25 ก.ย. 2023 เวลา 09:31 • กีฬา

โนวัค โยโควิช : ความเก๋าเกมและการปรับตัว สู่แชมป์แกรนด์แสลม 24สมัย | Main Stand

หลังจากล้างตาเอาชนะ ดานิล เมดเวเดฟ ในนัดชิง ยูเอส โอเพ่น 2023 เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา โนวัค โยโควิช ได้ทาบสถิติของ มาร์กาเร็ต คอร์ต ในฐานะนักเทนนิสที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมมากที่สุดในประวัติศาสตร์
จากการขับเคี่ยวกับ ราฟาเอล นาดาล, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กับ แอนดี้ มาร์รีย์ สู่การเปลี่ยนผ่านมาเป็น เมดเวเดฟ และ คาร์ลอส อัลคาราซ นักหวดชาวเซอร์เบีย ยังคงไว้ลายความเป็นมือหนึ่งของโลก ด้วยการใช้เทคนิคและความเก๋าเอาชนะความสดใหม่ของนักหวดรุ่นเยาว์
"โนเล่" ทำอย่างไรให้เขายังคงวาดลวดลายในระดับแนวหน้าของโลกได้ มาย้อนดูความยิ่งใหญ่ของโยโควิชบนคอร์ตเทนนิสไปพร้อมกับ Main Stand
จิตใจของผู้ชนะ
"สิ่งแรกที่ผมอยากถามโนวัคคือ ทำไมคุณยังอยู่ตรงนี้เนี่ย … ผมไม่รู้เมื่อไหร่คุณจะเริ่มผ่อนเกมลงสักนิด" คือประโยคหยอดมุกจากเมดเวเดฟที่ให้สัมภาษณ์หลังจบการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ยูเอส โอเพ่น ด้วยชัยชนะของโยโควิชสามเซตรวด 6-3, 7-6 ไทเบรก 7-5 และ 6-3
นั่นเป็นคำถามที่ดี เพราะเมื่อพิจารณาว่าโยโควิชสามารถคว้าแชมป์แกรนด์แสลมได้ถึง 24 สมัย โดยที่ต้องชิงชัยกับ เฟเดอเรอร์, นาดาล, มาร์รีย์, เมดเวเดฟ, อัลคาราซ และนักเทนนิสอีกมากที่ต้องการโค่นบัลลังก์ของเขา
โยโควิชเปิดเผยหนึ่งในเหตุผลเบื้องหลังไว้ว่า "ผมต้องปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา เพราะทุกคนก็ทำแบบนั้น ยิ่งในฐาะนะคนวัย 36 ปีที่ลงแข่งกับนักเทนนิสอายุ 20 ปี ผมยิ่งต้องพยายามมากกว่าเดิม"
"มันคือผลของความต่อเนื่องที่ผมพยายามทดลองสิ่งต่าง ๆ ให้ตัวเองได้เปรียบนักเทนนิสที่สดกว่าผม" ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้จากทั้งการลงเล่นในรอบรองชนะเลิศพบกับ เบน เชลตัน นักหวดเจ้าถิ่นวัย 20 ปี หรือแม้แต่ เมดเวเดฟ ที่อายุน้อยกว่าเขาถึง 9 ปี
การต้องรับลูกเสิร์ฟที่มีความเร็วสูงราว 230 กิโลเมตร/ชั่วโมงของเชลตัน และค่าเฉลี่ยแรลลี่ 6.3 ช็อตต่อแต้มในนัดชิงชนะเลิศกับเมดเวเดฟ รวมถึงระยะการวิ่งเฉลี่ย 26 เมตรต่อแต้มของโยโควิช แสดงให้เห็นถึงความยืดเยื้อ และการงัดความแข็งแกร่งเชิงกายภาพของผู้เล่นทั้งสองออกมาต่อสู้กัน
นอกจากความพร้อมทางทักษะและร่างกายแล้ว โยโควิชเปิดเผยว่า "ผมใช้เวลาในช่วง 48 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนแข่ง กันไม่ให้เรื่องความสำเร็จเข้ามาในหัว เพราะผมพลาดไปเมื่อสองปีที่แล้ว และผมทำผลงานในสนามได้ไม่ดีจนไม่สามารถต่อกรใครได้เลย" ซึ่งหมายถึงการแพ้ให้กับ เมดเวเดฟ ในนัดชิงชนะเลิศ ยูเอส โอเพ่น เมื่อปี 2021 ไป 3 เซตรวด
และความแข็งแกร่งทางจิตใจก็มีส่วนผลักดันให้เขากลับมาล้างตากับนักเทนนิสชาวรัสเซียในนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
1
เก๋าเกม
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงต้นของการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คือการปักหลักหลังเส้นท้ายคอร์ต หรือเบสไลน์ จนนำไปสู่การตีโต้แรลลี่ระหว่างผู้เล่นทั้งสอง โดยมีมากกว่า 54 แต้มที่ต้องผ่านการตีโต้กันมากกว่า 9 ช็อต อาทิ แต้มแรกของเกมที่มีจำนวนการหวดลูกถึง 19 ครั้งด้วยกัน
สำหรับโยโควิช การตีโต้ในระยะยาวย่อมไม่ต่างอะไรกับการหวดลูกอัดกำแพง ดังนั้นเขาจึงต้องปรับรูปแบบการเล่นระหว่างการแข่ง ทั้งการขึ้นมาเล่นลูกหน้าเน็ตและใช้เกมเสิร์ฟเป็นตัวจี้ทำแต้ม
นักหวดชาวเซอร์เบียสามารถทำแต้มจากการเล่นหน้าเน็ตได้ถึง 37 คะแนน มากกว่าเมดเวเดฟถึงสองเท่า พร้อมกับฉวยความได้เปรียบจากการเสิร์ฟจี้และวอลเลย์ลูกได้ 20 แต้ม ในขณะที่คู่แข่งชาวรัสเซียของเขาไม่สามารถเอาคืนได้เลย
น่าแปลกใจที่เมดเวเดฟไม่เปลี่ยนกลยุทธ์มาเล่นเกมหน้าเน็ตกลับบ้าง เพราะหากย้อนไปในนัดชิง ยูเอส โอเพ่น เมื่อปี 2019 เขาตัดสินใจขึ้นมาโต้กับ ราฟาเอล นาดาล ที่หน้าเน็ตไปถึง 74 ครั้ง โดยทำแต้มได้สำเร็จ 50 คะแนน พร้อมกับทำแต้มจากเสิร์ฟและวอลเลย์ไป 22 ครั้ง (แม้สุดท้ายเมดเวเดฟจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่แมตช์ก็ยืดเยื้อถึง 5 เซต) ซึ่งทั้งสองอย่างได้หายไปในนัดชิงปีนี้อย่างชัดเจน
"ผมควรขึ้นไปเล่นในแดนหน้าตั้งแต่ช่วงต้น ๆ เกม" เมดเวเดฟ เปิดเผยในภายหลัง "ผมได้ลองเล่นหน้าเน็ตไปบ้างในเซตที่สาม แต่ตอนนั้นสถานการณ์ของเกมก็เปลี่ยนไปแล้ว"
แต่ไม่ใช่ว่านักหวดชาวรัสเซียไร้ความสามารถจนเป็นฝ่ายพ่ายไปสามเซตรวด เพราะเมื่อดูความเข้มข้นของการแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วงเซตที่สองที่กินเวลารวมไป 1 ชั่วโมง 44 นาที ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสเบรกเกมคู่แข่งได้ รวมถึงเมดเวเดฟที่ทำมินิเบรกระหว่างช่วงไทเบรกได้แล้ว แต่ดันคืนความได้เปรียบกลับไปให้กับโยโควิช จนกุมความได้เปรียบและเอาชนะเซตที่สองไปได้ ก่อนจะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมสมัยที่ 24 ไปครองได้สำเร็จ
เบอร์หนึ่งของโลก
"เมื่อผมอายุได้ 7-8 ขวบ ความฝันวัยเด็กของผมคือการเป็นนักเทนนิสที่ดีที่สุดในโลกและคว้าแชมป์วิมเบิลดันมาครอง นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมปรารถนาในตอนนั้น" โยโควิช กล่าวในการให้สัมภาษณ์หลังจบเกม "ผมไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ การที่ต้องพูดถึงแชมป์แกรนด์สแลมที่ 24 ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นความจริง แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสที่จะได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ดังนั้นทำไมจะไม่ลองคว้ามันมาล่ะ"
ชัยชนะที่สนามอาร์เธอร์ แอช (Arthur Ashe) ทำให้โยโควิชขึ้นไปรั้งอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง และเป็นการวางหมุดหมายสำคัญว่านักเทนนิสชาวเซอร์เบียรายนี้ยังมีของอยู่ และเป็นเป้าหมายให้นักเทนนิสเจเนอเรชั่นถัดไปผลักดันตัวเองขึ้นมาประลองฝีมือ เหมือนกับครั้งที่เขามี เฟเดอเรอร์, นาดาล และ มาร์รีย์ คอยขับเคี่ยวแย่งชิงกันตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แกรนด์แสลมสนามแรกของปี 2024 อย่างออสเตรเลียน โอเพ่น ย่อมเป็นเป้าหมายถัดไปของโยโควิช ผู้คว้าแชมป์มาได้แล้วถึง 10 สมัย และเป็นแชมป์ 4 ครั้งล่าสุด (หากไม่นับปี 2022 ที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ เนื่องจากไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19) ที่จะกลับมาเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง
1
แน่นอนว่าช่วงที่ดวงอาทิตย์อัสดงต้องมาถึงโยโควิชในสักวัน เหมือนกับที่นักเทนนิสระดับอาชีพทุกคนต่างเคยเผชิญมา แต่มันยังไม่ใช่ในช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน
1
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา