Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Active
•
ติดตาม
2 ต.ค. 2023 เวลา 01:00 • สุขภาพ
คำสัญญา “หมอชลน่าน” ยกระดับบัตรทองรักษาทุกที่
ภารกิจหลักของ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คือการยกระดับบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำให้พรรคไทยรักไทย เคยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายมาแล้ว และนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย
“บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค” อยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ในยุคนี้บัตรทองกำลังจะถูกยกระดับเป็น “บัตรทองรักษาทุกที่” ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย โดย หมอชลน่าน ประกาศใช้ชื่อนโยบายว่า “30 บาทพลัส”
เวที Policy Forumครั้งที่ 1 นโยบายสาธารณสุข ที่ไทยพีเอสจัดขึ้น เฝ้าจับตาดูการยกระดับบัตรทองว่าจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ เพราะยังมีรายละเอียดอีกมากจำเป็นต้องมีการวางรากฐานการแพทย์ปฐมภูมิ และพัฒนาหน่วยบริการใกล้บ้านให้มีความเข้มแข็ง ประชาชนมั่นใจเข้าไปใช้บริการ ไม่เกิดการกระจุกตัวในโรงพยาบาลใหญ่ และไม่เกิดเหตุการณ์โรงพยาบาลปฏิเสธคนไข้ ไม่มีการเรียกส่วนต่างเพิ่ม ไม่ว่าจะไปรักษากับโรงพยาบาลใด
The Active นำข้อสังเกตเหล่านี้ไปตั้งคำถามกับ หมอชลน่าน ในวันแถลงนโยบายสาธารณสุขอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2566 ได้รับคำตอบว่า
“แม้ไม่มีบัตรประชาชนรักษาทุกที่ แต่ก็เป็นพฤติการณ์พฤติกรรมของสถานบริการที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขจะให้ความสำคัญเพราะเราถือเป็นโรงพยาบาลของประชาชน การที่จะปฏิเสธคนไข้ หรือการที่จะไปเรียกรับสิ่งที่ไม่เหมาะสมนั้น เราจะวางระบบให้เอื้อต่อการรักษาทุกที่ และยากมากที่โรงพยาบาลจะปฏิเสธคนไข้”
Q : ระบบที่วางไว้จะไม่เอื้อให้โรงพยาบาลปฏิเสธคนไข้ทำอย่างไร?
การจัดระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูล การจัดบริการที่ดีมีความพร้อม ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการ ถ้าหากไม่ฉุกเฉินสามารถที่จะนัดหมายเจอแพทย์ได้ มีระบบการจ่ายยาและตรวจเลือดใกล้บ้าน วางไว้ให้เอื้อต่อการทำงาน จริง ๆ แล้วนโยบายรักษาทุกที่คือต้องการลดความแออัดในโรงพยาบาล และลดขั้นตอนให้คนไข้ได้เจอหมอนานขึ้น ไม่ใช่เจอหมอแป๊บเดียวแล้วก็กลับไป
Q : (ถามย้ำ) ในยุคของท่าน ที่จะใช้นโยบายบัตรประชาชนรักษาทุกที่ จะไม่มีโรงพยาบาลไหนปฏิเสธคนไข้ และจะไม่มีการเรียกรับส่วนต่างใช่หรือไม่ ?
“เราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เราจะพยายามทำความเข้าใจกับสถานบริการ ซึ่งเรามีเข็มมุ่งเดียวกัน เหตุการณ์ที่ว่านั้นคงไม่เกิดขึ้น”
ระบบคลาวน์สุขภาพ ที่ยังไม่เรียบร้อยดี
อีกประเด็นที่น่าสนใจ เมื่อบัตรทองรักษาทุกที่กลายเป็นนโยบาย Quick Win ที่ต้องทำให้เห็นผลจริงเลย 100 วันแรก โดยกระทรวงสาธารณสุขประกาศว่าจะนำร่องก่อนใน 4 เขตสุขภาพคือ เขตสุขภาพที่ 1 เป็นเหนือตอนบน เขตสุขภาพที่ 4 เป็นพื้นที่ภาคกลาง เขตสุขภาพที่ 9 ภาคอีสานตอนใต้ และเขตสุขภาพที่ 12 เป็นพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง
แต่หัวใจสำคัญของ ‘การรักษาทุกที่’ คือต้องเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ประวัติผู้ป่วยให้ถึงกันทุกโรงพยาบาล ซึ่งผู้วางระบบนี้คือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES)
Q : ถามว่าใน 4 เขตสุขภาพที่นำร่องบัตรทองรักษาทุกที่นั้นใช้ระบบเชื่อมโยงข้อมูล หรือ ระบบคลาวน์ ของใคร?
ระบบคลาวน์ของกระทรวงดีอีเอส ยังไม่เสร็จเรียบร้อยและต้องใช้ระบบของกระทรวงสาธารณสุขไปก่อน
สอดคล้องกับเสียงสะท้อนมาจากบุคลากรในพื้นที่นำร่องว่า ระบบของกระทรวงสาธารณสุขก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลอื่น ๆ ได้ 100% จึงน่าจับตาดูต่อไปว่าการวางระบบคลาวน์สุขภาพที่มีหน้าตาสมบูรณ์แบบเป็นอย่างไร เพราะต้องถือว่าเป็นระบบใหญ่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของระบบสาธารณสุขไทยไปอีกฉากหนึ่ง ซึ่งจะการันตีถึงความยั่งยืนของนโยบายรักษาทุกที่
ยกระดับ รพ.สต. หายไปจากนโยบายการแพทย์ปฐมภูมิ?
หากดูจากกราฟิกนโยบายกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2567 ยกระดับ 30 บาทพลัส Quick Win 100 วัน ฉบับล่าสุดที่ใช้ในวันแถลงนโยบาย ในส่วนของการแพทย์ปฐมภูมิ พบเพียงรายละเอียดว่า ตรวจเลือด รับยา Telemedicine ใกล้บ้าน 1 จังหวัด 1 โรงพยาบาล และอนามัยโรงเรียน 1 อำเภอ 1 โรงเรียน
ขณะที่ Policy Forum ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานการแพทย์ปฐมภูมิโดยเฉพาะเล็งเห็นถึงปัญหาการถ่ายโอน รพ.สต. ไปอยู่กับท้องถิ่นซึ่งบางแห่งยังไม่สามารถทำงานร่วมกันเนื่องจากติดขัดระเบียบราชการต่างสังกัด
หมอชลน่าน กล่าวว่า เราเห็นภาพปัญหาการมีหลายหน่วยงานจัดบริการโดยเฉพาะภาวะวิกฤต เราเลยแก้โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมบูรณาการกัน แม้ รพ.สต.จะสังกัดท้องถิ่น แต่การจัดบริการเราไม่ได้แย่กว่า คนในชุมชนจะเข้าท้องถิ่นหรือกระทรวงสาธารณสุข
เรามุ่งหวังว่าถ้าทำสำเร็จจะเกิด 1 จังหวัดมี 1 โรงพยาบาลที่สามารถเชื่อมโยงได้หมด เพราะเราใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการดูแลทุกที่ ก็จะแก้เชิงระบบสำคัญคือการพัฒนาคนขึ้นมารองรับ โดยเรามีสถาบันพระบรมราชชนก พัฒนาแพทย์ พยาบาล บุคลากรที่จะมาเป็นทีมดูแลปฐมภูมิให้บรรลุตามเป้าหมาย และเรื่องเทคโนโลยี หากไม่มีหมอไปนั่งในชุมชนก็จะมี Telemedicine เข้าไป ความฝันคือมีโรงพยาบาลเสมือนจริง (Virtual Hospital) ที่อยู่ในชุมชนได้
50 เขต 50 โรงพยาบาลแก้ปัญหาคอขวดสาธารณสุข กทม.
ส่วนความคืบหน้าในการแก้ปัญหาสาธารณสุข กทม. หมอชลน่าน บอกว่า ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาคนที่อาศัยอยู่ใน กทม. ไม่ว่าจะมีภูมิลำเนาอยู่ใน กทม. หรือไม่ หรือเป็นคนที่เคลื่อนย้ายเข้ามาทำงาน มีมากถึง 12 ล้านคน จากทะเบียนบ้าน 5 ล้านคน เมื่อเจ็บป่วย การเข้ารับการรักษาในระดับทุติยภูมิไม่มีสถานบริการรองรับ แม้กทม. มีโรงพยาบาลแห่ง และมีเตียงจำนวนมาก แต่มักเป็นสถานพยาบาลเอกชนหรือเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิซึ่งรองรับผู้ป่วยจากทั่วประเทศ
ดังนั้น ในระยะแรกจะสร้างโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิขนาด 120 เตียง สามารถสร้างใหม่หรือ ต่อเติมของเดิมนำร่องเขตดอนเมือง ซึ่งได้ที่ดินมาแล้ว โดยจะสร้างในรูปแบบองค์การมหาชนเหมือนโรงพยาบาลบ้านแพ้ว แห่งที่สองเป็นองค์การมหาชนภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข แต่มีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ แม้จะอยู่ในสังกัด สธ. แต่ก็บริการดูแลคนใน กทม.ได้ ส่วนเรื่องความไม่คล่องตัว ความลักลั่นการจัดบริการ เราจะแก้ปัญหาด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ
ความฝันหรือทำได้จริง มีแพทย์ประจำ รพ.สต.
แม้บุคลากรสาธารณสุขบางส่วนจะตั้งคำถามถึงแนวคิดเรื่องการมีนายแพทย์ไปประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ว่าจะทำได้อย่างไร เพราะจากปัญหาภาระงานแพทย์และปัญหาขาดแคนบุคลากรทางการแพทย์ในหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถแก้ได้ ขณะที่ รพ.สต. บางแห่งยังไม่มีแม้กระทั่งพยาบาลวิชาชีพประจำหน่วยบริการ
แต่ “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่หวั่นต่อความกังวลเหล่านี้ และยืนยันเดินหน้า ในแนวคิดที่อยากให้มีหมอประจำ รพ.สต. ให้ได้ เขาบอกว่าที่ผ่านมา รพ.สต.ไม่เคยมีแพทย์ประจำอยู่เลย ดังนั้น การยกระดับ รพ.สต. ด้วยการให้มีแพทย์ประจำเพื่อดูแลประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ และได้หารือกับหมอชลน่านแล้วพร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการเติมบุคลากรแพทย์เข้าไปอยู่ใน รพ.สต.ทั้ง 8,500 แห่งทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะต้องมีแพทย์ 2.5 หมื่นคน คอยประจำและหมุนเวียนการทำงานใน รพ.สต. แห่งละ 3 คน
สันติ บอกอีกว่าตั้งเป้าผลิตแพทย์ให้ได้จำนวน 2.5 หมื่นคนในระยะเวลา 12 ปีและจะครอบคลุม รพ.สต.ทั่วประเทศ โดยโครงการดังกล่าวจะใช้งบประมาณราว 1 แสนล้านบาท โดยการผลิตแพทย์ 1 คนต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ปี และต้องใช้เงินประมาณ 4 ล้านบาทต่อคน ฉะนั้นหากจะทำให้ครบตามโครงการก็ต้องใช้เงินประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่ผลที่ได้จะคุ้มค่า
กระทรวงสาธารณสุข จะคัดเลือกเด็กในภูมิลำเนาเพื่อให้มาเรียนแพทย์ เรียนจบแล้วก็กลับไปเป็นแพทย์ประจำ รพ.สต. ในภูมิลำเนาของตัวเอง ซึ่งจะทำให้ รพ.สต. มีแพทย์คอยดูแลรักษา และส่งเสริมป้องกันโรคให้กับคนในท้องถิ่น
“เราอยากให้ลูกหลานแต่ละจังหวัด แสดงความประสงค์เลยว่าอยากเป็นแพทย์เอาคนที่เก่งที่สุด 300-400 คน มาสอบแข่งขันเพื่อไปเรียนแพทย์ ตามจำนวนที่แต่ละจังหวัดต้องการ ประชาชนก็จะได้ลูกหลานของตัวเองมาเป็นหมอประจำในพื้นที่ของตัวเอง”
สันติ
สอดคล้องกับความเห็นของ Policy Forum ที่ต้องการให้มีแพทย์ประจำ รพ.สต. ที่เรียกว่า “หมอครอบครัว” แพทย์กลุ่มนี้จะจบเฉพาะทางในด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งแพทยสภาต้องกำหนดโควต้าในการผลิตแพทย์กลุ่มนี้ขึ้นมาให้ชัดเจน หมอครอบครัว จะเป็นข้อต่อสำคัญที่ทำให้ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ได้อย่างแท้จริง ทำให้ประชาชนพบหมอในหน่วยบริการปฐมภูมิได้ง่ายขึ้น และเมื่อเกินศักยภาพของหน่วยบริการปฐมภูมิ ก็มั่นใจได้ว่าจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่ายที่เชื่อมโยงถึงได้ทันท่วงที
theactive.net
คำสัญญา “หมอชลน่าน” ยกระดับบัตรทองรักษาทุกที่ | The Active
Active นำข้อสังเกต จาก Policy Forumครั้งที่ 1 นโยบายสาธารณสุข ไปถามกับ หมอชลน่าน ในวันแถลงนโยบาย ซึ่งได้คำตอบที่เป็นเหมือนคำสัญญาในการเดินหน้านโยบาย
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย