Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ป
ปกรณ์ ปราสาททอง
•
ติดตาม
26 ก.ย. 2023 เวลา 09:13 • ปรัชญา
องค์ธรรมพระสันตะโร ..คนที่ทำให้เราทุกข์นั่นน่ะ คนอื่นเต็มเมืองเลย
..คนที่ทำให้เราทุกข์นั่นน่ะ คนอื่นเต็มเมืองเลย ..ช่วยให้เรามีทุกข์
ถ้าจะให้พ้นทุกข์ เราต้องช่วยเหลือตัวเองถึงจะพ้น. เมื่อรู้เรื่องราวเหล่านี้ ก็หมั่นฝึกกระทำขึ้น
นั่งพับเพียบ ทำกายตรงๆ ดึงลมหายใจลึกๆ แล้วกล่าวคำว่า “
ณ สถานสักการะนี้ ต่อเบื้องพระพักตร์ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้นำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดาของข้าพเจ้า และกายบุญกายบารมีของข้าพเจ้า มาประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยกายวาจาใจ
จิตของข้าพเจ้า อาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดาของข้าพเจ้า ..ตามองดูที่มือ วางมือซ้ายลงที่หน้าตัก..มารดา วางมือขวาลงที่หน้าตักบิดา ..ยืดกายให้ตรง แล้วดึงลมหายใจลึกๆ ..กลั้นลมหายใจ ..สำรวจดูทั่วตัว ว่าจะไม่ขยับเขยื้อน ..แล้วกล่าวคำว่า ..กายนิ่ง …จิตเฉย…แล้วนำจิตของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก พุทธหายใจออกว่า..รู้ ..ว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ตรัสรู้ ..รู้เรื่องโลภโกรธหลง ต่างๆแล้ว ..ยุติแห่งกรรม
เราหายใจเข้ามาลึกๆ ดึงลงมาภาวนาว่า..โธ คือ..ความสงบเกิดขึ้น เมื่อเราได้ระลึกเรื่องราวต่างๆดีแล้ว ความสงบไม่วุ่นวาย เหมือนกับเราจะคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เราก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาซับซ้อนกัน เรื่องต่างๆ ที่จะคิดอ่านการนั่น..ไม่สำเร็จ เพราะพัวพัน
เหมือนกับเอาแกงจืดแกงเผ็ดกะปิน้ำปลารวมกันไปหมด เป็นการรวม เลยไม่รู้รสชาติว่า เปรี้ยว เผ็ด หวาน มันเค็ม ..ยังไงไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น เมื่อเราบอกว่า ..จิตเฉย ..เมื่อเฉยได้ เราก็สามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่เรากำลังทำ ..นั่นคือ..อะไร ขณะนี้เราทำอะไรอยู่ เราก็นึกถึง ว่า ..กายนิ่งก็คือ ..กายบุญ..กายบุญเอามาภาวนา ..ไม่คิดอ่านอะไรเลย ..ก็กายบารมี จิตอาศัยอยู่ในกายบุญบารมี ..ไม่ไปพูด..ก็เป็นจิตประเสริฐ
เพราะบารมีนี้ มองเห็นเรื่องราวต่างๆภายนอกกายแล้ว มันมีแค่ภาระที่จะต้องแก้ไข และชดใช้ ไปลุ่มหลง ในความยึดถือต่างๆ ใครก็รู้ว่าดีชั่ว
ใครๆก็รู้ว่านั้นมันโลภโกรธหลง ไอ้ตัวตน ที่มันโลภโกรธหลงดีชั่ว เคยเห็นหน้าตามันมั้ย หน้าตามันเป็นอย่างไร ท่าทางมันเป็นอย่างไร วาจามันเป็นอย่างไรบ้าง เราก็ไม่เคยพบเคยเห็นซักที เพราะจิตเรายังเรียนศึกษาไปไม่ถึง มีอยู่อย่างเดียวที่ประสมให้แก่จิตที่ปิดบังเรื่องราวต่างๆ คือ ตัวทิฐิ
..ทิฐิเข้ามาเลย เห็นว่า โลภเป็นอย่างงั้น โกรธเป็นอย่างงั้น ดีชั่วเป็นอย่างนั้น ต่างๆนานาที่จะเห็นว่า เป็นสิ่งประเสริฐ นั่นเป็นเรื่องของอารมณ์ ที่ปรุงแต่งมา ..อุปโลกน์ขึ้นมา ผู้ที่เค้าอยู่เฉยไม่มีอะไรเลย ดูแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระสิทธัตถะ ท่านไม่มีอะไรเลย เมื่อไม่มีอะไร ท่านก็ไม่มีอารมณ์ ที่จะไปปรุงแต่งเกิดขึ้น
เมื่อไม่มีอะไร ที่สุดแล้ว ท่านก็นึกถึงว่า โอ้ว..ถ้าอยู่ในบ้านเวียง ตัวยึดขึ้นมา ตัวอยู่สุข ตัวโลภ เพราะฉะนั้น นึกถึงอยู่เช่นนี้ ท่านก็จมอยู่กับเวียงวัง มองดูเวียงวัง โอ้ว..นี่มันโลภ มันยึด มันสุขสบาย
แล้วกายเราล่ะ ..ไปไหน ท่านเริ่มค้นคว้าหาความเป็นจริงขึ้น ว่าพระราชวังมันดีอย่างไร ว่าห้องหับที่เรายึดถืออยู่ดีอย่างไร การกินการอยู่มันดีอย่างไร มองหาตัวตนที่แท้จริงของมัน ว่าทำไม ถึงยึดนัก ..ยึดทรัพย์สมบัติ ยึดโลภโกรธหลง..มันยึดนักยึดหนามันดีอย่างไร แต่อย่างนั้น..ก็ยังไปไม่ได้ ก็จำเป็นต้องไปฝึกหัดเรื่องราวของกายเกิดขึ้น
เพราะกายนี่ มันนั่งไปนานๆ มันก็จะเจ็บปวด จะทนไม่ไหว เพราะยังไม่รู้เรื่องเลย ว่าการจะนั่งให้มันเฉย มันทน หรือ ดี มีดีอย่างไร เพราะยังไม่ม่ใครสั่งสอน ใครชี้แนะอะไรต่างๆ ท่านก็เดิน .เดินไปเจอะเจอ..เอ..คนนี้นั่งเป็นยังไง เหมือนเสาต้นไม้เลย โอ้ว..คนนี้ เค้าเรียก..ฤาษี
ฤาษีนั่งแข็ง เป็นท่อนไม้ ทำไมเค้านั่งอย่างนั้นได้ เค้าใช้อะไรน่ะ เป็นเครื่องทดลอง พระฤาษี ..ก็ให้วิชชา ความรู้เกิดขึ้น ..รู้อะไร..รู้ท่องบทคาถาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้..ความนิ่งเฉย..ท่องคาถา.ทำให้เพลิดเพลินในตัวคาถานั้น ทำใหกายนี้ นิ่งเฉย แข็งทื่อไปเลย
เอ..ไม่ได้ที่น่ะ ไอ้นี่เนีย ..ถ้าไปท่องบทนี่ มันมีฤทธิ์มีเดชนี้ เราเอาอย่างเดียวดีกว่า ทำให้กายเป็นท่อนไม้ ทำยังไง เราก็มีวิชชาของเรา เราก็ท่องให้มันเพลินน่ะ ให้จิตมันจับที่ลมหายใจเข้าออก ท่องพุทโธๆ เกิดขึ้น ท่านก็ท่องจน.. จิตเป็นหนึ่ง จิตจับอยู่ที่พุทโธ เป็นหนึ่งขึ้น กายก็นิ่งเหมือนเสาไปเลย
เมื่อกายนั่งเป็นเสา ท่านจะทำอย่างไร นั่งเป็นวันเป็นคืน นั่งอยู่อย่างนั้น ..นิ่ง มันไม่เห็นไปไหน ได้แสงรัตนะ หรือองค์ธรรม ที่เค้า ..องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัยรู้ผ่านๆไปแล้ว ก็ส่งมาเป็นกระแส เป็นเหมือนกับคนพูดอย่างนี้ คือ..องค์ธรรมนั้นแหละ มาหนุนนำ องค์ธรรมท่านก็เกิดขึ้นกับจิตของท่าน ไปสะกิดจิตเกิดขึ้น นั่งเฉย ก็เอาเรื่องต่างๆ เอามาจับดู ว่าอะไร ที่ทำให้มันเกิด .เพราะไอ้ตัวยึดนี่เอง ที่ทำให้เกิด .
เรายึดอะไร มันต้องมาใช้ทุกอย่าง วาจาที่พูดออกไป อ้อ..มันก็เป็นวาจาที่เราต้องใช้ ก็ต้องมานั่งพูดกันอยู่อย่างนี้ พูดเรื่องความยึดความหลงความโกรธความเกลียดอะไรต่างๆ มันก็อยู่ภาษาของโลก ไอ้พูดที่คัดเอ้าท์ รู้จักความกตัญญูรู้คุณ ..มีมั้ย
แล้วท่านก็ยังไม่รู้ความกตัญญูรู้คุณอะไรยังไง ท่านก็ตรวจสอบ ..ตรวจสอบที่ไหน ตรวจสอบอยู่ที่คุณบิดามารดา ..ท่านให้สังขารเรามา ท่านมีความเมตตา แล้วท่านก็สอน สอนสั่ง ให้เราพูด ให้เราเดิน อะไรต่างๆเกิดขึ้น ถ้าไม่มีผู้ชี้แนะแนวทาง เราจะมีโอกาส ได้เดิน ได้พูด กินเป็น พูดเป็นมั้ย นอนเป็นมั้ย รู้จักความสวยความมั้ย เราก็ไม่รู้
อ้อ..นี่ถ้าไม่มีพ่อแม่ ไปชี้แนวทางขึ้น หนทางเกิดขึ้น เราก็คงไม่รู้ คราวนี้ถ้าไม่เอา พ่อแม่บอกใก้เดืนอย่างนี้ เราก็ไม่เอา เราคลานดีกว่า มันจะได้มั้ย คลานกับเดินอันไหนมันเร็วกว่ากัน แล้วถ้านั่งอยู่เฉยๆเราไม่เอาเดิน เราจะไปกินอารมณ์ ที่นั่นที่นี่ได้มั้ย ไปจับตรงนั้นตรงนี้ได้มั้ย
ท่านก็มานั่งพิจารณา บิดามารดาสอนให้เดิน เราก็ก้าวเดินตามท่าน เอ๊ะ..มันเดิน มันก็ไปเร็วดีน่ะ ดีกว่าคลาน หรือว่า ถ้าเรานั่งเนี่ย ก็ไม่ได้ไปไหนเลย ถ้าเราไม่ทำตามเค้า ท่านกระทำมาพิจารณา ทำตามบิดามารดา ที่สอนสั่งให้เดิน ก็พิจารณาว่า ที่เดินนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ท่านก็มาคิดพิจารณาการเดินขึ้น ..ไม่ใช่ว่าตอนเด็กน่ะ ตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ที่อยู่ในป่าเนี่ย เอามาพิจารณาขึ้นในการเดืน อ้อ..เดินอย่างนี้ เนี่ยการพิจารณา เรื่องเหตุผลในการเดิน แล้วเราก็ปฏิบัติตามที่สอนสั่ง..ก็เรื่องถูกต้อง แล้วเราเดินไปไหน บิดามารดาไม่ได้สอน..เดินไปกินน่ะ ไปทุบไปตี หาเรื่องราว ไปโลภโกรธหลง ..ท่านไม่ได้สั่ง ท่านสอนวิธีให้เดินเท่านั้น
เหมือนคำสอนต่างๆขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราได้สดับรับฟังกัน เค้า..พูดเรื่องอารมณ์ เรื่องจิต เป็นอย่างไร มาอย่างไร เค้าชี้ให้เห็น เราก็พิจารณาขึ้น เหมือนกับองค์พระสิทธัตถะ ท่านพิจารณว่า เดินแล้วมันดีอย่างไร มันไปไหนมาไหนได้ กับการนั่งอยู่เฉยๆ มันใช้การไม่ได้
..มันต้องปฏิบัติขึ้นมา ถึงจะรู้ว่า..โอ้ว..มันเดินดี เดินแล้วไปที่โน้ตที่นีี่ได้ แต่เราไปในทางที่ถูก หรือ ที่ผิด ..อยู่ที่การพิจารณาอีกที นั่นก็ คือ เรื่องการคิดอ่านต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเราอยู่ที่ในเวียงวัง เราก็หลงกับเวียงวัง เราก็หลงกับความสุข สุขนอนที่นอนดีๆ เราหลงมั้ย ..หลง..หลงในความสุขกายสุขใจ
แล้วที่นอน หมอนมุ้งเป็นยังไง แล้วก็ต้องมาเปรียบเทียบ แล้วตอนนี้ เราอยู่กลางป่า หมอนมุ้งอะไรก็ไม่มี เสื่อสักผืนก็ไม่มี แล้วเรามีภาระอะไรมั้ย แล้วมันหลับเหมือนกันมั้ย ก็ทบทวนไปทบทวนมาอย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติขึ้น ..ไม่ใช่ว่า ไปนินที่กลางดินกลางทราย จะต้องมีมดปลวกต่างๆ ตัวเลอะเทอะต่างๆ เอ๊ะ..นอนไม่ให้มันเลอะเทอะ ก็นอนได้ เอาบไม้มาปูเข้า ก็นอนได้นอนบนที่นอน ที่หนาเหนอะหนะ ที่สวยงาม น้ำหอมน้ำปรุงชะโลมชะไหล้เกิดขึ้น
ท่านก็มาพิจารณาเกิดขึ้น โอ้ว..ต้นเหตุมาจากอารมณ์ อารมณ์ที่ไปยึด แล้วอีไหนที่มีนอนดีกว่ากัน เอ๊ะ..นอนที่กลางป่า นอนกับใบไม้ กับ นอนที่ห้องบรรทม อีไหนไม่ดีกว่ากัน อ้อ..นอนที่กลางป่า นอนกับใบไม้ ..ไม่มีกรรม นอนที่ห้องบรรทม..มีกรรม ทำไมมีกรรม ท่านก็เอามาพิจารณา. เพราะอารมณ์สั่งให้จิต ไปยึด แล้วมันก็ต้องเกิดแก่เจ็บตาย อยู่อย่างนั้น แต่มานอน..แล้วต้องมาเกิดใหม่อีก
.. ทำไมอยู่ห้องหับที่ดีเกิดขึ้น ..มานอนอยู่ที่กลางป่า ใบไม้แห้งๆหลับมั้ย ..มันก็หลับ เหมือนกัน แล้วใช้ที่เหมือนกัน อยู่ในห้องบรรทมใช้ที่นอนแค่นี้ อยู่กลางป่าก็ใช้ที่นอนแค่นี้ แต่มันผิดกันเท่านั้นเองเป็นใบไม้ แล้วมีการยึดใบไม้มั้ย นอนบนใบไม้ มันก็แห้ง ..แห้งมันก็ผุผง มันก็เป็นขี้ผงไป ก็ต้องไปหามาปูมาทำ มันไม่ได้อยู่กับที่ แต่ห้องบรรทม มันอยู่กับที่ มันไม่ได้เคลื่อนย้าย เราก็พิจารณาไป เมื่อเปลี่ยนใบไม้อีกที มันดีขึ้น หรือ ไม่ดีขึ้น นั่น..ท่านพิจารณาทุกอย่างที่การกระทำ
คราวนี้ การที่กระทำเกิดขึ้นนี้ คือ เหมือนการปฏิบัตินั่นเอง สอนจิตสอนใจตัวเองเหมือนกัน เหมือนกับ บิดามารดาสอนเราให้เดิน เราไม่เดิน..เราจะคลาน บิดามารดาเค้าสอนไม่ไหว เค้าก็ต้องมีหน้าที่ทำมาหากิน หาอยู่หานอน ..เราก็นั่งคลานไปสิ …เดินไม่เป็น ..
คราวนี้ เราเป็นผู้ที่พอดีๆ ฟังแล้ว เราปฏิบัติธรรมตาม เราถึงเดินเป็น นั่งเป็น กินเป็น นอนเป็นเกิดขึ้น ..อย่างงั้นก็ไม่เป็น ดูสิ..คนที่ชาวป่า มันรู้เรื่องมั้ย ให้นุ่งผ้า มันไม่นุ่งหรอก ก็นุ่งแต่ใบไม้ เหมือนกัน ..
ธรรมโลกุตระ งงเค้าให้ทิ้ง เค้าไม่ให้ยึด แต่ก็ต้อง เมื่อมันไปไหนไม่ได้ ก็ต้องหาของมาเลี้ยงกายไปก่อน จนกว่า เราจะมีปัญญาว่า ทำยังไง ..หนอ ทำให้กายนิ่งจิตเฉยได้ เมื่อแกว่งไกวเรื่องราวต่างๆ ก็ได้หยิบมาทีละอย่างสองอย่าง แล้วค่อยๆ ปฏิบัติขึ้นให้รู้จริงเกิดขึ้น..นั่นแหละ คือ ผู้ที่รู้จริง
ถ้าจะไปเล่าขานกันมามาก อย่างพระเทวทัต พระพุทธเจ้าท่านชี้เรื่องราวดีๆให้ พระเทวทัตเอามั้ง พระเทวทัต ไม่คิดไม่อ่านเพราะท่าน ก็มีปัญญาเป็นเลิศอยู่แล้ว จะไปเชื่อฟังคนอื่นได้อย่างไร เราก็เป็นลูกศิษย์ เป็นรองเค้าซิ เราก็หนึ่ง เค้าบอกทำอย่างนี้ ฉันไม่ทำต้องทำแบบนี้ เค้าให้เมตตา ฉันต้องไม่เมตตาเกิดขึ้น เค้าไม่ให้ทำลายคนอื่น เราต้องทำลายคนอื่น มันถึงเป็นผู้ยิ่งใหญ่
นี่..คือ เรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรม โลกุตระ ต้องค่อยทำ แล้วปฏิบัติตามที่เค้าชี้ให้เห็น แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าฟังแล้วทำเลย ฟังโดยที่ไม่คิดพิจารณาอะไรเลย ว่าถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ฟังกันได้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น อะไรก็เชื่อไปหมด นั่น ..ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นตัวยึดลุ่มหลงในการเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ..ไปยึด..เหตุผล..ไม่มี
..ไปยึด …ยึดเหตุผล..ที่เค้าพูดออกมาไปถึงตัวบุคคล มันก็อยู่ที่ตัวบุคคล แล้วเมื่อไหร่เราถึงจะเป็นจิตที่มีปัญญา เค้าให้ทำอย่างนี้ แล้วเราก็ทำขึ้น แล้วเรียนให้รู้จริงเกิดขึ้น นั่นคือ ธรรมะพระพุทธเจ้า ..ธรรมโลกุตระ..ที่รู้แล้วละเกิดขึ้น
อย่างนี้ ถ้าเราไปนอนในห้องของเราเนี่ย อบอวลไปด้วยน้ำอบน้ำปรุง มันนอนแล้วนอนอีก ไม่อยากจะลุก มันนอนสบาย สบายของอารมณ์กับกาย จิตก็ไปยึดตรงนั้น เอ้า..ก็ไปนอนอยู่ ที่กลางดิน ที่ใบไม้แห้งๆ ใบไม้ที่มาปู พอมันตื่นแล้ว มันก็ตื่นเลย ไปทำไอ้โน้นไอ้นี่ต่อได้ ขื่นนอนต่อไป..ก็เหมือนเจ็บเนื้อเจ็บตัว พลิกซ้ายพลิกขวาอย่างนี้ ก็เจ็บตัว..ก็ไม่นอน
มีโอกาสที่มีลมหายใจรู้ มีความฉลาดรู้ รอบรู้ก่อนใคร เห็นมั้ย..ลองดูก็ได้ เรานอนกับพื้น เรานอนกับที่นอน ตอนนี้..มานอนกับพื้นกระดาน พอมันลุกง.พอถึงเวลานอนลุก ..มันลุกแล้ว ไม่มากระบิดกระบวน เดี๋ยว..อีกหน่อนน่า รออีกหน่อไม้น่า ..มันก็อยู่อย่างนั่น ในที่สุดก็คนอื่นเค้า ไปไหนต่อไหนกันแล้ว เรายังจมอยู่ในที่นอนอยู่ ..ลองนอนกับกระดานซิ ..ที่เค้าอิ๊ดอ๊าดหน่อย .พอเค้าลุก ก็ลุกบ้างแล้ว
การพักผ่อนเนี่ย มันก็ถูกต้อง แต่ไม่ควรจะเลยเถิด จนจิตไม่มีเวลาที่จะทำงาน เอาจิตไปแช่..แข่แข็งอยู่อย่างนั้น..นอน..แล้วมันจะมีปัญญาอะไรเกิดขึ้น
คนตื่นลืมตา กับคนหลับตา..ใครมันจะฉลาดกว่ากัน แต่เอาจิตตื่นมันดี แต่ว่ามันไม่ตื่น ..พอหลับตา ..มันก็เลยหลับไปพร้อมกับตา ..จืตน่ะ เพราะวิญญาณทั่งหกไม่ทำงาน ที่นี้จิต..บังคับให้วิญญาณทั้งหก..ทำงาน ..แม้งแต่เราหลับตาเราก็ยังมีความรู้สึกเกิดขึ้น เพราะจิตมันยังตื่นอยู่
คราวนี้ ถ้าจิตมันหลับไปกับวิญญาณทั้งหก มันก็หลับไปด้วย จิตก็ไม่ได้ทำการทำงานอะไรแล้ว หมกอยู่กับตัวโง่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น การพิจารณาเรื่องราวต่าง ฟังแล้วพิจารณา แล้วปฏิบัติขึ้น ถ้าฟังแล้วพิจารณา..ไม่ปฏิบัติ ก็เสียเวลา เหมือนกับไม่ฟัง หรือ อาจจะเกิดความทิฐิเกิดขึ้นก็ได้ ถ้าไม่ไปปฏิบัติขึ้น
เนี่ย ..การตรวจสอบนี่ ความจริงเกิดขึ้นที่ไหนกัน อยู่ที่จิตของเรา ไม่ได่อยู่ที่ นาย ก.. นาย ข. หรือ นาย ง อะไรทั่งนั้น เพียงแต่เรา ..นำมาพิจารณา แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้น นั่นแหละ ธรรมะเกิดจากจิตของเรา ไม่ได้เกิดกับใครที่ไหน
เพียงแต่ขออาจารย์ หรือ ผู้ที่ช่วยเหลือเรา เกื้อกูลเรา ว่าสะกิดข้าพเจ้า เอาเรื่องเก่าๆที่ข้าพเจ้า ได้นำมาเก็บไว้ ภายในจิตในใจ ช่วยขุดคุ้ยให้ข้าพเจ้าฟังหน่อย ให้รู้เรื่องราวต่างๆหน่อย เราก็ค่อยๆมีปัญญาขึ้น ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
อย่างเมื่อครู่นี้ ให้ระลึกถึงว่า บิดามารดาสอนให้เดิน เรามานั่ง นั่นก็เล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังใแล้วเราก็รู้มา เราฟังมาตั้งแต่เล็กๆ อยู่กับบิดามารดา ยังไม่รู้นิติภาวะ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เราก็มาพิมพ์ขึ้น นั่นก็เป็นธรรม ธรรมเกิดจากจิตเห็นกัน ที่เราจะต้องพิจารณาขึ้น เพื่อจะไปลบล้างโลภโกรธหลงของเรา ลบล้างความเห็น ..เห็นตัวเองดีแล้ว ความทิฐิในตัวตนออกไป เหลือแต่ความว่างเปล่า ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรเลยน่ะ มีแต่ความบริสุทธิ์..
แต่จิตที่มันไปบริสุทธิ์ เพราะอารมณ์ มาไหลมาๆ เราก็ไปจับมันเก็บไว้ๆ มันไหลมา..ไม่พิจารณา..รู้แล้วปล่อยทิ้ง เราก็ไม่มีภาระ มาเก็บของ สิ่งต่างๆ ที่เค้าไหลมา เราก็ยุติ การเกิดแกเจ็บตาย เพราะมันไม่มีอะไร..ที่จะเก็บแล้ว เราเก็บใช้ มันก็ต้องใช้ เหมือนกับเราเก็บเงินเก็บทองเนี่ย
ทำการทำงานมาได้ เราเก็บเงินเก็บทอง เก็บไว้ เราไม่ใช้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร คราวนี้เก็บไว้เราใช้กับความวุ่นวาย มันก็เกิดขึ้นๆ คราวนี้ ใช้ในเรื่องที่ถูกต้อง ทำให้จิตนี้ไม่ยึดติดเนี่ย ถ้าใช้ในเรื่องกรรมเนี่ยมันก็ยึดติด สมมุติว่า ใช้ไปดูเรื่องการละเล่น ไปกินไอ้โน้นไอ้นี่ เอาปัจจัยที่หามาได้ไปตามอารมณ์ที่เค้าสั่งให้ไปกิน ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ มันเป็นความสุขเหมือนกัน แต่เป็นตัวยึด ยึดที่จะต้อง ไปกินตรงนี้อีกน่ะ ไปเที่ยวที่นี้อีกน่ะ ต้องไปเที่ยวที่นั้นที่รี่ ที่เกิดขึ้น
คราวนี้ ถ้ามาใช้ที่ถูก ที่เป็นประโยชน์ให้แก่จิต ทำบุญทำทานบ้าง ยกให้เค้าไปเลย ไม่ไปยึดติด แต่สิ่งทำไป..ไปกินที่โน้นไปที่นี่ อะไรๆต่างๆ..ยึดติดมั้ยล่ะ เมื่อมันยึดติดขึ้นมา มันก็ต้องไปอีก ความเก็บเงินเก็บทองที่มันอยากจะไป มันก็ไป อยากกินอาหารร้านนี้อร่อย รู้ว่ามันห่างห้าสิบสามสิบกิโล ร้านนั่นมันอร่อย กับข้าวบ้านอร่อย ก็ยังอุตส่าห์เดี๋ยวทางไป มันอร่อยมั้ย อร่อยที่ความเหน็ดเหนื่อย ที่มันจมกับเวลา ที่ทุกข์ทรมานที่จะเดินทางไปสามสิบกิโล หรือ ห้าสิบกิโล นั่นเกิดขึ้น
แล้วข้าวในบ้าน หม้อข้าวในบ้าน อะไรมันอร่อยกว่ากัน พอไปถึงโน้น อาหารมันจะอะไร มันเหนื่อยมันเปลี้ยเพลียแรงแล้ว มันจะอร่อยกว่า ในข้าว ในหม้อข้าวในบ้านเราได้อย่างไร ลองเอาไปเปรียบเทียบดู คดข้าวมาเลยกิน ข้าวกับน้ำปลามันก็อร่อย มันหิว มันกินแล้วมันอิ่ม กับเดินทางไปสามสิบกิโลห้าสิบกิโล ..อะไรมันอร่อยกว่ากัน
ไอ้นั่น หมูเห็ดเป็ดไก่กุงหอยปูปลาเยอะแยะเลย นึกไปนึกมา ..โห..เราต้องมานั่งเคี้ยว ไอ้อันโน้นบ้างไอ้อันนี้บ้าง จับไอโน้นตรงโน้น จับหมูมา จับเป็เมา ประเดี๋ยวจับกุ้งมา ..วุ่นวายไปหมดน่ะ ถ้าไปดูรายละเอียด..ทุกข์เสียอีกแล้ว ทุกข์ในการที่ไปยึด ไปอยากกิน ไอ้โน้นไอ้นี่
..ไม่ได้ถามตัวเอง ว่าทำไมถึงอยากกินอย่างโน้นอย่างนี้ ใครสั่งน่ะ ให้เราอยากกิน วิญญาณหูจมูกลิ้นกายใจ วิญญาณทั้งหกตรงไหนมันสั่ง เราก็ไม่เคยสำรวจสักที จะกินไอ้โน้นไอ้นี่ ใครลงมาสั่ง เราก็ต้องเข้าหาคนสั่งให้ได้ แต่เราก็ยังไม่มีความรู้เรื่องราวเหล่านี้ ก็ค่อยๆรู้ไป นั่นแหละ ธรรมเหล่านี้ ก็ค่อยๆย้อนมาให้เราศึกษา ให้รู้ไว้ก่อน แล้วค่อยๆศึกษาไป
ที่เค้ามาสอนลงเรือนั่นแหละ มาในทำนองเดียวกัน เสัชทางเดียวกันเลย วิญญาณทั้งหก กับพายเรือนี่ มาที่เดียวกัน แต่เค้าจะมาเปิดตรงไหน เรื่องราวต่างๆ เมื่อไหร่ ก็คอยฟังไปปฏิบัติไป เพื่อเค้าจะให้หยุดการเกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละ
แล้วอีกอย่างหนึ่งหนึ่ง เพราะว่า เค้าสงสาร ดินฟ้าอากาศ เค้าเห็นว่า ทำความดีไว้ เมื่อชาติที่แล้วเยอะ เค้าก็มาหนุนนำให้ชาตินี้ ให้ไปพักในสถานที่ที่บริสุทธิ์ คอยพระศรีอริยะเมตไตรยมาจุติ ก็จะลิ่วเกิดมาตามหลังท่าน แต่นั่นแหละ มีความเพียรพยายามที่เกิดขึ้น ทั้งหลายที่มาในสถานที่นี้ ก็ต้องมาศึกษาให้เรียนรู้ ไม่ใช่ใาเพื่อรู้ ..มาปฏิบัติเพื่อให้รู้ เรียกว่า ธรรมะ ..ธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสรู้เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น
.. รู้ที่อื่น รู้เยอะแยะไปที่รู้ ..ตามหนังสือหนังหา ตามที่เราไปพบเจอกันเจอ ตามที่คนเล่าขานมากมายก่ายกอง ….เราต้องการคนปฏิบัติ คนที่หนีเวลา ที่สร้างกรรม ยอกเวลา..ยกเวลาที่สร้างกรรมทิ้ง มาเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงในวันข้างหน้า เอาเวลาตรงนี้มาทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่มาฟรีๆมาแบบสบายๆเมื่อไหร่ ที่หลังมากันแล้ว นึกถึงเรามาจากบ้านไกลน่ะเนี่ย เราจะมาทำอารมณ์ มาใช้อารมณ์ต่างๆ อีกหรือไง ไม่เอาไม่เอา เราวางไว้ก่อน
เดี๋ยว..ออกไปนอกวัด ..ค่อยเอามาใช้ เรามาต้องการยุติทุกข์ วางอารมณ์ให้ได้ พยายามผลักไสไล่ส่งมัน เหลือแต่คำว่า ดีอย่างเดียวพอแล้ว นี่แหละสิ่งที่ปรากฏขึ้น ให้ประจักษ์น่ะ ก็ค่อยๆทำกันไป ทั้งกายวาจาใจของเรา ไม่มีใครช่วยเราได้
เราฟังเราต้องปฏิบัติ แล้วเราถึงจะช่วยเหลือตัวเองได้ มัวแต่ให้คนอื่น เค้าช่วยๆ เค้าช่วยไม่ได้หรอกน่ะ ได่แต่บอกกล่าวเท่านั่น ไอ้ที่ช่วยได้..ที่เค้ามาช่วยเรา มาช่วยอย่างอื่น ช่วยให้เรามีทุกข์ช่วยได้ ..จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง พอเข้าใจแล้วน่ะ เรื่องเหล่านี้ ว่า คนที่ทำให้เราทุกข์นั่นน่ะ คนอื่นเต็มเมืองเลย ..ช่วยให้เรามีทุกข์ ถ้าจะให้พ้นทุกข์ เราต้องช่วยเหลือตัวเองถึงจะพ้น. เมื่อรู้เรื่องราวเหล่านี้ ก็หมั่นฝึกกระทำขึ้น เอาก็ง่ายๆแค่นี้แล้วกัน
..สันตะโร วิทะนันทา สัพพะโร โก..ธัมมะ กิริยะโต โหตุ..
..สาธุ พุทธังวันทามิ ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิ…
บันทึก
2
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย