝึกซ้อมของ ลีลล์ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ โดยที่กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ได้ต้อนรับเขาอย่างไม่ถือตัว "ราวกับว่าผมเป็น หลุยส์ ฟาน กัล หรือ โชเซ่ มูรินโญ่" จากการให้สัมภาษณ์ของ เด แซร์บี้
อีกหนึ่งไอดอลของเขาคือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ผู้ทำให้ เด แซร์บี้ ตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางอาชีพผู้จัดการทีมอย่างเต็มตัว "ผมมาเป็นโค้ชเพราะผมชอบทีมบาร์เซโลน่าของเขามาก ผมได้เรียนรู้อะไรมาหลายอย่างในสมัยเริ่มเป็นผู้จัดการทีม"
บาการี่ ซาญ่า อดีตแบ็กขวาผู้เคยเป็นลูกทีมของทั้ง เป๊ป และ เด แซร์บี้ เปิดเผยกับ The Guardian ในปี 2017 ไว้ว่า "การฝึกซ้อมของทั้งคู่ไม่ได้ต่างกันมากนัก พวกเขาต้องการอะไรที่คล้าย ๆ กันจากนักเตะ และผมมั่นใจว่า เด แซร์บี้ จะได้ไปคุมทีมระดับท็อปในเร็ว ๆ นี้"
DNA ของ เด แซร์บี้
แม้การอำลาทีมของ แกรห์ม พอตเตอร์ อาจทำให้หลายคนกังขาในความอยู่รอดของ ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน แต่การดึงตัว เด แซร์บี้ มาคุมทีมก็พิสูจน์ให้เห็นว่ากุนซือชาวอิตาลีรายนี้สามารถพาทัพนกนางนวลให้ลอยล่องไปได้ไกลกว่าเดิมเสียอีก
ในเวลาเดียวกัน ไบร์ทตัน ก็ต้องเผชิญกับการสูญเสียนักเตะคีย์แมนออกจากทีมอยู่แทบทุกตลาดซื้อขาย ไล่ตั้งแต่ เลอันโดร์ ทรอสซาร์, อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ และ มอยเซส ไคเซโด้ แต่กลายเป็นว่านักเตะที่มีอยู่ก็ยังสามารถโชว์ฟอร์มออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนเคย
เด แซร์บี้ เปิดเผยหนึ่งในเหตุผลเบื้องหลังไว้ว่า "เราต้องรักษาสไตล์การเล่นไว้ทั้งเวลาที่ชนะหรือแพ้ เราต้องไม่หลงลืม DNA ของพวกเราเพียงเพราะสถานการณ์ของเกมเปลี่ยนแปลงไป และมันแย่มาก ๆ ถ้าผลการแข่งขันเปลี่ยนสไตล์การเล่นของเราได้"
"DNA ในการลงเล่นคือตัวตนของผม สิ่งที่ผมเคยอยากเป็นสมัยเป็นนักเตะ ผมจะเก็บมันไว้ในผลงานของผมเอง" ซึ่งเป็นสิ่งที่ เด แซร์บี้ ได้ปลูกฝังลงในระบบของทีม และแสดงผลงานออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อครั้งเขาเป็นผู้จัดการทีมของ ซาสซูโอโล่ ด้วยการเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้เป็นไปตามดีเอ็นเอของเขา จนพาต้นสังกัดเข้าไปเฉียดใกล้โควตาเล่นฟุตบอลยุโรปด้วยการจบอันดับแย่กว่า โรม่า แค่ประตูได้เสียเท่านั้น
ผลงานในอิตาลีได้พาให้เขาย้ายไปคุม ชัคตาร์ โดเนตสก์ ในประเทศยูเครน พร้อมกับนำทีมไปคว้าแชมป์ยูเครเนียนซูเปอร์คัพ ในปี 2021 ก่อนที่การรุกรานของรัสเซียจะส่งผลให้ฟุตบอลลีกยูเครนต้องหยุดชะงักไป และนำพาเขามาสู่พรีเมียร์ลีก ด้วยการรับช่วงต่อในฐานะผู้จัดการทีมของไบร์ทตัน
จากกุนซือที่น้อยคนจะรู้จัก แม้แต่ แกรม ซูเนส อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ยังเคยออกมาบอกว่า "มันเป็นความเสี่ยงที่พวกเขาเอาผู้จัดการทีมที่ไม่รู้จักเกมฟุตบอลของเรามาคุมทีม โดยเฉพาะโค้ชที่คุม 7 ทีมในช่วงเวลา 9 ปี ถ้าคุณเก่งจริงต้นสังกัดเก่าก็คงพยายามรั้งตัวคุณไว้กับทีมแล้ว"
แต่เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปก็ได้พิสูจน์แล้ว ทั้งการลงเล่นต่อบอลแบบไม่เกรงกลัวทีมใหญ่ และไม่หวั่นกับการเปลี่ยนถ่ายตัวนักเตะในสโมสร พร้อมกับเตรียมนำทัพนกนางนวลลงเล่นฟุตบอลยูโรป้าลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
อดัม ลัลลาน่า มิดฟิลด์ของทีม ได้เปิดเผยกับ The Athletic ว่าการเข้ามาของ เด แซร์บี้ "ทำให้ฟุตบอลดูมีเหตุมีผลขึ้นมา" ในขณะที่กัปตันทีมอย่าง ลูอิส ดังก์ ก็ระบุว่า "ผมได้เห็นฟุตบอลในรูปแบบที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ที่ผู้จัดการทีมคนใหม่เข้ามาคุมทีม และผมก็คิดตั้งแต่ได้เจอการเล่นแบบใหม่นี้ว่า 'ทำไมผมไม่รู้แบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ'"
อาจเร็วไปที่จะด่วนตัดสินอนาคตของไบรท์ตันในฤดูกาลนี้ แต่ด้วยฟอร์มการเล่น ชนะ 4 แพ้ 1 บวกกับสไตล์การเล่นที่ไม่ได้มาเล่น ๆ คงยากที่จะมองข้ามลูกทีมของ เด แซร์บี้ ในฐานะทีมลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรปอย่างจริงจังของซีซั่น 2023/24
และสิ่งถัดไปที่ต้องตามดูคือด้วยฟอร์มและมันสมองของยอดกุนซือชาวอิตาลี เขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในสายงานผู้จัดการทีม และไบรท์ตันจะรั้งตัวเขาไว้ได้อีกนานแค่ไหน ก่อนจะมีสโมสรใหญ่มาดึงตัวอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามออกจากทีมพวกเขาไป
1
บทความโดย กรทอง วิริยะเศวตกุล
แหล่งอ้างอิง:
7 ถูกใจ
4 แชร์
2.6K รับชม
แสดงความคิดเห็นของคุณ...
  • 7
    โฆษณา