18 ต.ค. 2023 เวลา 11:51 • สุขภาพ

เคยมีใครมีอาการยิบๆ ที่ขา โดยเฉพาะเวลาใกล้นอน จนนอนไม่หลับ และอยากจะลุกขึ้นมาสะบัดขาบ้างไหม

ถ้าเคย เราคือเพื่อนกัน
และคงต้องบอกว่า ด้วยเหตุนี้เอง ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ผู้เขียนเคยถูกหมอวินิจฉัยว่า เฉียดๆ จะเป็นโรคจิตมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง
ที่ว่าอย่างน้อย เพราะอาจจะมีมากกว่านี้ แต่หมอไม่กล้าบอก
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านการเจ็บป่วยแบบปริศนามานานกว่าทศวรรษ ผู้เขียนก็ได้รับการวินิจฉัยโรค และรักษาจน (เกือบจะ) หายได้ในที่สุด โดยที่ไม่ได้เป็นโรคจิตจริงๆ ไปเสียก่อน พรรคพวกเพื่อนฝูงผู้ใกล้ชิดจึงแนะนำว่า อยากให้เขียนเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าจะมีใครป่วยแบบนี้บ้าง จะได้ไม่กลุ้มอกกลุ้มใจกันเกินไปนัก และเป็นการสร้างกำลังใจให้คนเจ็บไข้ได้สู้กันต่อ
ผู้เขียนเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2539 ที่จู่ๆ ก็เหมือนจะวูบ หมดแรงไปดื้อๆ เดือดร้อนเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันต้องหอบหิ้วส่งโรงพยาบาลด้วยการเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะตอนที่หมดเรี่ยวหมดแรงไปเฉยๆ นั้น กำลังขับรถอยู่กลางสี่แยก และเพื่อนอีก 4 คนที่นั่งมาด้วยไม่มีใครขับรถเป็นเลยสักคน ได้แต่นำรถแอบเข้าข้างทาง แล้วประคองกันไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
คุณหมอวินิจฉัยเบื้องต้นว่า “ขาดน้ำตาลในเลือดอย่างกะทันหัน” และรักษาด้วยการให้กลูโคส ก่อนจะปล่อยตัวกลับบ้านไป
แต่แม้จะกลับบ้านแล้ว ก็ยังไม่หาย และมีอาการป่วยแบบประหลาดๆ อยู่ตลอดสัปดาห์ คือยังคงหมดเรี่ยวแรง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนคือ มีความรู้สึกประหลาดๆ ที่ขา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก เหมือนจะซ่าๆ ยิบๆ ที่สำคัญคือ ทำให้นอนไม่หลับ และต้องลุกขึ้นมาสะบัดขาอยู่เกือบตลอดเวลา ก็เลยตัดสินใจไปหาหมออีกครั้ง
พอบอกอาการกับหมอ หมอก็ตรวจโน่นตรวจนี่ตามขั้นตอนปกติ เช่น วัดความดัน วัดไข้ และตรวจขา เสร็จแล้วก็บอกว่า ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ
และเนื่องจากทำงานอยู่ในองค์กรใหญ่ที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ก็เลยขอให้คุณหมอเขียนใบรับรองแพทย์เพื่อไปเบิกด้วย คุณหมอก็บรรจงเขียนได้น่ารักน่าชังว่า “คนไข้คิดไปเองว่า มีอาการประหลาดที่ขา”
โถ..โถ..โถ...คุณหมอ เขียนแบบนี้ แล้าใคร๊..ใครจะเอาไปเบิกได้ล่ะเนี่ย ก็เล่นเอาซะชัดเลยว่า คนได้ “คิดไปเอง” หากเอาไปเบิกที่บริษัท เห็นทีเจ้านายจะ “คิดไปเอง” บ้างว่า น่าจะไล่มันออกซะดีมั้ง!!!
ก่อนจะลาหมอกลับบ้าน หมอก็พูดในทำนองที่ว่า น่าจะไปปรึกษาจิตแพทย์นะ เพราะน่าจะเป็นอาการทางจิตมากกว่า ไอ๊หยา...ทำเอาเครียดไปหลายวันทีเดียว
หลังจากนั้น อาการป่วยที่บอกที่มาที่ไปไม่ได้ก็ยังรุมเร้าอยู่เสมอ เช่น วูบ หมดแรง เดินเป๋ไปเป๋มา (ทั้งๆ ที่ขาไม่เป๋) และบ่อยครั้งที่มึนงง สับสน พูดจากับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง เลอะๆ เลือนๆ (แต่ถ้าใครยืมเงินไป จำได้ทุกราย และคงต้องขออภัย ถ้าเคยยืมเงินใครแล้วจำไม่ได้ โธ่..คนมันป่วย จะเอาอะไรกันนักหนา 55)
เมื่อต้องทนกับอาการป่วยมาอีกพักใหญ่ และได้แจ้งให้ที่ทำงานทราบ ฝ่ายพยาบาลของบริษัทก็ตัดสินใจส่งตัวไปโรงพยาบาลกลางเมืองแห่งหนึ่ง และคุณหมอที่เป็นแพทย์ด้านอายุรกรรมประสาทก็ตัดสินใจขอสแกนสมองด้วยวิธีฉีดสีเข้าไปในกระแสเลือดแล้วตรวจดูผลที่ออกมา
สรุป คุณหมอบอกว่า ไม่เห็นจะป่วยเป็นอะไร
แต่อาการไม่สบายก็ไม่หายสักที
มีผู้หวังดีอีกรายพาไปหาหมออายุรกรรมประสาทอีกท่านหนึ่งที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง คราวนี้ คุณหมอสั่งสแกนสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI ตอนสแกนก็ต้องเข้าไปในท่อแคบๆ น่ากลัวพึลึกอยู่เหมือนกัน หลังจากสแกนเสร็จ คุณหมอผู้ดูฟิลม์ก็เขียนรายงานว่า เส้นเลือดในสมองตีบ และเมื่อเอาผลกลับไปหาคุณหมออายุรกรรมประสาทซึ่งเป็นผู้สั่งให้มาทำ MRI ก็ดูฟิลม์ซ้ำ และวินิจฉัยจนทำเอาผู้เขียนและครอบครัวเกือบตกเก้าอี้
คุณหมอบอกว่า คนเรามีเส้นเลือดใหญ่ที่เลี้ยงสมองอยู่ 6 เส้น และเท่าที่ดูฟิลม์แล้ว เห็นว่า เส้นเลือดตีบไป 3 เส้น และที่สำคัญ เนื้อสมองส่วนหนึ่ง ราวๆ 20% เกิดฝ่อหดหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
“หมอบอกตามตรงว่า สมองของคุณตอนนี้ มีลักษณะเหมือนคนแก่อายุประมาณ 80 ปี โชคดีที่อายุจริงของคุณแค่ 30 กว่า ทำให้กล้ามเนื้อของคุณยังแข็งแรงอยู่ และยังเดินเหินได้ปกติ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของคุณ มันดูไม่ดีนักแล้ว” คุณหมอบอก
ขอสารภาพตามตรงว่า ตอนนั้นรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาต่อหน้า มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เราอายุแค่ 30 ปีต้นๆ (ในตอนนั้น) แต่สมองอายุ 80 หรือว่า ฟ้าจะให้โอกาสกับเรามาแค่นี้ หรือว่าจะไม่มีเวลาให้ได้ทำอะไรต่อมิอะไรอีกแล้ว หรือว่า...หรือว่า...หรือว่า...สารพัดที่จะคิด
จากวันที่เจอหมอ ผู้เขียนหายไปจากสังคม หายไปจากการทำงานร่วมสัปดาห์ ได้แต่เก็บตัวเงียบ และคิดถึงวาระสุดท้ายที่ใกล้เข้ามา คิดถึงคำพูดของหมอที่บอกว่า อยากจะผ่าตัดช่วย แต่ผ่าไม่ได้ เพราะจุดที่เส้นเลือดตีบอยู่ลึกเกินไป หากผ่าตัดอาจเป็นอันตรายได้ พูดง่ายๆ คือ น่าจะตายคาเขียง เอ๊ย..ตายคาเตียง แต่แม้จะไม่ผ่า และเลือกกินยาเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ก็ดูเหมือนกับว่า แทบจะไม่มีโอกาสได้เดินหน้าทำอะไรต่อมิอะไรอีกแล้ว
หลังจากเก็บตัวเงียบอยู่สักพัก เมื่อออกมาทำงานอีกครั้ง เพื่อนฝูงผู้ไม่ยอมแพ้ขอให้ไปหาคุณหมออีกท่าน ที่ได้ชื่อว่า เป็นแพทย์อายุรกรรมประสาทที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย ปรากฏว่า ท่านวินิจฉัยเหมือนเดิมกับหมอท่านที่แล้ว โดยใช้เวลาในการตรวจประมาณ 30 วินาที!
เป็น 30 วินาทีที่ใช้เวลาราว 10 วินาทีไปกับการดูฟิลม์สแกนสมองที่มีเป็นร้อยๆ ภาพ โดยดูด้วยตาเปล่า ไม่ส่องไฟ และใช้เวลาที่เหลือเขียนใบสั่งยายาวเหยียด
ตอนนั้นทำให้เข้าใจโลกได้อย่างหนึ่งว่า อย่าหวังอะไรกับหมอชื่อดัง เพราะเขาไม่มีเวลาให้เรามากพอ
คุณหมอท่านวินิจฉัยตรงกันว่า เส้นเลือดในสมองตีบ เมื่อรายงานไปที่บริษัท ก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในเครือที่มีสัญญากับบริษัทอยู่ ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาเอง และก็เกิด “จุดเปลี่ยน” อีกหน เมื่อคุณหมอที่เจอท่านใหม่นี้บอกว่า “คุณไม่ได้ป่วยเป็นอะไรสักหน่อย ผมคิดว่า เขาอ่านฟิลม์ผิด”
โลกทั้งโลกดูจะถล่มลงมาอีกครั้ง นึกในใจว่า อะไรกันเนี่ย เดี๋ยวก็บอกป่วยหนัก เดี๋ยวก็บอกไม่ป่วย แล้วจะเอายังไง คุณหมอก็บอกให้ดูอาการไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นก็ให้ยาชนิดเดียวกับที่เคยได้มาก่อน คือยาที่ทำให้เลือดไหวเวียนดี และนัดมาพบหมอทุกเดือน เพื่อจะได้เจอคำพูดเดิมๆ ทุกเดือนว่า เชื่อเหอะ คุณไม่ป่วย แต่เอายาไปกินเหมือนเดิมก็แล้วกัน
หลังจากรักษาได้ประมาณ 1 ปี ผู้เขียนตัดสินใจเลิกไปหาหมอท่านนี้
ก็โถ...จะหาทำไม ในเมื่อหมอพูดทุกครั้งว่า ไม่ป่วย แต่ขอให้กินยาต่อไป เอ้า เดือนหน้ามาเจอกันใหม่
ก็ถ้าไม่ป่วย จะกินยาทำไม จะมาหาหมอทำไม ไม่รู้ว่าใครจะตอบได้บ้าง
แม้จะเลิกหาหมอ อาการป่วยก็ไม่หายไป ตอนนั้นเกิดอาการท้อแท้อย่างถึงที่สุด และคิดว่า คงต้องยอมแพ้เสียที เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ แต่เพื่อนฝูงไม่ปล่อยให้ยอมแพ้ ยังถูลู่ถูกังลากกันไปโรงพยาบาลชื่อดัง เพื่อพบกับคุณหมอผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งที่จับทำ MRI อีกหน และวินิจฉัยว่า ไม่เห็นเป็นอะไร ผู้เขียนถามเรื่อง “ขา” ที่มีอาการประหลาดๆ ก็ได้คำตอบคล้ายๆ กับที่เคยได้รับคือ น่าจะไปปรึกษาจิตแพทย์ เพราะอาการป่วยทั้งหมดน่าจะเกิดจากการป่วยทางจิต
ท่านผู้อ่านลองนึกดูว่า ความท้อแท้ ความเศร้าหมอง และความหดหู่จะมากสักเพียงไหน ไหนจะป่วยบ่อยๆ วูบบ้าง หมดแรงบ้าง สับสนบ้าง และยังถูกวินิจฉัยว่าน่าจะมีอาการทางจิต ตอนนั้นก็รู้สึกตัวว่า เหมือนจะเป็นโรคจิตไปจริงๆ แต่ก็ตัดสินใจกลับไปทำงานตามปกติ
ผู้เขียนตัดสินใจเลิกไปหาหมอ ตั้งมั่นว่าจะใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปท่ามกลางความทุกข์ทรมานจากอาการป่วย และไม่เคยเล่าให้ใครฟังเรื่องอาการประหลาดๆ ที่ “ขา” อีกเลย เพราะกลัวจะถูกหาว่า “บ้า”
แต่ก็มีอีกครั้งหนึ่งที่อาการวูบเกิดขึ้นระหว่างทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานต้องพาไปหาหมอ และเมื่อเล่าอาการให้หมอฟัง หมอบอกสั้นๆ ว่า “คุณกลับไปเถอะ หมอรักษาไม่ได้ วันนี้ถือว่า ไม่คิดเงินก็แล้วกัน”
เออ...ตกลงว่าเป็นบุญคุณหรือเปล่าเนี่ย ที่คุณหมอไม่คิดตังค์ ??
อย่างไรก็ตาม เมื่อราวๆ ปี พ.ศ.2552 อาการวูบ และหมดเรี่ยวแรงกลับมาเกิดบ่อยครั้ง จนต้องไปอยู่โรงพยาบาลอีกหน และคราวนี้ ได้เจอกับคุณหมอท่านหนึ่ง คือ พญ.ชุมพิตา สุทธาภาส แพทย์อายุรกรรมประสาท โรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งต้องสารภาพในเบื้องต้นว่า คิดว่าคงไม่มีความสามารถอะไร เพราะคุณหมอเด็กมาก เป็นคุณหมอยังสาว ที่น่าจะอายุน้อยกว่าผู้เขียนที่ก็ยังอายุแค่ 30 ปลายๆ อยู่หลายปี ก็เลยดูไม่น่าเชื่อถืออย่างที่สุด
ผู้เขียนบอกหมออย่างซังกะตายว่า วูบเป็นพักๆ และเดาว่า หมอคงจะบอกว่า ไม่เห็นจะป่วยตรงไหนเหมือนที่เคยเจอมาบ่อยๆ แต่ก็ดูจะเป็นอีกครั้งที่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น คุณหมอถามว่า เคยรู้สึกประหลาดๆ ซ่าๆ ยิบๆ ที่ขาบ้างไหม
อา...นี่มันอะไรกันหนอ ความลับที่คิดว่า จะไม่บอกใครอีกแล้ว ความคิดที่ใครๆ ก็บอกว่า น่าจะเป็นอาการทางจิต แต่คุณหมอหน้าเด็กคนนี้เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนทำเอาตกใจ และเมื่อบอกว่า เป็นอย่างที่คุณหมอว่านั่นแหละ คุณหมอชุมพิตายิ้ม และบอกว่า เป็นอาการที่เรียกว่า Rest Less Leg Syndrome หรือ RLS ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าหมอรุ่นก่อนๆ ท่านไหนตั้งชื่อภาษาไทยเอาไว้ได้น่ารักดีว่า “โรคขาอยู่ไม่สุข”
อันว่าโรคนี้ เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่เหตุหนึ่งคือ การที่สารโดพามีนในสมองลดต่ำลง และไปมีผลกระทบ ทำให้เกิดความรู้สึกประหลาดๆ ที่ขา ทำให้นอนไม่ได้ และต้องลุกขึ้นมาสะบัดขาเป็นพักๆ ผลที่ตามมาก็คือ ไม่ค่อยได้นอน แม้จะเหมือนนอนแล้ว แต่อันที่จริงเกิดการนอนที่ไม่สมบูรณ์ และนำมาซึ่งอาการทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นอยู่ ว่าแล้ว คุณหมอก็ให้ยามาเพื่อเพิ่มสารโดพามีน
หลังจากนั้น ผู้เขียนก็หายดี หรือเกือบหายดี คือยังมีบางวันที่มีอาการอยู่บ้าง แต่พูดได้ว่า อาการป่วยที่เป็นมาตลอดกว่า 10 ปี หายไปแล้วมากกว่า 90%
เมื่อนานมาแล้ว ผู้เขียนตัดสินใจถามคุณหมอชุมพิตาว่า ตอนที่เจอกันครั้งแรก ทำไมคุณหมอถึงได้ถามเรื่องขา ทั้งๆ ที่คนไข้ไม่ได้พูดถึง คุณหมอก็บอกว่า ดูจากอาการทั้งหมด น่าจะเกิดจากการไม่ได้นอน และมีคนจำนวนมากที่เป็น RLS และนอนไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในวงการแพทย์ด้านอายุรกรรมประสาท
แต่ถึงแม้คุณหมอจะบอกว่าไม่แปลก ผู้เขียนก็ต้องบอกว่าแปลก เพราะหาหมอมานับสิบท่าน ไม่มีใครเคยมอง หรือคิดถึงโรคนี้ มิหนำซ้ำ เมื่อบอกไป ยังตอบกลับว่า น่าจะเป็นอาการทางจิตมากกว่า เพราะ “ขา” ก็อยู่ดีมีสุข ไม่เห็นจะเป็น “โรคขาอยู่ไม่สุข” แต่ประการใด
สรุปว่า ผู้เขียนไม่ได้บ้า แต่เก็บเรื่องทั้งหมดนี้มาหลายปี พรรคพวกเพื่อนฝูง และคนที่รัก ที่คอยช่วยเหลือ คอยเคี่ยวเข็ญให้ไปหาหมอ คอยให้กำลังใจเมื่อยามร้องไห้ และบอกให้สู้ต่อไปได้มาขอร้องว่า ขอให้เขียนเรื่องนี้ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ ให้คนเป็นหมอได้ใส่ใจคนไข้ และให้คนไข้อดทนพยายาม
ผู้เขียนตั้งใจเขียนเรื่องนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังด้วยประสบการณ์จริง โดยไม่ได้คิดว่า หมอทุกท่านจะผิดพลาดไปเสียหมด มีหมอดีๆ มากมายในโลกนี้ หมอที่อุทิศตนเพื่อผู้ป่วยอย่างเต็มที่ จนเกิดเป็นปาฎิหาริย์ขึ้นแล้วจำนวนมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เหมือนกับทุกอาชีพ ทุกวงการ ที่ย่อมจะมีคนที่ทำงานแบบขอไปที และหมอบางคนก็เป็นอย่างนั้น
จุดประสงค์ในการเขียนเรื่องนี้จึงต้องการจะบอกว่า หมอดีๆ มีเยอะ แต่หมอไม่ใส่ใจก็มีอยู่ และคนไข้จะต้องช่วยตัวเองด้วย จึงจะทำให้การเจ็บป่วยสามารถรักษาให้หายได้อย่างราบรื่น และขอขอบคุณคุณหมอทุกท่านที่ทำงานด้วยจิตวิญญาณของการเป็นแพทย์...ผู้เป็นที่พึ่งของผู้ป่วย ที่จะต้อง “สู้” ไปพร้อมๆ กัน
ขอย้อนกลับไปที่คำถามที่โปรยหัวไว้ว่า เคยมีใครมีอาการยิบๆ ที่ขา โดยเฉพาะเวลาใกล้นอน จนนอนไม่หลับ และอยากจะลุกขึ้นมาสะบัดขาบ้างไหม ถ้าเคย ลองคิดถึงกลุ่มอาการโรคขาอยู่ไม่สุขดูนะคะ คุณอาจจะไม่ได้บ้า !!
หมายเหตุ - เรื่องนี้ ดัดแปลงจากที่เคยเขียน และลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ในปี พ.ศ.2554 แต่คิดว่า ยังใช้ได้จนปัจจุบัน หลังจากนั้น ผู้เขียนยังป่วยด้วยอาการเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งได้ทำการผ่าตัดสมองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นตามด้วยการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลิอง ซึ่งขณะนี้รักษาหาแล้ว แต่ยังอยู่ในช่วงติดตามอีก 2 ปี กว่าจะบอกว่าหายดีได้ ซึ่งจะทยอยนำประสบการณ์การผ่าตัดสมอง และการรักษามะเร็งมาเล่าสู่กันฟังในเร็วๆ นี้ค่ะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา