Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
11 ต.ค. 2023 เวลา 07:06 • ประวัติศาสตร์
“ฟรานซิส อาร์เซนทิฟ (Francys Aresntiev)” เจ้าหญิงนิทราแห่งยอดเขาเอเวอเรสต์
22 พฤษภาคม ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) “ฟรานซิส อาร์เซนทิฟ (Francys Aresntiev)” ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นหญิงชาวอเมริกันคนแรกที่ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดของยอดเขาเอเวอเรสต์โดยไม่มีเครื่องอ๊อกซิเจนสำรอง
หากแต่ความสำเร็จของฟรานซิสก็อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) ฟรานซิสก็ได้เสียชีวิตขณะเดินทางกลับลงมา และเป็นที่รู้จักในนามของ “เจ้าหญิงนิทราแห่งเอเวอเรสต์ (Sleeping Beauty of Mount Everest)”
เป็นเวลากว่าเก้าปีที่ศพของฟรานซิสนอนนิ่งอยู่ในบริเวณที่เธอเสียชีวิต และในปีค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) จึงจะมีการฝังร่างของเธอ
ฟรานซิส อาร์เซนทิฟ (Francys Aresntiev)
เรื่องราวของฟรานซิสต้องย้อนกลับไปในคืนหนึ่งของปีค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) ลูกชายวัย 11 ขวบของฟรานซิสได้สะดุ้งตื่นกลางดึกเนื่องจากฝันร้าย
ในฝันนั้น ลูกชายของฟรานซิสเห็นนักปีนเขาสองรายกำลังติดอยู่บนเขา ติดอยู่กลางพายุหิมะที่หนาวเหน็บ
ลูกชายของฟรานซิสสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายและรีบเรียกหาผู้เป็นแม่ทันที โดยเขาเชื่อว่าฝันนี้เป็นลางบอกเหตุ เพราะแม่ของตนก็กำลังจะไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ในวันต่อมา
ฟรานซิสปลอบลูก แต่ก็ยังยืนยันว่าเธอต้องไป
หากพิจารณาจากปัจจัยหลายๆ ด้าน อาจจะคิดว่าฟรานซิส หญิงชาวอเมริกันวัย 40 ปีนั้นไม่น่าจะทำได้ เนื่องจากเธอก็ไม่ใช่นักปีนเขามืออาชีพ และไม่ใช่ผู้ที่หลงใหลการผจญภัย
แต่บังเอิญว่าฟรานซิสนั้นแต่งงานกับ “เซอร์เก อาร์เซนทิฟ (Sergei Arsentiev)” ผู้ได้รับฉายาว่า “เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)” เนื่องจากเขาได้พิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในรัสเซียได้ถึงห้าแห่ง
1
สองสามีภรรยาตัดสินใจที่จะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์โดยไม่มีอ๊อกซิเจนสำรอง
ยอกเขาเอเวอเรสต์นั้นเป็นสิ่งที่ช่วยเตือนใจไม่ให้เหล่านักปีนเขาประมาทเกินไป อย่าดูถูกพลังของธรรมชาติ และก็ไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะช่วยคนที่ติดอยู่บนที่สูงกว่า 29,000 ฟุต และมีอุณหภูมิติดลบอย่างหนักได้
2
ฟรานซิสและเซอร์เก
ตลอดเส้นทางของเอเวอเรสต์นั้นมีศพนักปีนเขานอนอยู่จำนวนมาก เหมือนเป็นสัญลักษณ์คอยเตือนให้เหล่านักปีนเขาระวัง โดยศพเหล่านี้นั้นไม่ได้รับการกู้ลงมาเนื่องจากสภาพของพื้นที่และอากาศที่อันตรายเกินไป
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) ฟรานซิสและเซอร์เกได้เดินทางขึ้นเขาเอเวอเรสต์ และถึงแม้ว่าทั้งคู่จะสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ได้โดยไม่ต้องพึ่งอ๊อกซิเจนสำรอง แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถกลับลงมาได้
ด้วยความที่ไม่มีอ๊อกซิเจนสำรอง ฟรานซิสและเซอร์เกจึงต้องเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปเหนือระดับความสูง 20,000 ฟุต และด้วยความที่ทั้งคู่อยู่บนยอดความสูงที่อันตรายมากและมีอ๊อกซิเจนเพียงเล็กน้อย ทั้งคู่จึงมีอาการอ่อนเพลียอย่างหนัก
แต่ถึงอย่างนั้น วันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) ทั้งคู่ก็สามารถขึ้นไปถึงยอดเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ แต่ขณะที่กำลังจะกลับลงมา ฟรานซิสกับเซอร์เกก็ได้พลัดหลงกันในความมืดของยามค่ำคืน ทำให้ฟรานซิสนั้นต้องหลงอยู่คนเดียวใกล้กับยอดของเอเวอเรสต์
1
ในเวลานั้น มีคู่นักปีนเขาอีกคู่หนึ่งได้ผ่านขึ้นมา นั่นคือ “เอียน วูดออลล์ (Ian Woodall)” และ “เคที โอดาวด์ (Cathy O’Dowd)” ซึ่งกำลังจะขึ้นไปยอดเขาเอเวอเรสต์เช่นกัน
วูดออล์และโอดาวด์ต่างตกใจที่พบร่างของฟรานซิสในชุดเสื้อกันหนาวสีม่วง นอนไม่ได้สติ
ทั้งคู่เข้าไปตรวจดูร่างของฟรานซิส และพบว่าฟรานซิสยังมีลมหายใจ
สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตกใจเพิ่มขึ้นก็คือ ทั้งคู่เพิ่งพบกับฟรานซิสเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากทั้งคู่ได้เคยร่วมเต๊นท์ดื่มชากับฟรานซิสที่ฐาน ได้พูดคุยกันมาบ้างแล้ว
ร่างของฟรานซิส
ในเวลานั้น ฟรานซิสมีอาการเพ้อ เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่า “อย่าทิ้งฉันไป” “ทำไมคุณถึงทำกับฉันอย่างนี้” “ฉันเป็นชาวอเมริกัน” พูดซ้ำไปซ้ำมาราวกับเทปเล่นซ้ำ
ในเวลานั้นฟรานซิสได้ถูกน้ำแข็งกัด ทำให้ผิวเป็นจ้ำแดงๆ และผิวก็ขาวซีดและแข็ง มีลักษณะเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง และทั้งวูดอลล์และโอดาวด์ก็คิดว่าฟรานซิสนั้นดูเหมือน “เจ้าหญิงนิทรา” ซึ่งจะเป็นชื่อที่สื่อใช้เรียกฟรานซิสในเวลาต่อมา
แต่ถึงจะอยากช่วยเหลือฟรานซิสแค่ไหน แต่ด้วยสภาพการณ์ตอนนั้น ทั้งวูดอลล์และโอดาวด์จึงไม่สามารถช่วยเหลือฟรานซิสได้ ต้องทิ้งเธอให้นอนอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นทั้งคู่อาจจะต้องกลายเป็นศพต่อไป
ร่างของฟรานซิสที่ห่อหุ้มด้วยธงชาติอเมริกัน
ในทุกวันนี้ เรื่องราวของ “เจ้าหญิงนิทราแห่งเอเวอเรสต์ (Sleeping Beauty of Mount Everest)” ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องราวของเหยื่อที่น่าหลอกหลอนที่สุดบนยอดเขาเอเวอเรสต์
1
มีการพบศพเซอร์เกในปีต่อมา ก่อนที่ในปีค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) วูดอลล์ซึ่งถูกความรู้สึกผิดที่ทอดทิ้งฟรานซิสกัดกินใจมาตลอด ก็ได้ตัดสินใจนำทีมขึ้นไปตามหาศพของฟรานซิสเพื่อทำการฝัง ซึ่งทีมของวูดอลล์ก็พบศพของฟรานซิส และได้ทำการห่อหุ้มร่างของเธอด้วยธงชาติอเมริกัน และย้ายร่างของฟรานซิสไปยังที่ที่จะไม่มีใครรบกวนเธอได้
References:
https://allthatsinteresting.com/francys-arsentiev
https://www.tranquilkilimanjaro.com/francys-arsentiev-the-sleeping-beauty-of-mount-everest/
https://www.swotahtravel.com/blogs/Sleeping-beauty-of-mount-everest
https://haydenrue.com/trekking/francys-arsentiev-sleeping-beauty-mount-everest/
ประวัติศาสตร์
4 บันทึก
26
1
8
4
26
1
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย