27 ก.ย. 2023 เวลา 06:00 • ประวัติศาสตร์

‘รุ่นที่ถูกพลัดพราก’ เผยด้านมืดประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย

“รุ่นที่ถูกพลัดพราก” ด้านมืดประวัติศาสตร์ออสเตรเลียที่ทำต่อคนพื้นเมือง โดยคนผิวขาวที่ถือตัวว่ามีอารยะสูงส่ง
เชื่อหรือไม่ว่าครั้งหนึ่ง รัฐบาลคนผิวขาวแห่งออสเตรเลีย ได้เคยมีนโยบายในการจัดการเด็ก ๆ ลูกครึ่ง อันเป็นผลผลิตจากพ่อที่เป็นคนขาว และแม่ที่เป็นอะบอริจิ้นซึ่งเป็นคนพื้นเมือง โดยการพรากไปเสียซึ่งเด็กจากแม่ผู้ให้กำเนิด ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า เพื่อให้ชนชาวพื้นเมืองสามารถสืบเผ่าพันธุ์ต่อไปได้อย่างดีที่สุด โดยปราศจากเลือดคนขาวเจือปน
บนพื้นฐานของแนวคิดที่ว่า เพื่อให้เด็กลูกครึ่งได้รับการพัฒนาทักษะทั้งทางโลก (สังคม) และศาสนา (คริสต์) จึงจำเป็นที่จะต้องนำเด็กเหล่านี้เข้าสู่ระบบสังคมแบบผิวขาวอย่างเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ซึ่งหมายถึงการตัดขาดจากฝ่ายแม่ที่เป็นสังคมดั้งเดิมของเผ่าเร่ร่อน แล้วจัดหาพ่อแม่บุญธรรมคนผิวขาวที่พูดภาษาอังกฤษเลี้ยงดูโดยที่ห้ามรับทราบว่า ‘ใคร’ คือแม่ของตน รวมทั้งการให้นับถือศาสนาคริสต์ และจัดการให้ทำอาชีพเช่นเดียวกับที่คนออสเตรเลียผิวขาวประกอบกัน
แต่ที่น่าตกใจที่สุดก็คือ นโยบายพรากเด็กลูกครึ่งชนพื้นเมืองจากอ้อมอกของพ่อแม่เหล่านี้ ถูกกระทำโดยอาศัยอำนาจของรัฐบาลและคณะมิชชันนารี ที่ถือว่าเป็นหน้าที่คนขาวผู้มีอารยะสูงกว่าที่ต้อง ‘ช่วยเหลือค้ำจุน’ ให้เด็กเหล่านี้สามารถปรับตัวและอาศัยร่วมกับคนผิวขาวได้ใน ‘สังคมแบบตะวันตกนับถือคริสต์’ โดยนโยบายนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1890 และเพิ่งมาสิ้นสุดในช่วง 1970 ซึ่งก็เพียง “ไม่กี่สิบปีนี้” นี่เอง
โดยในขั้นแรกเริ่มจากการนำเอาเด็กที่เกิดจากสายเลือดผสมระหว่างยุโรป-ชนพื้นเมืองออกจากเผ่าแล้วนำไปสงเคราะห์ ณ สถานเลี้ยงดูซึ่งโดยมากแล้วคือโบสถ์ของคณะมิชชันนารี จนถึงกับมีคำเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘รุ่นที่ถูกพลัดพราก’ (The stolen generations) โดยตลอดระยะเวลาที่นโยบายนี้ได้ดำเนินการ ว่ากันว่ามีเด็กถูกพรากไปจากแม่ไม่น้อยกว่า 100,000 คนจากจำนวนชาวพื้นเมืองทั้งหมด 300,000 คน เทียบเท่ากับ 1 ใน 3 ที่ต้องถูกพรากจากครอบครัว
แม้ตามกฎหมายจะระบุไว้ว่าการนำเด็กมาจากครอบครัวจำต้องได้รับการเห็นชอบจากคำพิพากษาของศาลท้องถิ่น แต่ในทางปฏิบัติจริงกลับเป็นการดำเนินการโดยปราศจากคำสั่งศาลจึงไม่ต่างอะไรกับการ “ขโมย” ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ส่วนชะตากรรมของเด็ก ๆ ที่ถูกพรากมานั้นอาจเริ่มจากการถูกบังคับให้นับถือศาสนาคริสต์ ห้ามพูดภาษาถิ่น ซึ่งหากฝ่าฝืนก็จะได้รับการลงโทษ สิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้คือการกินอยู่และใช้ชีวิตแบบชาวออสเตรเลียนผิวขาว โดยผู้หญิงจะถูกฝึกให้ทำงานบ้านเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นคนรับใช้ในบ้านคนขาว ส่วนผู้ชายจะถูกฝึกทักษะในด้านแรงงานและการเกษตร
สำหรับทำการผลิตแก่ฟาร์มวัวและไร่พืช กล่าวได้ว่านี่คือการ ‘กลืนกลายวัฒนธรรม’ ของคนขาวอย่างแนบเนียนภายใต้ข้ออ้างที่ดูเลิศหรูว่าทำไปเพื่อปกป้องชนพื้นเมือง ยิ่งกว่านั้น เด็กหญิงชาวพื้นเมืองบางคนต้องเผชิญกับสถานการณ์คุกคามทางเพศ ที่เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยเว้นเสียแต่การจำยอมโดยไม่ปริปาก เพราะมิฉะนั้นจะโดนลงโทษ
ผลกระทบจากการเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมที่หดหู่เช่นนี้ ทำให้เด็กเหล่านี้ ต้องประสบกับปัญหาสุขภาพทางกายและทางจิต หรือถึงกับฆ่าตัวตายในบางราย และสำหรับเด็กที่รอดเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่นั้นก็เป็นพวกที่ขาดความอบอุ่น ทำให้เมื่อมีครอบครัวและลูกก็ไม่สามารถทำหน้าที่พ่อแม่ได้เต็มที่เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ครอบครัวที่อบอุ่นมาก่อน และแม้นโยบายเหล่านี้จะถูกยกเลิกไปแล้ว พร้อมความรู้สึกผิดของรัฐบาลออสเตรเลีย
ทว่านักเคลื่อนไหวชาวอะบอริจิ้นก็ไม่เคยหลงลืมความเลวร้ายที่พวกเขาและบรรพบุรุษพวกเขาเคยพบเจอ ด้วยเหตุนี้เรื่องของ ‘รุ่นที่ถูกพลัดพราก’ จึงได้รับการรำลึกทุก ๆ ปี เพื่อเล่าขานความโหดร้ายของคนขาวที่กระทำต่อคนพื้นเมืองด้วยข้ออ้างตรรกะวิบัติดังที่กล่าวมา
คลิกอ่านบทความเต็มของ “รุ่นที่ถูกพลัดพราก” ด้านมืดประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย ได้ที่นี่ https://www.luehistory.com/?p=21465
เลือกติดตามช่องทางอื่น ๆ ของ Lue History ได้ที่นี่
#LueHistory
#ออสเตรเลีย #คนขาว #คนพื้นเมือง
โฆษณา