13 ต.ค. 2023 เวลา 21:08 • ปรัชญา

กลไกป้องกันทางจิต (Defense Mechanism)

คำว่ากลไกป้องกันทางจิต เป็นคำศัพท์ในทางจิตวิทยา ซึ่งหมายถึงวิธีการตอบสนองทางด้านจิตใจที่มนุษย์มักใช้ในการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ อาจเป็นการเพื่อลดความวิตกกังวล ลดความรู้สึกผิด ความกลัว ความไม่แน่นอน หรือความขัดแย้งภายในจิตใจ เพื่อความอยู่รอด ซึ่งคนเรามีการใช้กลไกเหล่านี้กันอยู่เป็นประจำทุกวันและเกือบทุกสถานการณ์ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ซึ่งกลไกป้องกันทางจิตนี้มีทั้งการนำมาใช้ในด้านบวกและด้านลบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ สถานการณ์ และสิ่งที่มากระทบภายในใจของตนเอง โดยขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลว่าจะตอบสนองในลักษณะที่เป็นบวกหรือเป็นลบ ผู้เขียนจึงมาแนะนำให้รู้จักกลไกป้องกันทางจิตบางส่วนที่คนเรามักนำมาใช้กันอยู่บ่อยๆ
การเก็บกด (Repression)
คือ —->> การเก็บความรู้สึกผิดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เนื่องจากอาจเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่ตัวเราพยายามอยากจะลืม จึงกดทับมันไว้ ไม่ยอมรับความจริง และพยายามทำให้ตัวเองลืมมันไปในที่สุด
ยกตัวอย่าง —->> การโดนเพื่อนล้อ อย่างชื่อของตัวเอง หรือตั้งฉายาที่ทำให้เราเสียเซล์ฟ จึงเก็บมันไว้ตั้งแต่เด็ก และเปลี่ยนชื่อของตัวเองไป เพื่อลบชื่อเก่าของตัวเองไม่ให้มาทำให้คับข้องใจ แต่ถ้าดันมีคนเรียกชื่อหรือฉายาตอนเด็กนั้น เราก็อาจจะไม่ชอบ ไม่ยอมรับความจริง
การโทษตัวเอง (Introjection)
คือ —->> การยกเอาคำพูด การกระทำของคนอื่น หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ มาไว้กับตัวเองให้ขุ่นข้องหมองใจ เก็บมาจำมาใส่ใจ และโทษตัวเอง อาจโดนปั่นหัว (Gaslighting) จนทำให้เราเชื่อว่าเราเป็นคนผิด หรือทำให้รู้สึกด้อยค่า
ยกตัวอย่าง —->> การทำงานใหม่ๆยังไม่มีประสบการณ์ ก็อาจจะโดนปัญหาสารพัด ทั้งนินทา ไม่ให้เกียรติ สบประมาทการทำงานของเรา จนทำให้เราเกิดความท้อใจ ทั้งๆที่เราก็พยายามทำเต็มที่ และทำตามที่พี่ๆสอนทุกอย่าง เพราะใหมๆก็มักจะโดนเพ่งเล็งหน่อยๆในช่วงแรกๆ ก็อาจทำให้ตัวเองรู้สึกขาดความมั่นใจ โทษตัวเอง และประเมินตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งๆที่อาจจะไม่ได้มีอะไรที่พวกเขาพูดถูกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
การกล่าวโทษผู้อื่น (Projection)
คือ —->> ทั้งๆที่บางเรื่องเป็นความผิดของตนเอง แต่ไปกล่าวโทษผู้อื่น เพื่อทำให้ตัวเองสบายใจ และปัดความรับผิดชอบไปให้บุคคลอื่น
ยกตัวอย่าง —->> การที่คนอื่นโทษว่าเราไม่คุยกับเขา ทั้งๆที่พวกเขาก็ไม่ได้คุยกับเรา หรือรุ่นพี่ในที่ทำงานไม่สอนงานแล้วมาโทษเด็กว่าทำงานไม่ดีไม่มีความรับผิดชอบ ทั้งๆที่เด็กเองก็อยากจะเรียนรู้งานให้เต็มที่
การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation)
คือ —->> การที่บางทีเราอยากจะแสดงอารมณ์ออกมาให้ตรงกับความตั้งใจภายในของตนเอง หรือเรียกได้ว่าการเป็นตัวของตัวเอง แต่เราดันเก็บอารมณ์หรือความปรารถนาที่แท้จริงของเราเอาไว้ มีการยับยั้งชั่งใจ การควบคุมตัวเองทั้งทางด้านกายภาพ และ อารมณ์ เพื่อไม่ให้เกิดผลด้านลบแก่ตัวเองตามมา อันเนื่องมาจากการคำนึงถึงบรรทัดฐาน ศีลธรรมของสังคม เพื่อไม่ให้เป็นที่นินทา วิพาษ์วิจารณ์
ยกตัวอย่าง —->> การที่ผู้ชายมีภรรยาของตนเองอยู่แล้ว แต่มีความรู้สึกชอบและเหลียวมองผู้หญิงอื่น ในใจอยากทำความรู้จักสนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้น แต่ต้องหักห้ามใจ และยึดถือตามบรรทัดฐานของสังคมไทยที่ต้องมีผัวเดียวเมียเดียว
การชดเชย (Compensation)
คือ —->> การสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมา ทำให้ตัวเองมีปมเด่นกลบปมด้อย โดยการชดเชยนี้อาจเป็นได้ทั้งทางบวกและทางลบ ขึ้นอยู่กับวิธีการของปัจเจกบุคคล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยอมรับนับถือในตนเอง
ยกตัวอย่าง —->> คนจนพยายามตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ดีและประสบความสำเร็จในอนาคต หรือ คนอ้วน ไม่สวยไม่หล่อ โดนล้อ โดนแฟนทิ้ง จึงหันมาลดความอ้วน เพื่อให้ตัวเองหล่อสวยดูดีมากขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้พบได้เจอสิ่งๆดี และคนดีๆ
การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง (Rationalization)
คือ —->> การสร้างข้อแก้ตัวหรือแก้ต่าง หาข้ออ้างและเหตุผลเข้าข้างตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวเองดูเป็นฝ่ายผิด หรือมองว่าตนเป็นคนไม่ดี เพื่อแสวงหาการยอมรับจากสังคม
ยกตัวอย่าง —->> การที่เพื่อนๆแกล้งเราแรงๆ แล้วเราโกรธ แต่เพื่อนมาบอกว่าแค่เล่นๆสนุกๆ อย่าคิดมาก บางอย่างก็ไม่ได้ทันคิดหรือตั้งใจทำ เราแค่เป็นคนเฟรนลี่ แต่คนที่โดนแกล้งอาจจะไม่รู้สึกสนุกกด้วย คนที่แกล้งจะรู้สึกเหนือกว่าเรา แต่คนที่โดนแกล้งกลับกลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจ โทษตัวเองในทุกๆเรื่องเสมอ และด้อยค่าตนเอง และสังคมกลับมองคนที่เหนือกว่าว่าดีกว่า เก่งกว่า ก็เป็นได้
การยอมรับ (Acceptance)
คือ —->> การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวเอง ว่าสิ่งนั้นเราเป็นคนทำผิด หรือยอมรับในสิ่งที่เราเป็นจริงๆ
ยกตัวอย่าง —->> ดาราที่สมัยเด็กอาจจะเคยบูลลี่เพื่อนในห้องของเขาด้วยความสนุก พอโตมาเป็นดาราที่หลายคนรู้จัก ทำให้อาจมีคนมาสกัดดาวรุ่ง โดยการขุดอดีตของเขา แล้วทำให้คนที่ติดตามผลงานมารู้ว่าเขาเคยเป็นเด็กไม่ดีมาก่อน ก็ต้องทำใจยอมรับความผิดของตัวเอง เสียฐานแฟนคลับ และยอมรับสภาพว่าอาจจะมีคนจ้างน้อยลง และเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน พร้อมกับหาลู่ทางพัฒนาตัวเองต่อไป
การเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison)
คือ —->> การเปรียบเทียบตัวเองกับบุคคลอื่น อาจเปรียบเทียบกับบุคคลที่ต่ำกว่า หรือสูงกว่า เพื่อลดความเครียด ความไม่สบายใจ ความวิตกกังวลใจ โดยที่การเปรียบเทียบอาจผันไปเป็นได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ ขึ้นอยู่กับทัศนคติ และความคิดของตัวเอง
ยกตัวอย่าง —->> การที่เราไม่สบาย แต่ยังมีที่บ้าน หรือคนใกล้ตัวคอยซัพพอร์ท คอยดููแล ในขณะที่ไปเปรียบเทียบกับบางคน เขากลับต้องดูแลตัวเอง อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีคนข้างๆช่วยเหลือ ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าก็ยังมีคนที่แย่กว่าเราในบางมุม
อีกตัวอย่าง อาจเป็นการที่เราจบมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ติดท็อปเท็นของประเทศ เราก็อาจจะไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ติดมหาวิทยาลัยดีๆ แล้วเกิดการตำหนิตนเอง ทั้งอิจฉา และไม่พึงพอใจในตนเอง
ตัวอย่างข้างต้นเป็นกลไกป้องกันทางจิตบางส่วนที่คนเรามักใช้กันอยู่บ่อยๆ แต่ตัวผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านพึงเข้าใจว่าการจะนำกลไกเหล่านี้มาใช้นั้นต้องยู่ในขอบเขตที่ถูกต้อง และไม่ควรนำไปใช้หาผลประโยชน์ด้วยวิธีการทางจิตวิทยาที่ไม่ถูกต้อง ทางที่ดีควรใช้ให้พอเหมาะพอควร และใช้ในสถานการณที่เหมาะสมอย่างไม่พร่ำเพรื่อ ก็จะส่งผลดีต่อตัวเอง และผู้อื่นมากกว่า เพราะบางอย่างก็เป็นจิตวิทยามืดที่ไม่ควรนำมาใช้ผิดๆ ถ้ายังไม่เข้าใจมันดีพอ
ถ้าเป็นไปได้ให้เราลองหาวิธีการทางจิตวิทยาด้านบวกมาใช้แก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือความคับข้องใจของตัวเองในทางที่สร้างสรรค์ให้ติดเป็นนิสัยจะดีกว่า และการรู้วิธีการแก้ไขปัญหา หรือใจของตัวเองได้ดี จะทำให้เราพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาได้ดียิ่งขึ้น
หัดใช้ให้เป็น ฝึกใจตนเอง นั่งสมาธิ หันไปพัฒนาตนเอง และรับรู้เป้าหมายของตนเอง ไม่เก็บสิ่งที่มารบกวนจิตใจของเราให้ไขว้เขว ดำเนินชีวิตของเราต่อไปให้ถึงจุดหมายด้วยสติ ความสุข ความเข้าใจชีวิต และเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราด้วยใจที่เป็นกลาง อาจช้าบ้างเร็วบ้าง ผู้เขียนเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ
1
เว็บไซต์อ้างอิง :
โฆษณา