24 ก.ย. 2023 เวลา 04:09 • ธุรกิจ

Apple Dream(Team) กับ 5 อรหันต์ผู้เปลี่ยนซากปรักหักพังสู่ความรุ่งโรจน์ของ Apple

หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดว่า iPhone เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของบริษัท Apple ให้กลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้จวบจนถึงทุกวันนี้ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนนึงเท่านั้น แนวคิดของ Apple รูปแบบใหม่ ที่หันมาสร้างนวัตกรรมและเปลี่ยนจากบริษัทคอมพิวเตอร์ให้กลายมาเป็นบริษัทที่จำหน่ายสินค้า consumer product มันเริ่มมาจาก iPod
1
ในปี 1985 สตีฟ จ็อบส์ ในวัยขึ้นเลขสาม เริ่มปีที่ 30 ของอายุด้วยการถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาสร้างมากับมือ แต่หลังจากนั้นในอีก 10 ปีต่อมา ในปี 1995 เมื่อ สตีฟ จ็อบส์ อายุครบ 40 ปีบริบูรณ์ เขาก็กลับมาสู่จุดที่รุ่งเรืองอีกครั้ง
1
ปีนั้นเป็นปีที่ภาพยนต์เรื่อง Toy Story ออกฉาย และในปีต่อมา Apple ก็ได้เข้ามาซื้อกิจการ NeXT ทำให้เขากลับมาสู่บริษัทที่เขาสร้างมากับมืออีกครั้ง
1
ในขณะนั้น CEO ของ Apple คือ กิล เอเมลิโอ ซึ่งได้เป็นคนชักจูงนำ จ็อบส์ กลับมาที่ Apple โดยให้เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษาแบบพาร์ทไทม์ แต่จ็อบส์นั้นหวังมากกว่านั้นเขาต้องการกลับมาทวงคืนตำแหน่งของเขา สภาพของ Apple ในช่วงเวลาดังกล่าว กลายเป็นซากปรักหักพัง สถานการณ์ทางการเงินก็ย่ำแย่ เป็นอย่างมาก
5
ในการกลับมาครั้งนี้ จ็อบส์ เริ่มจัดแจง คนที่เขาไว้ใจมารับตำแหน่งระดับสูงที่ Apple อย่างไม่รอช้า และเริ่มกำจัดคนที่เขาไม่ต้องการออกไป โดยจะนำคนที่เก่ง ๆ จาก NeXT บริษัทเก่าของเขาเข้ามาแทนในตำแหน่งสำคัญ ๆ
1
และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่เขาต้องก้าวออกจาก Apple ในครั้งแรก จ็อบส์ ก็ได้เสนอให้เปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทใหม่ โดยจัดการคนที่เคยปลดเขาออกก่อน เพื่อคุมอำนาจเต็มที่ในการบริหารบริษัท
2
จ็อบส์ นั้นสามารถที่จะกลับควบคุมทุกอย่างของ Apple ได้อย่างเบ็ดเสร็จได้อีกครั้ง สถานการณ์ในตอนนั้น Apple ถูก Microsoft เบียดออกจากธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันถึงเวลาที่เขาต้องสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อทำอย่างอื่น อาจจะเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือหรือสินค้าเพื่อผู้บริโภคอะไรซักอย่างที่จะพา Apple กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
1
Jony Ive
1
ในวันที่จ็อบส์ เรียกเหล่าผู้บริหารระดับสูงมาชุมนุมปลุกใจ หลังเข้ารับตำแหน่ง CEO รักษาการ ในเดือนกันยายน 1997 นั้น หนึ่งในผู้ฟังจำนวนนั้นเป็นชายหนุ่มชาวอังกฤษ วัย 30 ปี ผู้มีอารมณ์ละเมียดละไม และมีควาทุ่มเทกับงานมากถึง มากที่สุด เขาคือ โจนาธาน ไอฟฟ์ หรือ ที่ทุกคนรู้จักในนาม “จอนนี่”
ในช่วงก่อน จ็อบส์ จะเข้ามาในรอบที่สองนั้น สถานการณ์ของบริษัทเรียกได้ว่าย่ำแย่ ไอฟฟ์ ในขณะนั้นกำลังคิดจะลาออกเพราะเบื่อหน่ายกับบริษัทที่มุ่งเน้นผลกำไรเพียงอย่างเดียว และไม่มีความสนใจในเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เลย
1
แต่เป็นคำพูดของ จ็อบส์ ในวันที่ก้าวเข้ามากู้วิกฤติของ Apple รอบที่สอง ที่ทำให้ ไอฟฟ์ เปลี่ยนใจที่จะอยู่ต่อเพราะ จ็อบส์ นั้นชัดเจนอยู่แล้วว่า เป้าหมายของ Apple ไม่ใช่อยู่ที่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้าง ผลิตภัณฑ์ชั้นเยี่ยม ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากการบริหารที่ผ่านมาของผู้บริหาร Apple คนก่อน ๆ
1
ชีวิตของ ไอฟฟ์ นั้น เข้ามาโคจรเข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์ เนื่องมาจากบริษัท แทงเจอรีน บริษัทเก่าของเขานั้น ได้ถูกว่าจ้างจากบริษัท Apple ให้ทำการออกแบบเครื่อง Powerbook โดยเขาได้แหกกฏพื้นฐานของการออกแบบหมดสิ้น เนื่องมาจากเขาคิดว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กำลังประสบปัญหากับเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะส่วนใหญ่เป็นการสร้างโดยเหล่าวิศวกรที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องการดีไซน์เลยด้วยซ้ำ
3
ก่อนหน้าที่ ไอฟฟ์ จะเข้ามาปฏิวัตินั้นคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่ดูน่ากลัวสำหรับผู้ใช้งาน มีขนาดใหญ่เทอะทะ และไม่มีความ friendly กับผู้ใช้งานเลยด้วยซ้ำ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ดูไม่น่าใช้งานและแทบจะดีไซน์เหมือน ๆ กันหมดในทุก ๆ บริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมา
2
หลังจากผลงานการออกแบบ Powerbook จึงทำให้ ไอฟฟ์ ถูกดึงตัวมาทำงานเต็มตัวที่ Apple ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ ซึ่ง Apple เดิมจะใช้บริษัทจากข้างนอกมาช่วยออกแบบให้ แต่ ไอฟฟ์ จะได้สร้างทีมของตัวเองขึ้นมา เพื่อปฏิวัติการออกแบบคอมพิวเตอร์เสียใหม่ทั้งหมด
1
ไอฟฟ์ ที่เข้ามาปฏิวัติการออกแบบคอมพิวเตอร์เสียใหม่ทั้งหมด (CR:Cult of Mac)
และนั่นเป็นเหตุทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันในที่สุด จ็อบส์ นั้นตระหนักดีว่าเขาจำเป็นต้องมีคนอย่าง ไอฟฟ์ เพื่อปฏิรูป Apple ขึ้นมาใหม่อีกครั้งและจึงเริ่มต้นกับโครงการ iMac รุ่นใหม่ และต่อมาก็ได้เป็นคนพลิกโฉมดีไซน์ของ iPod ที่ทำให้ทั้งโลกต้องตะลึง
2
Jon Rubinstein
1
จอน รูบินสไตน์ ถือได้ว่าเป็นขุนพลคู่ใจของ จ็อบส์ ที่ตามมาจาก NeXT ซึ่ง รูบินสไตน์เป็นผู้พัฒนา NeXT RISC Workstation โดยหลังจากที่ Apple ได้เข้าซื้อกิจการ NeXT จ็อบส์ก็ได้ดึงตัวรูบินสไตน์ให้มาช่วยงานที่ Apple ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์
1
รูบินสไตน์ ได้เข้ามาช่วยจ็อบส์จัดการในเรื่องลดต้นทุน เนื่องจากทางจ็อบส์เองได้ยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวหลายรายการจากผลงานการสร้างจากเหล่าผู้บริหารในยุคที่เขาไม่อยู่
จอน รูบินสไตน์ ที่แพ็คกระเป๋าตามจ็อบส์มาจาก NeXT (CR:IEEE Spectrum)
จ็อบส์เองได้มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายสำหรับผู้บริโภคและเหล่ามืออาชีพ เช่น Power Mac G3 และ iMac G3 ซึ่งช่วยให้ Apple กลับมาแข่งขันในตลาดได้อีกครั้ง และเป็นรูบินสไตน์นี่เองที่ไปชักชวน โทนี่ ฟาเดลล์ ให้มาร่วมงานกับ Apple เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์พลิกโลกอย่าง iPod
1
Tim Cook
ใปี 1998 จ็อบส์ ได้เจอกับ ทิม คุก ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและซัพพลายเชนของ Compaq Computers ซึ่งในขณะนั้นเป็นหนุ่มโสด วัย 37 ปี คุก นั้นตกหลุมเสน่ห์ของจ็อบทันทีเมื่อได้สัมภาษณ์งานกับจ็อบ เขาใช้เวลาเพียง 5 นาที ในการตัดสินใจมาร่วมงานกับจ็อบส์ ซึ่งการร่วมงานกับ Apple นั้นเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้ทำงานกับ อัจฉริยะด้านความคิดสร้างสรรค์อย่าง จ็อบส์
1
บทบาทหลักของ คุก ที่ Apple คือการนำสิ่งที่จ็อบส์คิด มาลงมือปฏิบัติ การที่เขาเป็นหนุ่มโสดทำให้เขาสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เขาตื่นตีสี่ครึ่งในทุกวัน ออกกำลังกายเสร็จ เขาก็จะเข้ามาที่ office ของ Apple ในเวลาหกโมงเศษ
การได้จิ๊กซอว์ ชิ้นสำคัญอย่าง คุก มานั้น ทำให้ Apple สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมหาศาล คุกนั้นได้ลดจำนวนซัพพลายเออร์รายสำคัญของ Apple จาก 100 รายให้เหลือเพียง 24 ราย เขาได้เกลี้ยกล่อมให้ซัพพลายเออร์หลายราย ย้ายโรงงานมาอยู่ใกล้ ๆ โรงงานของ Apple
1
สิ่งที่จ็อบส์ทำได้คือ เคยลดสินค้าคงคลังจากเดิมที่มีปริมาณเท่ากับ 2 เดือน ให้เหลือเพียงเดือนเดียวได้ในปี 1998 แต่ คุก นั้นสามารถทำให้ จ็อบส์ เซอร์ไพรซ์อย่างมาก ด้วยการทำให้มันลดเหลือเพียงแค่ 2 วัน ซึ่งนับว่าน่าทึ่งมาก และเขายังสามารถที่จะลดระยะเวลาในการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Apple แต่ละเครื่องลงจาก 4 เดือน เหลือเพียงแค่ 2 เดือน
6
ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยประหยัดเงินแล้วนั้น ยังทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องได้ใช้ชิ้นส่วนล่าสุดที่มีอยู่ในท้องตลาดอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างตลาดคอมพิวเตอร์
6
และที่สำคัญนั้น ทิม คุก นั้นเป็นคนเดียวที่รู้ว่า จ็อบส์ ต้องการอะไร มีวิสัยทัศน์ ในด้านการผลิตแบบเดียวกับจ็อบส์ และสามารถคุยสื่อสารเรื่องยุทธศาสตร์ระดังสูงได้ ทำให้ คุก กลายมาเป็นคนที่ จ็อบส์ ไว้ใจมากที่สุด
3
ทิม คุก ที่จ็อบส์ไว้ใจมากที่สุด (CR:Apple Insider)
Tony Fadell
ถ้าโลกนี้ไม่มีคนที่ชื่อ โทนี่ ฟาเดลล์ มันก็ไม่อาจจะทำให้ สตีฟ จ็อบส์ สามารถพลิกฟื้น Apple กลับมาได้สำเร็จ โปรแกรมเมอร์หนุ่ม มาดกร่าง หน้าตา และการแต่งตัวออกไปทางแนว ไซเบอร์พังค์ เป็นคนมีสเน่ห์ที่รอยยิ้ม และมีหัวคิดแบบเจ้าของกิจการ และมีความเชี่ยวชาญทางด้าน ฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการฟังเพลง
1
และเป็น รูบินสไตน์ ที่เป็นไปค้นพบ โทนี่ ฟาเดลล์ เข้า ฟาเดลล์ นั้น เคยตั้งบริษัท ถึง 3 แห่งสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มิชิแกน พอเรียนจบก็ได้เข้าไปทำงานที่ General Magic ผู้ผลิตอุปกรณ์อเล็กทรอนิกส์แบบพกพา แล้วย้ายข้ามห้วยไปยัง Philips บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก
ฟาเดลล์ นั้นมีไอเดียอย่างแรงกล้าที่จะทำเครื่องเล่นเพลงที่ดีกว่าเครื่องที่มีขายอยู่ในท้องตลาด เขาเคยไปนำเสนอ ไอเดียที่ RealNetwork , Sony และ Philips แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และในวันหนึ่งที่ฟาเดลล์กำลังเล่นสกีอยู่กับลุงที่เมือง เวล รัฐโคโลราโด ระหว่างที่นั่งลิฟต์ขึ้นเขา เพื่อไปเล่นสกี เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ
1
เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือ รูบินสไตน์ ที่เป็น ผู้อำนวยด้านด้านฮาร์ดแวร์ ของ Apple ซึ่งได้แจ้งเขาว่ากำลังหาคนที่จะมาช่วยทำ “อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก” ซึ่งคนระดับฟาเดลล์นั้นมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เขาทำอุปกรณ์พวกนี้เก่งในระดับที่หาตัวจับยาก รูบินสไตน์ จึงได้เชิญ ฟาเดลล์ เขาไปพบ ที่ office ของ Apple ใน คูเปอร์ติโน่
2
ฟาเดลล์ เข้าใจว่า Apple นั้นจะจ้างไปทำเครื่อง PDA แต่เมื่อได้พบตัวจริงกับ รูบินสไตน์ การสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ iTunes ที่ Apple เพิ่งได้ทำเสร็จก่อนหน้านั้นไม่นาน ปัญหาในตอนนั้น คือ ทาง Apple พยายามที่จะใช้เครื่องเล่น mp3 ที่มีในตลาด เพื่อใช้งานกับ iTunes ซึ่งพบว่า ไม่มีอุปกรณ์ไหนที่สามารถตอบโจทย์ของ Apple ได้เลย ตอนนั้น มีแต่อุปกรณ์เล่น mp3 ที่ห่วย ๆ อยู่เต็มตลาดไปหมด Apple อยากที่จะสร้างเวอร์ชั่นของตัวเองขึ้นมา
2
และมันทำให้ ฟาเดลล์ รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักในเสียงดนตรี และเคยพยายามนำ idea ที่เขาคิด ไปเสนอที่ RealNetworks เหมือนกัน ตอนที่ RealNetworks กำลังนำเสนอเครื่องเล่นไฟล์ mp3 ให้กับ บริษัท Palm แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ฟาเดลล์ เจ้าของฉายา “บิดาแห่ง iPod” (CR:The Sydney Morning)
แต่ฟาเดลล์ นั้นเป็นคนที่รักอิสระ เขาไม่อยากที่จะเป็นพนักงานเต็มตัวของ Apple เขาแค่อยากร่วมงานในฐานะที่ปรึกษาเพียงเท่านั้น
แต่ รูบินสไตน์ นั้น บีบบังคับให้ ฟาเดลล์ ทิ้งไพ่ในมือ โดยจับมัดมือชกด้วยการยืนกรานว่าหากฟาเดลล์ต้องการที่จะเป็นหัวหน้าทีม ก็ต้องเข้ามาเป็นพนักงานเต็มตัวของ Apple เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และมีการเรียกทีมงานทั้งหมดที่จะทำโปรเจคนี้กว่า 20 คนเข้ามารวมตัว แล้วยื่นคำขาดกับ ฟาเดลล์ ว่าต้องให้ฟาเดลล์ นั้นตัดสินใจในโอกาสครั้งนี้เดี่ยวนั้น ซึ่ง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ แม้ตัวฟาเดลล์จะไม่ค่อยเต็มใจนักก็เสนอตอบรับมาร่วมทีมในที่สุด
และสุดท้าย Apple ก็ได้ว่าจ้าง ฟาเดลล์ ในปี 2001 และได้สร้างทีมพัฒนาขนาด 30 คนให้มีทั้ง Designer , Programmers รวมถึง Hardware Engineers เพื่อทำโครงการ iPod
1
Phil Schiller
ชิลเลอร์ เริ่มงานครั้งแรกกับ Apple ในปี 1987 ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์ และได้ลาออกไปทำงานกับ FirePower Systems และรองประธานฝ่ายการตลาดที่ Macromedia ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่ Apple อีกรอบ
2
ชิลเลอร์ กลับมาร่วมงานกับ Apple ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดทั่วโลก ในปีเดียวกับที่ จ็อบส์ กลับมากุมบังเหียน Apple อีกครั้งในปี 1997
ฟิล ชิลเลอร์ นั้นได้รับเครดิตเป็นอย่างมากเพราะได้ออกไอเดียที่สำคัญที่สุดของ iPod ที่ทำให้แตกต่างจากเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ในตลาด
1
ชิลเลอร์ ที่ออกมาในงานพรีเซ็นนต์ผลิตภัณฑ์ของ Apple อยู่เสมอ (CR:Reason Why)
โดยชิลเลอร์ นั้นเสนอ ล้อกลม ๆ สำหรับใช้เลือกเพลง ( trackwheel ) แค่ใช้นิ้วโป้งหมุนวงล้อ ผู้ใช้จะสามารถเลือกเพลงใน Playlist ได้ ยิ่งหมุนนานก็ยิ่งไล่เพลงได้เร็วขึ้น ถึงจะมีเพลงเป็นร้อยเป็นพันเพลง ก็สามารถไล่ดูได้ง่าย ซึ่งไอเดียนี้ จ็อบส์ถึงกับร้องอุทาน “นั่นแหละใช่เลย!!!” แล้วสั่งให้ฟาเดลล์ กับทีมวิศวกร ลงมือทำทันที
1
Dream Team
1
เมื่อจ็อบส์ได้ทีมงานที่เปรียบเสมือนดรีมทีมเขาก็ไม่เคยกลัวสิ่งใดอีกต่อไป ในเดือนเมษายนปี 2001 มีการประชุมนัดสำคัญ วันนั้นจ็อบส์ต้องตัดสินใจเลือกองค์ประกอบพื้นฐานสำหรับเครื่อง iPod ซึ่งฟาเดลล์เป็นคนนำเสนอโดยมี รูบินสไตน์ ,ชิลเลอร์ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
2
การประชุมเริ่มด้วยการนำเสนอเรื่องของศักยภาพของตลาด และเนื้อหาทางการตลาดอื่น ๆ ที่เหล่านักการตลาดมักจะทำกัน แต่จ็อบส์ เป็นคนที่มีความอดทนต่ำ สไลด์ชุดไหน ที่มีความยาวเกินหนึ่งนาที เขาจะไม่สนใจทันที และเมื่อถึงฟาเดลล์ ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องคู่แข่งในตลาด ที่ขณะนั้น มีทั้ง Sony , Creative หรือ Rio ที่่อยู่ในตลาดเครื่องเล่น MP3 เหมือนกัน
แต่จ็อบส์โบกมืออย่างไม่แยแส จ็อบส์ไม่เคยสนใจคู่แข่งเลยด้วยซ้ำ โปรเจค iPod ที่ยังเป็นความลับอยู่ เหล่าคู่แข่งยังไม่รู้ว่า Apple กำลังทำอะไรด้วยซ้ำ
1
จ็อบส์ชอบให้เอาสิ่งที่จับต้องได้มาโชว์ เพื่อเขาจะได้สัมผัส ลูบคลำ สำรวจ ฟาเดลล์จึงได้นำโมเดล 3 แบบเข้ามาในห้องประชุมด้วย รูบินสไตน์ ได้สอนเทคนิคให้จ็อบส์ดูเรียงตามลำดับเพื่อให้ชิ้นที่เขาชอบที่สุดเป็นชิ้นที่เด่นที่สุดทีมงานจึงซ่อนโมเดลที่ชอบไว้ใต้โต๊ะประชุม
จากนั้น ฟาเดลล์ เริ่มเอาโมเดลออกมาโชว์ ซึ่งโมเดลเหล่านี้ทำจากโฟมแบบเดียวกับที่ใช้ทำกล่องอาหาร ยัดไส้ตะกั่วเพื่อให้ได้น้ำหนักที่เหมาะสม ตัวอย่างแรกมีช่องใส่เมมโมรี่การ์ดสำหรับบันทึกเพลงแบบถอดได้ จ็อบส์ตัดตัวอย่างนี้ออกทันทีมันดูซับซ้อนไป
1
จากนั้นแบบที่สามคือ ฟาเดลล์ ได้ทำการจับชิ้นส่วนต่อกันเหมือนเลโก้เพื่อให้ดูว่าเครื่องเล่นบรรจุฮาร์ดไดร์ฟขนาด 1.8 นิ้วจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่งโมเดลนี้จ็อบส์ดูสนใจมาก ๆ ซึ่งสุดท้ายจ็อบส์ก็เลือกแบบดังกล่าวซึ่งทำให้ฟาเดลล์ ถึงกับทึ่งมาก เพราะปรกติการประชุมแบบนี้ที่บริษัทอื่นจะต้องตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจอีก แต่กับ Apple จ็อบส์ ถือเป็นสิทธิ์ เด็ดขาด สามารถฟันธงได้ทันที ทำให้ทุกอย่างสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
3
โดยหลังจากเริ่มโครงการอย่างเป็นทางการ จ็อบส์ ก็เข้ามาคลุกคลีด้วยทุกวัน จ็อบส์ให้ concept หลักของ iPod คือ “ทำให้ง่ายเข้าไว้!” ทุกฟังก์ชัน ต้องทำได้ภายใน 3 click ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะบางครั้งทีมงาน ต้องพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนของ User Interface แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน
2
แต่จ็อบส์ก็พยายามหาจุดอ่อน ไปเรื่อย ๆ และให้ทีมงานไปคิดหาวิธีแก้มา ซึ่งบางครั้งทีมงานก็คิดไม่ออกว่าจะไปถึงสิ่งที่จ็อบส์ต้องการได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ ในหลายเรื่องที่ทีมงานต้องมานั่งแก้ไขเพื่อให้จ็อบส์นั้นพอใจ จนตอนนั้น มันทำให้ปัญหาเล็ก ๆ ต่าง ๆ แทบมลายหายไปเลยทีเดียว เพราะจ็อบส์จะเห็นรายละเอียดในทุก ๆ จุด และสั่งให้แก้ไขมันทันที
4
ในที่สุดจ็อบส์ได้เผยโฉมเครื่อง iPod ครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2001 ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ในบัตรเชิญที่ส่งไปยังสื่อนั้นมีข้อความยั่วยวนว่า “คำใบ้: คราวนี้ไม่ใช่ Mac”
1
นาทีประวัติศาสตร์ที่จ๊อบส์ หยิบ เจ้า iPod ออกมาจากกระเป๋า (CR:Cult of Mac)
iPod ได้กลายเป็นแก่นสำคัญของทุกอย่างที่ apple ถูกชะตาได้กำหนดมาแล้ว ทั้งบทกวี ที่เชื่อมโยงกับวิศวกรรม ศิลปะ และ ความคิดสร้างสรรค์ มาบรรจบกับเทคโนโลยี การออกแบบที่กล้าแต่เรียบง่าย การใช้งานที่ง่ายมาก ๆ ซึ่งมันเป็นผลจากการทำงานอย่างหนัก และทำอย่างบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ FireWire ถึงตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ และการจัดการคอนเทนต์ เมื่อลูกค้าหยิบเครื่อง iPod ออกจากกล่อง มันสวยจนดูคล้ายเรืองแสงได้ เทียบกันแล้วดูเหมือนเครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่น ๆ ถูกออกแบบและผลิตในดินแดนที่ล้าหลังเลยทีเดียว
ต้องยอมรับว่า ตอนนั้น iPod โครตที่จะสมบูรณ์แบบเลย มันแทบจะสุดยอดนวัตกรรมใหม่ ที่คนทั่วโลกต่างตื่นเต้นกับเจ้า iPod เครื่องนี้ และเพียงไม่นาน ผู้บริโภคก็ทำให้มันกลายเป็นสินค้าขายดี และพลิกบริษัท Apple จากธุรกิจคอมพิวเตอร์ให้กลายมาเป็นบริษัทผลิตสินค้า consumer product ได้สำเร็จ เข้าสู่ยุครุ่งเรืองใหม่ของ Apple อย่างเป็นทางการ
1
ต้องบอกว่าการเริ่มต้นยุคใหม่ของ จ็อบส์ โดยการเข้ามาคุม Apple ในคำรบที่สองนั้นแทบจะติดลบด้วยซ้ำ ตอนที่ จ็อบส์ เข้ามากู้วิกฤตินั้น สถานการณ์ของ Apple แทบจะเป็นซากปรักหักพังเป็นบริษัทที่รอวันล้มละลายเท่านั้น แต่ จ็อบส์ สามารถพลิก Apple กลับมาได้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีด้วยนวัตกรรมที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ล้วน ๆ
1
และสิ่งสำคัญที่จ็อบส์ทำมาตลอดในช่วงดังกล่าว คือ การโฟกัส ซึ่ง เขาโฟกัส ในสิ่งที่ทำ การสร้าง iPod นั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งทางด้านวิศวกรรม และ การออกแบบมากมาย แต่จ็อบส์ เชื่อมั่นว่า ทีมของเขาจะทำได้ เขาทำให้ทีมของเขาทำสิ่งที่ใครในโลก ไม่คิดว่าจะทำได้ iPod มันจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิเศษที่สุด มันเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดนตรีได้เลยด้วยซ้ำ และมันเป็นการพลิกโฉมของ Apple เข้าสู่ยุคใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
1
และเพราะ iPod นี่เอง ที่ทำให้ จ็อบส์ กล้าที่จะสร้าง iPhone หรือ iPad ตามมาได้ เพราะเขาสามารถทำเรื่องที่เหลือเชื่อ ด้วยทีมงานดรีมทีมที่มีความพร้อมขนาดนี้ได้แล้ว มันทำให้จ็อบส์ กล้าที่จะทำอะไรแหกกฏ ที่เคยมีมา
3
ลองจินตนาการกลับไปทั้งยุคของเครื่องเล่น MP3 ก่อน ที่จะมี iPod หรือมือถือสมาร์ทโฟนก่อนที่ iPhone จะเปิดตัวออกมา ไม่มีใครจินตนาการถึงมือถือสมาร์ทโฟนแบบ iPhone หรือเครื่องเล่น mp3 อย่าง iPod ในยุคก่อนหน้าได้เลยด้วยซ้ำ
4
จ็อบส์ ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ทั้งนั้น เพราะมันแตกต่าง มันไม่เหมือนใคร และมันเป็น DNA ของการ Think Different ที่เป็น DNA หลักของ Apple เลยก็ว่าได้ เมื่อจ็อบส์ พร้อมจะลุย ลูกทีมของเขาก็พร้อมจะสู้กับจ็อบส์ เพราะไม่ว่าอุปสรรคจะยากหรือท้าทายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลัวมันอีกต่อไปนั่นเองครับผม
5
References :
หนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ : Steve Jobs
ผู้เขียน : Walter Isaacson (วอลเตอร์ ไอแซคสัน)
ผู้แปล : ณงลักษณ์ จารุวัฒน์ และคณะ
หนังสือ IPOD…แบรนด์ นวัตกรรมและจักรกลบันเทิง
ผู้เขียน : Dylan Jones
ผู้แปล : กรกฎ พงศ์พีระ
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา