1 ต.ค. 2023 เวลา 11:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Ep11.1-Quality Investing - 5 บ่อเกิดของการเติบโต ในมุมมองธุรกิจจริง(เชิงคุณภาพ)

ในบทความนี้เราจะมา อธิบาย 5 บ่อเกิด(หรือต้นตอ)ที่เป็นแหล่งที่มาของความสามารถในการเติบโตเพิ่มยอดขาย(และกำไร)ของบริษัทต่าง
[จากหนังสือ] จะแบ่งบ่อเกิดของการเติบโตยอดขายออกเป็น 5 อย่าง:
>> กลุ่มแรก: การเติบโตที่เกิดจากสภาพหรือสภาวะตลาดโดยรวมพามา
แบ่งเป็น 2 อย่าง:
1. การเติบโตยอดขาย ที่เป็นไปตามวัฎจักรเศรษฐกิจ [Growth from Cyclical Market]
2. 2. การเติบยอดขาย ที่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่นำพาไป [Growth from Structural Changes in Market]
>> กลุ่มสอง: การเติบโตที่เกิดจากฝีมือของตัวผู้บริหารบริษัทเอง
แบ่งเป็น 3 อย่าง:
3. การเติบโตยอดขาย ที่มาจาก การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ [Growth from Gaining Market Share]
4. การเติบโตยอดขาย ที่มาจาก การขยายไปภูมิภาคใหม่ [Growth from Geographic Expansion]
5. การเติบโตยอดขาย ที่มาจาก ความสามารถในการสร้างสินค้าบริการที่มีดีไซน์และสร้างสรรค์ + ที่ทำให้เพิ่มราคาขายได้ + ที่ทำให้เพิ่มจำนวนการขายได้
[Growth from Pricing, Mix, Volume of Products]
>>> ✨✨เริ่มการอธิบาย แต่ละหัวข้อ ✨✨<<<
  • 1. การเติบโตยอดขาย ที่เป็นไปตามวัฎจักรเศรษฐกิจ [Growth from Cyclical Market] (หมวดการเติบโตที่มาจากสภาพหรือสภาวะโดยรวมของตลาดนำพามา)
= ทุกๆอย่างในโลกนี้รวมถึงโลกธุรกิจมีความเป็นวัฎจักรทั้งหมด จริงแท้แน่นอน100% เมื่อไหร่ก็ตามที่คนคิดว่า(Quote: Howard Marks - Mastering Market Cycle)
= แต่ว่าการเป้นวัฐจักรที่ขึ้นและลง ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องลงกลับมาที่จุดต่ำเดิมก็ได้นะ มันเป็นวัฐจักรที่สร้างฐานให้ใหญ๋ขึ้นไปได้แบบยกฐานสูงขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆก็ได้ในช่วงจุดต่ำของขาลง
=ซึ่งการเคลื่อนที่ขึ้นและลงจนเป็นวัฐจักรในความหมายก็คือ ตอนช่วงที่มันขึ้นมันขึ้นเกินจุดHappy Medium หรือจุดที่เหมาะสม ณ ช่วงเวลานั้นๆไป (หรือตอนช่วงที่มันลงมันลงไปเลยจุดที่เหมาะสมของช่วงนั้นๆไป)
📌📌📌= [KEY POINT ของการเกิดวัฐจักร] = ตัวการที่ทำให้สิ่งต่างหรือเหตุการณ์ต่างๆมันเกิดการเคลื่อนตัวเป็นวัฐจักรขึ้นและลง ก็คือ "พฤติกรรมของมนุษย์เรา" ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเกิดสิ่งต่างๆหรือการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ต่างๆนั่นเอง
- แล้วทำไม พอมนุกษย์เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆแล้วสิ่งนั้นถึงต้องมีการเคลื่อนตัสวเป็นวัฎจักรด้วย >> คำตอบก็คือ "พฤติกรรมที่มีอารมย์เป็นตัวนำพา ซึ่งมันมักจะไม่สมเหตุสมผลของมนุษย์นั่นเอง" เลยทำให้เหตุการณ์ต่างๆมันOver Reaction จนเลยจุดที่ควรจะเป็น ณ ช่วงนั้นๆ ไปอยู่เสมอๆ
- เลยทำให้ ช่วงที่สิ่งต่างๆมันดีมีเหตุการณ์ดี คนเราก็จะยิ่งแห่คิดว่าสิ่งนั้นมันจะดีขึ้นไปไม่สิ้นสุดจนนำพาให้take-Actionให้เหตุการณ์มันดีขึ้นไปจนล้นOver จุดที่ควรจะเป็นอยู่ตลอดนั่นเอง(ช่วงที่ไม่ดีก็ไอเดียเดียวกัน)
- แล้วสิ่งที่มันเคลื่อนตัวไปอยู๋ในจุดที่มันOverเกินลิมิตไป สุดท้ายมันก็สามารถต้านทานลิมิตของNatureอยู่ได้อาจจะซักพักนึง >> แล้วสุดท้ายมันก็จะต้องวกกลับไปหาจุดที่เหมาะสมที่มันเคลื่อนตัวเลยมาไม่ว่าจะดีเลยหรือแน่เลยไป
(บางสิ่งอาจจะอยู๋ได้พักใหญ่จนคนติดว่าความเป็นวัฎจักรขิงสิ่งนั้นมันหายไปแล้วด้วยก็ได้ ซึ่งนี่คือจุดตายความอันตรายที่ทำให้ คนทั่วไปหลงติดกับไปตายในช่วงจุดพีคและจุดต่ำสุดของรอบวัฎจักรต่างๆในแต่ละรอบนั่นเอง)
- และส่วนใหญ่แล้ว(เกือบทุกครั้ง) เมื่อมันเคลื่อนตัววกกลับจากจุดOverในแต่ละด้าน มนัก็จะเคลื่อนตัวทะลุจุดที่เหมาะสมไปอีกด้านบ่อยๆครั้งไปด้วย (ก็เพราะอารมย์ที่นำพาพฤติกรรมของมนุษย์อีกนั่นแหละ ที่พอพลิกกลับแล้วก็ReactจนOverทะลุไปอีกด้านอีก แทนที่จะหยุดอยู๋ตรงที่มันสมดุลHappy-Mediumแล้วนั่นเอง)
** LoopของProcessการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ ที่มีอารมย์และทัศนคติมาเกี่ยวข้อง **
[เหตุการณ์] >> ทำให้เกิด [อารมย์] >> หล่อหลอมจนเป็น [มุมมอง/ทัศนคติ] >> ผลักดันจากภายในให้แสดงออกมาเป็น [พฤติกรรม] >> สร้างให้เกิด [เหตุการณ์]
- และมันก็จะวนเป็นLoopยังงี้ไปเรื่อยๆ
- เลยเป็นธรรมชาติที่จะเป็น Loopที่ผลักดัน เหตุการณ์/อารมย์/ทัศนคติ/พฤติกรรม ของคนส่วนใหญ่ = ไปทางเดียวกันเสมอโดยธรรมชาติ แบบที่ทุกคนไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนด้วย
>> นี่แหละคือ processและเหตุผลของการเกิดวัฎจักรในสิ่งต่างๆ << 📌📌📌
= กลับมาต่อกันที่หัวข้อหลัก การเติบโตที่มาจากการเป็นไปตามวัฎจักรกันต่อ
- ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกอุตสาหกรรม ทุกวัตถุดิบ ทุกการค้า ทุกเศรษฐกิจ ทุกการซื้อขาย ทุกการบริการ >> ล้วนมีมนุษย์เป็นตัวละครและเป็นผู้ดำเนินการtransactionต่างๆนั้นเอง
- ก็เลยอนุมานได้ว่าเกือบทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายและทุกอุตสาหกรรมล้วนมีผลกระทบจากความเป็นวัฎจักรของสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้อง หรือจากcycleของกลุ่มผู้เล่นที่เกี่ยวข้อง หรือจากความเป็นcycleของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนั้นนั่นเอง
= ก็เลยทำให้ธุรกิจจะได้รับผลจากช่วงขาขึ้นและขาลงจากความเป็นวัฎจักรไปด้วยนั่นเอง
*** ซึ่งอุตสาหกรรมธุรกิจประเภทต่างๆ ด้วยตัวมันเอง บางอย่างก็มีความเป็นวัฎจักรขึ้นและลงด้วยตัวมันเองด้วย ***
- ไม่ว่าจะเป็น อุสาหกรรมที่เป็นวัฎจักรในตัวมันเองอยู่แล้ว เช่น สินค้าHard Commodity และ Soft Commodity พวก เหล็ก ทองแดง น้ำมัน / น้ำตาล ทอง ข้าว เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้
- สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินMoney ก็ล้วนเคลื่อนตัวเป็นวัฐจักร เช่น ดอกเบี้ย ค่าเงิน Bond-Yield ดอกเบี้ยนโยบาย Fundflowไหลเข้าออกจากต่างประเทศ
- สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ Macro-Economic เศรษฐกิจมหภาค ก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปเป็นวัฐจักรขึ้นและลง เช่น ดอกเบี้ย, ค่าเงิน, นโยภายของแต่รัฐบาล, อัตราเงินเฟ้อ, Unemployment Rate, การส่งออก, FDI, ราคาสินค้าเกษตร, อื่นๆ
- การใช้ชีวิตและพลังงานในการทำงานหรือความเก่งของคนเราก็มีความเป็นวัฎจักรจริงแท้แน่นอน = เพราะคนเรามี เกิด แก่ เจ็บ ตาย / มีการเป็นเด็ก วัยรุ่น วัยเรียน วัยเริ่มทำงาน วัย30 วัย40 วัยมีไฟ วัยเริ่มมีภาระครอบครัว วัยเริ่มเจ็บป่วย วัยเริ่มหมดไฟ วัยเริ่มเจ็บ วัยเกษียณ
= ชีวิตทุกคนจะมีLoop วัฎจักรแบบนี้หมด >> ดังนั้นบริษัทก็ถูกกำหนดดำเนินงานด้วยหัวเรือฝ่ายบริหาร Keymanจากในบริษัท ดังนั้น Keymanเหล่านั้นก็มีช่วงวัฎจักร Peak และ Dropของความสามรถและของไฟในตัวตามวัฎจักรอายุชีวิต >> ดังนั้นความสามารถในการแข่งขันของบางบริษัท(หรืออาจะเป็นกับ SMEs และการค้าขนาดเล็กส่วนใหญ่ทั่วประเทศเลยก็ได้) ก็อาจจะมีความรุ่งเรืองและดับไปเป็นCycleตามช่วงชีวิตของผู้นำบริษัทนั้นๆ
*** แต่ถ้าบริษัทไหนที่มีแผนการ Successor Planning ที่ดี ก็อาจจะรับมือกับวัฎจักรนี้ได้ดีกว่าคนอื่นก็ได้
- พฤติกรรมและความชอบของคน ก็มีความเป็นวัฎจักร ดูได้จากเช่น แฟชั่นเสื้อผ้าจริงๆTrendมันก็วนจากชอบของใหม่แล้วก็ๆไปชอบฮิตของเดิมที่รุ่นพ่อแม่เคยฮิตมาก่อนแล้วก็วนกลับมาชอบของแบบนี้อีกในอนาคต (กางเกงขาม้า>>กางเกงขาเดป>>กางเกงขากระบอกเล็ก>>แล้วก็วนกลับมาชอบกางเกงขาบานใหม่) (ทรงผมผู้ชาย แต่ก่อนแสกกลาง >> ทำทรงแหลม >> ทำแสกข้าง >> ปิดหน้าผาก >> ปล่อยยาว >> ตอนนี้2023ก็มาฮิตแสกกลางกันใหม่)
= ดังนั้นธุรกิจที่มีความเป็นแฟชั่น สินค้าจะมีความล้าสมัยตามวัฎจักรจริงแท้แน่นอน บริษัทต้องจับTrendให้ทัน
- ความรุ่งเรืองของธุรกิจต่างๆ ก็มีความเป็นวัฎจักรรุ่งขึ้นและดรอบลงด้วยก็ได้ เช่น ธุรกิจการ์เม้นท์OEMในไทยที่แต่ก่อนรุ่งเรืองมากจากประโยชน์ค่าแรงงานต่ำ และพอวัฐจักรค่าแรงสูงขึ้นก็มากระทบวัฎจักรธุรกิจGarmentให้ดรอบลงสู่จุดต่ำไป / ธุรกิจBank ก็มีROEสูงต่ำตามวัฎจักรดอกเบี้ย รวมไปถึงตามวัฎจักรหนี้เสีย / ธุรกิจNon-Bank ปล่อยกู้ ก็มีROEสู่ต่ำส่วนทางกับวัฎจักรดอกเบี้ย เป็นต้น
** แต่วัฎจักรความรุ่งเรืองของบริษัทนี้ บางธุรกิจอาจจะมีการสร้างฐานที่สูงขึ้นได้ในระหว่างวัฎจักรที่ดำเนินไปก็ได้**
>>> ดังนั้น การที่บริษัทนึงๆ จะมียอดขายและกำไรเติบโตขึ้น (รวมถึงอัตราส่วนการเงินการทำกำไรROE ROA) ในขายของวัฎจักรขาขึ้นในอุตสาหกรรมที่ตัวเองอยู่ = นั่น !!! ก็นับว่าเป็น การเติบโตของบริษํทเหมือนกันนะ !!!
>>> แต่ว่า การเติบโตที่เป็นไปตามวัฎจักร โดยธรรมชาติมัน คือ "ดาบสองคม"
- เพราะว่า มันจะมาทั้งช่วงที่ดีขาขึ้น และ ตามมาด้วยช่วงที่แย่ขาลง(หรืออาจะสลับกันก็ได้) อย่างแน่นอน100%
[แม้ว่าบางครั้งช่วงวัฎจักรมันอาจจะยาวนานเป็นขาขึ้นยาวนานจนคนลืมไปว่ามันไม่มีวัฎจักรแล้วกับอุตสาหกรรมนี้ หรือBsuiness modelใหม่นี้สามารถเอาชนะกฏธรรมชาติของความเป็นวัฎจักรมันได้แล้ว - ซึ่งจริงๆเดี๋ยวรอบของการกลับตัววัฎจักรมันก็จะมาถึงอย่างแน่นอน]
>>> และอีกย่างที่ต้องรู้ ในเรื่องของการเติบโตตามวัฎจักร คือ
= ต้องรู้ว่าแต่ละอุตสาหกรรมนั้น มันมีCharacterของวัฎจักร ที่ต่างกันอย่างไร???
- ช่วงCycleแต่ละขาจะ [ยาวนาน] กินเวลาหลายปี
- ช่วงCycleแต่ละขาจะ [สั้น] และ กลับตัวไปมา [ถี่] **มาเร็วไปเร็ว**
- ช่วงCycleแต่ละขาจะ [ขึ้นสูงมาก] หรือ [ลงลึกมาก]
- จะมีการยกฐานสูงขึ้น ในแต่ละรอบขาลงของCycle
- ขาขึ้นค่อยๆขึ้นใช้เวลายาว แต่ขาลงจะลงลึงและลงเร็ว
- หรือแบบอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น
- ธุรกิจน้ำมัน วัฎจักรมักจะ [ยาวนาน]
- ธุรกิจสินค้าเกษตร วัฎจักมักจะ [ลงลึก ทั้งผลประกอบการบริษัทและราคาสินค้า]
- ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค FMCG วัฎจักรนั้น [สั้น และ เกิดถี่ >> มาเร็วไปเร็ว]
- ธุรกิจทำช่องทางการขายหรือร้านค้าปลีก มักจะมี [การยกฐานสูงในแต่ละช่วงขาลงของวัฎจักร รวมถึง การยกยอดสูงขึ้นในแต่ละช่วงของขาขึ้นของวัฎจักร]
- วัฐจักรหนี้เสีย ขาที่ดีขึ้นจะค่อยๆดีขึ้นใช้เวลายาว แต่ขาแย่ลงจะแย่ลงลึงแรงและแย่เร็ว
>>> ดังนั้น เราอาจจะพูดได้กลายๆว่า "การเติบโตตามวัฎจักรเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มีการสร้างฐานเพิ่มจากความสามารถของบริษัทเองด้วย ในช่วงระหว่างขาขึ้นของวัฎจักร" = นั่นอาจจะ [ไม่ใช่การเติบโตที่สร้างฐานที่แท้จริง]
- เพราะว่าถ้าพอวัฎจักรมันกลับตัวเป็นขาลงหลังจากขาขึ้นมา3ปี บริษัทก็จะกลับไปมีรายได้และกำไรที่เดิมเท่าเมื่อ3ปีก่อนเลย
(และพอกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่อาจะทำให้จุดพีคสูงขึ้นกว่าเดิมได้ด้วยนั่นเอง)
>>> [KEYการเติบโตที่แท้จริง ที่ใช้ประโยชน์จากขาขึ้นของวัฎจักรเศรษฐกิจ]
บริษัทต้องสร้างการเติบโตจากความสามารถตัวเองทั้ง3อย่างไปด้วย (ที่จะพูดถึงในข้อ 3 4 5) ระหว่างที่เติบโตไปกับวัฎจักรเศรษฐกิจรอบนั้นๆ
= จะถือว่าเป็นบริษัทที่มีการ"เติบโตอย่างแท้จริง"
- เมื่อถึงคราวขาลงของวัฎจักรเศรษฐกิจ ฐานก็มีโอกาสจะยกสูงขึ้นได้จากการที่สร้างฐานการเติบโตที่แท้จริงไว้ในช่วงขาขึ้นก่อนหน้านี้นั่นเอง
- ถ้าบริษัทไหนทำได้ พอกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ก็มีโอกาสจะเห็นการเติบโตที่สูงกว่าจุดHighเดิมของขาขึ้นรอบก่อนได้ด้วย
>>> 📢📢[KEY ที่ต้องระวัง ในการเล่นกับการเติบโตจามวัฎจักรเศรษฐกิจ]📣📣
= หลายๆครั้ง ปัจจัยหรือเหตุการณ์หรือเหตุผลที่ทำให้เกิดการกลับตัวของขาขึ้น(หรือขาลง)ของวัฎจักร [มันคาดการณ์ไม่ได้ นั่นเอง]
ตัวอย่างเช่น
- บางครั้งการกลับตัวเกิดจากตัววัฎจักรมันเองที่ไปOverสูงเกินหรือต่ำเกินนั่นแหละ ทำให้มันเกิดเหตุการณ์และพฤติกรรมให้วัฎจักรตัวมันเองเกิดการกลับตัวไปอีกฝั่งได้
- บางครั้งการกลับตัวของวัฎจักรA ก็กลับเกิดจากอิทธฺพลที่มากจาวัฎจักรB+วัฎจักรC ที่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องLinkกันมากระทบนั่นเอง
- บางครั้งการกลับตัวของวัฎจักร ก็เกิดจาก Interventionหรือการสั่งบังคับ จากผู้มีอำนาจหรือผู้มีอิทธิพลต่อวัฐจักรสิ่งนั้นก็ได้
** แต่สุดท้าย นักลงทุน ก็ต้องพยายามหาวิธีรับมือ เลือกรับความเสี่่ยง เลือกลดความเสี่ยงกับความคาดการณ์ไม่ได้หรือคาดการณ์ยากอันนี้ให้ได้ดีและมีหลักการสมเหตุสมผล ณ ช่วงเวลานึงๆให้ได้นั่นเอง
[ยิ่ง ณ จุดพีคสูง หรือ จุดต่ำสุด ยิ่งต้องพยายามคงตัวให้ตัดสินใจอย่างไม่อารมย์พาไปให้ดีที่สุด]
>>> 🛡🛡ดังนั้นแล้วในฐานะนักลงทุน เราจะมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อเลือกลงุทนในหุ้น เพื่อที่จะรับมือกับ "ดาบสองคม" ของการเติบโตจากวัฎจักรเศรษฐกิจให้ได้ 2 แบบ🛡🛡:
1. หาบริษัทที่มีความสามารถในการทำผลกำไรบริษัทให้เติบโตได้ทุกช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจ
(อาจจะไม่ต้องโตต่อเนื่องทุกไตรมาตรก็ได้ แต่มีความสามารถที่จะเติบโตทำอย่างนั้นได้อยู่แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจมันกำลังอยู่ในช่วงวัฎจักรขาลงก็ตาม
**ส่วนจะสำเร็จทุกรอบรึเปล่านั้นอีกเรื่องนึง - KEYคือ บริษัทมีความสามารถในการทำสิ่งนี้อยู่นั่เอง**)
= ก็คือหาบริษัทที่สามารถ "สร้างการเติบโตที่แท้จริง" ให้ได้นั่นแหละ
>> ซึ่งความสามารในการจะสร้างการเติบโตให้ได้ในทุกช่วงวัฎจักนั้น
ก็จะมาจาก 3 การเติบโตที่มาจากความสามารถของบริษัทเองล้วนๆนั่นเอง
(ที่จะพูดถึงต่อๆไป)
- ข้อ3 การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ [Growth from Gaining Market Share]
- ข้อ4 การขยายไปภูมิภาคใหม่ [Growth from Geographic Expansion]
- ข้อ5 ความสามารถในการสร้างสินค้าบริการที่มีดีไซน์และสร้างสรรค์ + ที่ทำให้เพิ่มราคาขายได้ + ที่ทำให้เพิ่มจำนวนการขายได้
[Growth from Pricing, Mix, Volume of Products]
2. นักลงทุนต้องพยายามเข้าใจวัฎจักรของสิ่งต่างๆที่บริษัทนึงๆนั้นต้องเจอ
- และนักลงทุนก็พยายามจับจังหวะเพื่อปรับพอร์ตลดความเสี่ยงให้ได้ทันในช่วงขาลง
- และนักลงทุนก็ต้องจับจังหวะเข้ารับความเสี่ยงเพิ่มให้ได้ประโยชน์ในช่วงขาขึ้นของวัฎจักรด้วยนั่นเอง
[คือ การจับจังหวะชีพจรตลาดวัฎจักรให้ได้นั่นเอง]
>>>📣📣 แล้วการเติบโตรายได้และกำไรตามวัฎจักรเศรษฐกิจนี้ มันจะไปcแสดงผลออกมาเป็นตัวเลข เทียบกับการเติบโตในมุมมองตัวเลขทั้ง 2 แบบ(ที่พูดถึงในEp10) ยังไงหละ??? 📣📣
[คำตอบ] = จะแสดงออกในกาเติบโตเชิงตัวเลข ได้ทั้ง 2 แบบเลย คือ
🎉1. การเติบโตจาก ประสิทธิภาพการทำกำไรROE ของ Operationเดิมสูงขึ้น - จากรายได้ที่มากขึ้น 🎉
- จากรายได้ที่มากขึ้น เพราะขายได้ราคาสูงขึ้น ในช่วงที่วัฎจักรของอุตสาหกรรมนั้นเป้นขาขึ้น (โตจาก Price)
- จากรายได้ที่มากขึ้น เพราะขายของได้จำนวนมากขึ้นด้วย ในช่วงที่วัฎจักรของอุตสาหกรรมนั้นเป็นขาขึ้น (โตจาก Quantity)
= Revenue รายได้มากขึ้น >> ROEของOperationเดิมเลยสูงขึ้น
>> แล้วก็จะมาแยกแยะ 3 องค์ประกอบของROE ให้ดูต่อว่ามันมีผลยังไงแบบลงลึกขึ้น
= Asset Turnover[Rev/Asset] จะสูงขึ้น - เพราะยอดขายได้มากขึ้นจากส่วนOperationฐานเก่า
= %NPM[Net profit/Rev] จะสูงขึ้น - เพราะช่วงขาขึ้นวัฎจักรส่วนใหญ่ราคาขายจะสูงขึ้นทำให้ได้Gross Margin% สูงขึ้น เลย%NPMก็สูงขึ้นตาม
= Financial Leverage(A/E) ที่มาจากการเพิ่มLiabilityเพื่อเพิ่มNet Working Cap. ก็จะสูงขึ้น - เพราะพอขายได้มากขึ้นก็จะต้องสต็อกสินค้ามากขึ้นและบางทีปล่อยเครดิตลูกค้าวงเงินสูงขึ้น บริษัทก็จะต้องข้อเครดิตSupplierมาเพิ่มได้แบบไ่มมีต้นทุนดอกเบี้ย หรือว่าจะกู้ระยะสั้นมาใช้กับเงินทุนหมุนเวียนที่มากขึ้นก็ได้ เพื่อรับกับยอดขายที่มากขึ้น
- ซึ่งก็มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นทั้งหมดและเป้นส่วนหนึ่งที่ซัพพอตการสร้างรายได้ที่มากขึ้นกับกำไรที่มากขึ้น ในช่วงขาขึ้นของวัจักรนี้ จากส่วนOperationฐานเก่านั่นเอง
🎉2. การเติบโตจาก การลงทุนเพิ่มเพื่อขยายฐานธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น
(สร้างOperationส่วนใหม่เพิ่มขึ้นมา) 🎉
- เพื่อไปจับกับโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากขึ้นจากขาขึ้นของวัฎจักร = เปลี่ยนให้โอกาสนั้นกลายเป็นรายได้ที่เพิ่มจริงขึ้นมาได้นั่นเอง
📌ตัวนี้แหละที่เป็น KEYในเชิงตัวเลขที่ จะProveในเชิงตัวเลขให้เห็นว่า บริษัทได้สร้างการเติบโตที่แท้จริงขึ้นเรื่อยๆรึเปล่า ในขณะที่ได้ประโยชน์จากจาขึ้นของวัฐจักรอุตสาหกรรมอยู่นั่นเอง📌
- ซึ่งหัวข้อนี้มันคือการสร้างฐานEquity และฐานAsset ให้สูงขึ้น
- และ EquityหรือAssetที่สูงขึ้นนั้นก็เอาไปสร้างกำไรในประสิทธิภาพที่เท่าเดิมด้วย (ก็คือROEส่วนธุรกิจขยาย ก็ยังเท่าเดิมได้อยู่) ระหว่างช่วงขาขึ่นของวัฎจักรนั่นเอง
- ก็จะทำให้การเติบโตของ กำไรสุทธิรวม กบั กำไรต่อหุ้นEPS เพิ่มเร็วขึ้นไปอีก (เพิ่มเร็วกว่าการแค่ให้Operationฐานเก่าทำROEสูงขึ้นอย่างเดียว โดยที่ไม่สร้างฐานทัพใหม่เพิ่มนั่นเอง)
= ก็คือการที่ไม่ปันผลกำไรที่ทำได้แต่ละปีออกจากบริษัท แต่เอากลับมาReinvestกลับเข้าBookValueบริษัท - แล้วก็เอาเงินนั้นนั้นแหละมาใช้ลงมุนขยาOperationส่วนใหม่เพิ่มเพื่อกอบโกยDemandที่สูงๆในช่วงขาขึ้นของอุตสาหกรรมให้ได้มากขึ้นไปอีกนั่นเอง
>> ก็จะทำให้
- ฐานEquity สูงขึ้นทุกปี = จากการไม่ปันผลออกไป แต่เก็บมาไว้ขยายฐานOperationของบริษัทเพิ่ม
** พอEquity(และ Assetมากขึ้น) >> ก็มีฐานทุนและฐานInfraมาใช้สร้างการขายจำนวนที่มากขึ้นกว่าเดิมได้ กลายเป็นรายได้ส่วนเพิ่มที่มากขึ้นนั่นเอง **
- รายได้Revenue รวมมากขึ้น - จากขายได้จำนวนที่มากขึ้น (Quantity มากขึ้น)
= เพราะมีการสร้างฐานOperationใหม่ขึ้นมาจากEquityและAssetที่มากขึ้น
[เรื่องการสร้างฐานใหม่เพิ่ม เน้นเรื่องการสร้าง จำนวนQuantity การขายที่มากขึ้นเป็นหลัก - เพราะQuantityมันจะถูกลิมิตด้วยโครงสร้างฐานทุนและฐานInfrastructureนั่นแหละ]
📢📢 [สรุปแล้ว การเติบโตจากการลงทุนสร้างฐานเพิ่มนั้น] 📢📢
= จะเป้นการแสดงการเติบโตของบริษัทในรูป = ตัวเลขฐานเงินทุนของผู้ถือหุ้นในบริษัท Equity ที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
- ซึ่งฐานEquityที่สูงขึ้นนั้น ก็จะไปคูณกับอัตราการทำกำไร ROEรวมของบริษัทที่จะสูงกว่าปกติในช่วงขาขึ้นของวัฎจักรด้วยนั่นเอง (ฏ็ยิ่งกำไรเพิ่มขึ้นไปกว่าOperationฐานเก่าอีก)
= แล้วก็ถ้าลงทุนสร้างฐานOperationใหม่นี้ ไปใช้เงินกู้เพิ่มอีก ไปเบ่งอยากโตเร็วขึ้นอีกมากกว่าแค่ฐานทุนEquity
- Financial Leverage [A/Eq] ก็จะสูงขึ้น **แต่สูงจากการใช้Liabilityที่เป็นเงินกู้ยืมมีดอกเบี้ย มาสร้างLT-Asset หรือ Infraฐานสว่นเพิ่มเพื่อซํพพอตการขายจำนวน(Quantity)ให้มาขึ้นแบบกาวกระโดนั้นเอง
- แต่อันนี้ก็จะมีส่วนนึงไปเพิ่ม NEt Working cap.ด้วยเหมือกัน (แต่จะมีLT-Assetเป็นหลักด้วย)
[ไม่ใช่ FL ที่เพิ่มขึ้นเพราะเอาไปเพิ่ม Net Working CAP. อย่างเดียวแบบแรก]
>> ก็กลายเป็น Financial Leverage ของ บริษัทรวมสูงขึ้น >> ทำให้ ROEเฉลี่ยของทั้งบริษัทสูงขึ้นนั่นเอง (ก็จะยิ่งทำกำไรได้สูงขึ้นไปกว่าเดิมอีก ที่ฐานEquityเท่ากัน)📢📢
จบแล้วกับ บ่อเกิดของการเติบโตรายได้และกำไรของบริษัท
แล้วEPต่อไปเราจะไปพูดกันถึง บ่อเกิดของการเติบโตในอีก 4 อย่างต่อไป
[จากหนังสือ] จะแบ่งบ่อเกิดของการเติบโตยอดขายออกเป็น 5 อย่าง:
>> กลุ่มแรก: การเติบโตที่เกิดจากสภาพหรือสภาวะตลาดโดยรวมพามา
แบ่งเป็น 2 อย่าง:
1. การเติบโตยอดขาย ที่เป็นไปตามวัฎจักรเศรษฐกิจ [Growth from Cyclical Market]
2. 2. การเติบยอดขาย ที่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่นำพาไป [Growth from Structural Changes in Market]
>> กลุ่มสอง: การเติบโตที่เกิดจากฝีมือของตัวผู้บริหารบริษัทเอง
แบ่งเป็น 3 อย่าง:
3. การเติบโตยอดขาย ที่มาจาก การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ [Growth from Gaining Market Share]
4. การเติบโตยอดขาย ที่มาจาก การขยายไปภูมิภาคใหม่ [Growth from Geographic Expansion]
5. การเติบโตยอดขาย ที่มาจาก ความสามารถในการสร้างสินค้าบริการที่มีดีไซน์และสร้างสรรค์ + ที่ทำให้เพิ่มราคาขายได้ + ที่ทำให้เพิ่มจำนวนการขายได้
[Growth from Pricing, Mix, Volume of Products]
CR. 5บ่อการเติบโต จากหนังสือ Quality Investing
+ ขยายความเพิ่มจากแอดมิน
โฆษณา