19 ต.ค. 2023 เวลา 08:06 • ท่องเที่ยว
โตเกียว

Nihon Ichido Ep.3

วันนี้ก็เป็นการเดินทางวันที่ 3 ของปันในทริป Nihon Ichido 2023 กันแล้ว วันนี้ก็จะอยู่ในโตเกียว แล้วก็จะเป็นการเที่ยวญี่ปุ่นวันสุดท้าย ก่อนที่วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปที่สนามบินกลับไทย ทันทีหลังเช็คเอาท์ออกจากที่พัก
สำหรับแผนเที่ยวในวันนี้ก็ จะไปตลาดปลาสึคิจิ วัดอาซากุสะ และโตเกียวสกายทรี และปิดท้ายตอนเย็นที่ชิบูย่าอีกรอบหนึ่ง ก่อนจบทริปเที่ยวอย่างเป็นทางการ ในวันต่อไป สำหรับวันนี้จะเป็นอย่างไรก็มาติดตามชมกันได้เลย
  • Day 3 (6 October 2023)
คณะทัวร์ของปันพร้อมที่จะออกเดินทางเที่ยววันที่สาม แต่เช้าตรู่ ประมาณ 7 โมงครึ่ง โดยที่แรกที่จะไปกันก็คือตลาดสึคิจิ (築地) ซึ่งเป็นตลาดปลาชื่อดังของญี่ปุ่น เป็นแหล่งรวมอาหารทะเลทั้งสดและแห้ง นอกจากนี้ก็จะมีของกินเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อีกมาก ให้พวกเราได้ลองแวะไปเยี่ยมชม
คณะทัวร์ของปันนั่งรถจากสถานีนากะ โอคาชิมาจิ สายฮิบิยะ ราคา 180 เยน (~45 บาท) ลงไปทางใต้ 6 สถานี ถึงสถานีสึคิจิ จากนั้นเดินมาอีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงตัวตลาด ก่อนถึงตัวตลาดมีวัดที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามมาก ถ้าดูจากภายนอก มีชื่อว่า “วัดสึคิจิฮงกัน” ซึ่งเดี๋ยวเที่ยวตลาดเสร็จเดี๋ยวจะมาแวะที่นี่ด้วย
วัดสึคิจิฮงกัน
สิ่งแรกที่ถึงก็คือปันเดินดูร้านที่ปันจะทาน ว่ามีร้านไหนน่าทานบ้าง ซึ่งที่ตลาดปลา ก็มีของทะเลสดเยอะมาก ทั้งแซลมอน ซาชิมิ ซูชินาปลาต่างๆ รวมไปถึงไข่อุนิ หรือเม่นทะเล ที่เค้าว่ากันว่าเป็นหนึ่งในเมนูที่มาญี่ปุ่นก็ต้องกินให้ได้ และอื่นๆอีกมาก
คณะทัวร์ของปันได้มาแวะกินที่ร้านในตรอกเล็กๆ หน้าป้ายจะเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า สึคิจิตคันโนะ (つきじかんの) เป็นร้านที่อยู่ข้างในซอยซึ่งเราจะต้องเดินหรือเข้าไป แล้วไปทางซ้ายของซอย ที่นี่ขายเป็นเมนูต่างๆ ที่เป็นเซ็ตอาหารทะเล เล่น ซาชิมิ ข้าวหน้าแซลม่อน/ปลาไหล ปลาซาบะย่าง/ทอด ไข่อุนิก็มี ฯลฯ
ปั่นสั่งเป็นแซลม่อนด้ง (ข้าวหน้าแซลม่อน) ราคา 1000 เยน (~250 บาท) ซึ่งจะให้มาเป็นเนื้อปลาแซลมอนแล้วก็ทูน่าด้วย สีเข้มนี้น่าจะเป็นทูน่า และพร้อมกับสั่งเมนูกองกลาง เป็นซูชิหน้าแซลมอน/ปลาดิบ/ปลาหมึก 2 จาน จานละประมาณ 700-800 เยนเช่นกัน
อาหารญี่ปุ่นที่ตลาดสึคิจิ
รสชาติโดยรวมก็ถือว่า อร่อย และเพิ่มอร่อยกว่านี้มาก เมื่อโรยโชยุและวาซาบิ นี่แหละรสชาติของอาหารญี่ปุ่น 😋😋
จากนั้นแล้วเราก็เดินเล่นแถวตลาด แต่ละร้านคนก็เยอะมาก จากที่คิดว่าตอนแรกคนน่าจะไม่เยอะเท่าไหร่เพราะว่ามาแต่เช้า แต่เอาเข้าจริงๆ ร้านไหนมีของกินร้านนั้นคนต่อแถวกันเยอะ ส่วนใหญ่ก็เป็นฝรั่งต่างชาติ มากกว่าจะเป็นคนไทย
ร้านข้าวเกรียบ ทาโกะเซมเบ้
ลูกทัวร์ปันมาสะดุดกับร้านขายข้าวเกรียบร้านหนึ่ง มีสองไส้ให้เลือก คือไส้ปลาหมึกแล้วก็กุ้ง ราคา 600 และ 900 เยน ตามลำดับ (~150 & 220 บาท) ร้านนี้มีชื่อร้านว่า “ทาโกะเซมเบ้” (たこせんべい)
ไฮไลท์ของร้านข้าวเกรียบร้านนี้คือ จะมาเป็นข้าวเกรียบแผ่นใหญ่ เหมือนข้าวเกรียบว่าวบ้านเรา แต่มาในรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบแบนทั้งหมด และที่สำคัญก็คือ จะมีตัวปลาหมึกหรือกุ้ง ทับอยู่ในตัวแผ่นข้าวเกรียบด้วย คือแบนไปพร้อมกับแผ่นมันเลยอ่ะ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย
ตั้งนั้นก็เดินเที่ยวต่อเรื่อยๆ แวะซื้อถั่ว ส้มอบแห้ง มะนาวอบแห้ง ตรงร้านขายถั่ว เยื้องกับร้านขายข้าวเกรียบ อยู่ในซอย เดินลึกเข้าไปประมาณซัก 50 เมตร ร้านนี้ก็ขายพวกถั่วอบแห้ง เม็ดเกาลัด เม็ดหิมพานต์ แล้วก็มีเมนูผลไม้อบแห้ง เช่นส้มและมะนาวอบแห้งเป็นต้น ราคาอยู่ที่แพ็คละ 1,200 เยน (~300 บาท) แต่ถ้าหากซื้อ 3 ชิ้นเป็นต้นไป ก็ตกชิ้นละ 1000 เยน (~250 บาท)
ก็อยู่นี่นานพอควร เพราะลูกทัวร์ซื้อกันใหญ่ ส่วนเราก็ถามตอบกับพ่อค้าแม่ค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นกันไป เพราะว่าร้านนี้คือเป็นทุกอย่างให้กับคณะทัวร์เลยอ่ะ เชิญให้กินอันนี้ เชิญให้ชิมอันนั้น เยอะแยะเลย 😊😊
หลังจากนั้นเราก็จะเดินทางต่อ โดยแวะที่วัดสึคิจิฮงกัน ที่เราเดินผ่านมา แต่ก่อนกลับขอแวะซื้อของหวานกินก่อน ไม่เชิงเป็นของหวานแต่เป็น คล้ายขนมโมจิ ที่มีท็อปปิ้งเป็นสตอเบอรี่วางอยู่ข้างบน ทุกไส้ตกชิ้นละ 400 เยน (~100 บาท) ซื้อมา 2 ชิ้น 800 เยน จำได้ว่าเลือกไส้ชาเขียว แล้วก็ไส้นม ปันแล้วไส้นม อร่อยกว่ามาก แน่นอนว่ามันหอมกว่าไส้ชาเขียว ลองแวะมาซื้อกันได้ที่ร้าน โซระสึคิ (そらつき)
ขนมโมจิ
พิกัดตลาดสึคิจิ :
หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปแวะที่วัดวัดสึคิจิฮงกัน เป็นวัดที่โดดเด่นด้านของสถาปัตยกรรม รูปแบบผสมระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก รูปแบบของสถาปัตยกรรมใช้หินมัลกัม ซึ่งหายากใช้ในการก่อสร้างวัด โดยวัดแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 แล้ว ภายในตัววัดก็เป็นสถานที่ประกอบพิธี ทางศาสนาพุทธของที่ญี่ปุ่น ซึ่งวันที่ปั่นเดินทางไปก็กะว่าจะเข้าไปไหว้
แต่ก็พอดีมีพิธี แล้วเจ้าหน้าที่ของวัดก็เชิญเราให้เข้าไปด้วย เหมือนเข้าไปรับฟังพระท่านเทศน์ ปันก็เลยเดินออกมา เพราะคิดว่าถ้าเข้าไปฟัง เดี๋ยวจะไม่มีเวลาไปเที่ยวที่อื่น แค่ถ่ายรูปร่วมกับคณะทัวร์หน้าทางเข้า ก่อนที่จะเดินออกมาจากตัววัด
วัดสึคิจิฮงกัน
พิกัดวัดสึคิจิฮงกัน :
จากนั้นก็จะไปแวะที่ร้านกาแฟซักครู่ ไปนั่งพักผ่อนตามอัธยาศัยก่อน แล้วเดี๋ยวช่วงเที่ยงก็จะเดินทางไปที่วัดเซ็นโซ หรือที่รู้จักกันในชื่อของวัดอาสากุสะ ต่อไป
คณะทัวร์ของปันมาแวะที่ร้าน Café de Crié ไปร้านกาแฟข้างสถานีสึคิจิ ปันมาแวะพักที่นี่กันก่อน ร้านนี้ก็ขายกาแฟทั่วไป แล้วก็มีพวก เค้กหน้าต่างๆ ปกติ ไม่มีอะไรที่เป็นซิกเนเจอร์ ปัน สั่งเป็นเมนูไอซ์คาเฟ่ลาเต้ แล้วก็เค้กครีมชีส ราคาทั้งหมด 1310 เยน (~325 บาท) เป็นลาเต้ 860 เยน ไซส์ M และครีมชีสอีก 450 เยน รสชาติโดยรวมก็ถือว่าพอใช้ได้ เค้กครีมชีสไม่ได้เหม็นนมแพะเหมือนร้านแรกที่มา
พิกัดร้าน :
จากนั้นก็เดินทางไปที่วัดเซ็นโซ หรือวัดอาสากุสะ โดยจะนั่งจากสถานีสึคิจิ ไปที่สถานีอาสากุสะ ทั้งหมด 8 สถานี ราคา 290 เยน (~70 บาท) พอถึงสถานีปลายทางแล้วก็เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็มาถึงที่วัด จุดไฮไลท์ที่เรามาที่นี่แล้วต้องถ่ายรูปเลยก็คงหนีไม่พ้นประตู คามิงาริ มง (雷門) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของประตูโคมยักษ์ ตั้งอยู่หน้าทางเข้าของศาลเจ้า เปรียบเสมือนเป็นประตูทางเข้าที่ศาลเจ้า โดยมีความเชื่อว่าหากใครเอื้อมมือไปแตะที่โครงนั้นได้ ก็มีความเชื่อว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างทางจากประตูไปจนถึงศาลเจ้านี้ก็จะ เป็นแหล่งรวมพวกร้านของกินต่างๆ เหมือนสตรีทฟู๊ด แล้วก็มีร้านเช่าชุดกิโมโน ไว้สำหรับถ่ายรูปที่ศาลเจ้าด้วย ที่บริเวณตัวศาลเจ้าก็จะเป็น สถานที่สักการะเทพเจ้า อย่างไรก็ตามคณะทัวร์ของปันก็ไม่ได้แวะเข้าไปข้างในตัววัดหรือศาลเจ้า เนื่องจากคนเยอะ ก็เลยต้องเป็นแบบชะโงกทัวร์ ก็คือถ่ายรูปกันที่หน้าประตูโคมยักษ์ แล้วหลังจากนั้นก็จะเดินทางไปที่โตเกียวสกายทรี
ซุ้มประตูคามินาริ มง
พิกัดวัดเซ็นโซ (อาสากุสะ) :
กลับไปที่สถานีอาสากุสะ แล้วนั่งรถไฟต่ออีก 2 สถานี ถึงสถานี โอชิกาเอะ (押上) หรือเรียกอีกชื่ออย่างเป็นทางการว่าสถานีสกายทรี (スカイツリー駅) เป็นสถานีปลายสุดของสายอาสากุสะ เมื่อลงจากชานชลาแล้วก็ให้ตามป้ายคำว่า Tokyo skytree town จนไปเจอป้ายดังกล่าว ซึ่งเป็นทางเข้าที่ตึกของโตเกียวสกายทรี จากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนจากชั้น B3 ไปที่ชั้น 1 ในระหว่างนี้ปันก็ไปหาร้านข้าวกัน
พื้นที่ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของห้างที่ชื่อว่า Tokyo Skytree Town ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอโตเกียวสกายทรี มีทั้งหมด 34 ชั้น เป็นชั้นใต้ดินสามชั้น และชั้นบนดินอีก 31 ชั้น ซึ่งชั้น 1-8 จะเป็นห้างและร้านอาหาร ส่วนชั้น 9-29 น่าจะเป็นที่พักอาศัย หรือ อาคารสำนักงานนะ เพราะเหมือนไม่มีทางให้คนนอกอย่างเราเข้าไปได้ส่วนชั้นที่ 30-31 เป็นร้านอาหารลอยฟ้า ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็จะแพงขึ้นเมื่อเทียบกับชั้นล่าง
ทางเข้าห้าง Tokyo Skytree Town ชั้น B3
ปันได้พาคณะทัวร์ขึ้นไปที่ชั้น 30 ไปดูร้านอาหาร แล้วก็ถ่ายรูปวิวด้วย เนื่องจากว่าเป็นจุดที่สูงที่สุดแล้ว และสามารถมองเห็นวิวของโตเกียวฝั่งเอโดงาวะ ซึ่งเป็นทิศตะวันออกของเมือง ได้ประมาณ 90 องศา
และเมื่อมองจากมุมสูง ราว 100 เมตรจากพื้นดินก็จะรู้สึกว่า ตามตรอกซอกซอยของญี่ปุ่น จะมีบ้านเรือนเล็กน้อย อัดกันอย่างหนาแน่น โดยมีซอยเล็กๆ ซิกแซ็กตามบ้านต่าง ดูเหมือนเป็นโมเดลจำลองของเมืองเลย
วิวเมืองโตเกียวชั้นที่ 30 Tokyo Skytree Town
จากนั้นก็ลงมาที่ชั้น 2 สรุปสุดท้ายคณะทัวร์จะไปกินที่ร้าน Cheese Garden Tokyo Skytree เป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่ง มีหลายเมนูให้เลือก แต่ปันเลือกเป็นไข่เบคอนและฮอทดอก มาในรูปของแซนด์วิช และเครื่องดื่ม ในราคาเซ็ตทั้งหมด 1,280 เยน (~320 บาท) เซตนี้ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ คือไม่ค่อยอยู่ท้อง ปันเห็นสตูเนื้อแล้วก็คือ น่าจะอยู่ท้องมากกว่านี้ ราคาเดียวกันด้วย 1280 เยน
อาหารร้าน Cheese Garden Tokyo Skytree
หลังจากที่กินอิ่มแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาที่สำคัญ คือการไปชมวิวที่จุดชมวิว โตเกียวสกายทรีกันแล้ว แต่ว่าไม่ได้ไปกันทั้งหมด ไปกันแค่ 2 คนเท่านั้น มีปัน แล้วก็น้องผู้ชายที่เป็นลูกทัวร์ พาขึ้นไปชมด้านบน ที่ความสูง 350 เมตร เรียจุดนี้ว่าTembo Deck (天望デクス)
ราคาตั๋วก็เรียงตามอายุ ตามภาพที่อยู่ข้างล่าง อย่างของปันราคาก็จะอยู่ที่ 2,100 เยน (~520 บาท) ส่วนเด็กต่ำกว่า 5 ขวบขึ้นฟรี โดยเราสามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ของโตเกียวสกายทรี หากซื้อล่วงหน้าแล้วเราก็เข้าช่อง Fast Track เข้ามาในตัวลิฟท์ที่จะขึ้นไปจุดชมวิวได้เลย แต่ถ้าใครมาซื้อหน้างานก็ต้องต่อแถวนิดนึง แต่ก็รันแถวได้เร็วพอสมควร ประมาณ 15 ถึง 20 นาทีได้ขึ้นอยู่กับ ปริมาณของคนในตอนนั้น โดยเราสามารถเลือกซื้อได้ทั้งแบบ ซื้อกับพนักงาน หรือไม่ก็ซื้อผ่านตู้ KIOSK
ราคาเข้าชม โตเกียวสกายทรี
โตเกียวสกายทรี เป็นหอชมเมืองที่สูงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นเสาส่งสัญญาณที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย ด้วยความสูงระดับ 634 เมตร เหนือพื้นดิน โดยเลข 634 มีที่มาจากชื่อ “มุซาชิ” ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเรียกเลขแบบเก่า และอีกอย่างหนึ่งเลข 634 หรือมุซาชิ ในสมัยเอโดะถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สามจังหวัดรอบๆ ก็คือ โตเกียว คานางาวะ และไซตามะ
โตเกียวสกายทรีถูกก่อสร้างขึ้น ในวันที่ 14 กรกฎาคมปี 2008 และสร้างเสร็จในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ปี 2012 และเปิดใช้งานในวันที่ 22 พฤษภาคมปี 2012 เช่นกัน นับว่าเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก และแน่นอนทำลายสถิติหอชมเมืองโตเกียวเดิม ซึ่งก็คือโตเกียวทาวเวอร์ ด้วยระดับความสูงที่ 333 เมตรเท่านั้น
หอคอยชมเมือง โตเกียวสกายทรี
จุดชมวิวจะมีสองจุด คือ 350 และ 450 เมตรตามลำดับ 350 เมตรที่ปันจะขึ้นไปมีชื่อว่า Tembo Deck และ 450 เมตร ชื่อว่า Tembo Galleria
ว่าแล้วเดี๋ยวมันก็จะขึ้นไปข้างบน หลังจากที่ซื้อตั๋วเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็ผ่านด่านเช็คความปลอดภัยต่างๆ เหมือนสนามบิน นำตั๋วที่มี QR-Code แต่ไปที่เครื่องอ่าน ก่อนเข้าโถงลิฟต์แล้วก็เตรียมตัวต่อแถวขึ้นลิฟต์ไปที่ระดับความสูง 350 เมตรซึ่งถ้าใครซื้อความสูง 450 เมตรก็จะต้องขึ้นลิฟต์ตัวนี้ไปด้วย เนื่องจากว่าลิฟต์ไปยังความสูง 450 เมตรนั้น จะต้องขึ้นที่ชั้นความสูง 350 เมตร แล้วต่อแถวขึ้นไปอีก
ตั๋วชมวิว Tembo Deck ของโตเกียวสกายทรี
ลิฟต์จะใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น จากชั้นสี่ความสูงไม่กี่ 10 เมตร ทะยานสู่ความสูง 350 เมตร ซึ่งถือว่าปันได้ขึ้นมายังจุดที่สูงที่สุด ตั้งแต่ที่ปันเคยขึ้นมาในรับความสูงนี้ (ไม่นับรวมเครื่องบิน😁) ซึ่งสถิติความสูงเดิมที่ปันเคยขึ้นมาชมวิวก็คือตึก มารีน่าเบย์แซน ที่สิงคโปร์ ปี 2017 ความสูงราว 200 เมตร
วิวเมืองโตเกียว จากความสูง 350 เมตร
ที่ความสูงนี้พวกเราสามารถชมวิวเมืองโตเกียวได้แบบ 360 องศาเลย หากอากาศแจ่มใส พวกเราสามารถเห็นโตเกียวดิสนีย์แลนด์& ดิสนีย์ซี ได้ด้วยพร้อมกับผืนน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิก ในทางทิศใต้, เราสามารถเห็นเมืองเอโดงาวะและอาจจะเห็นสนามบินนาริตะ (NRT) ได้จากทิศตะวันออก, เราสามารถเห็นภูเขาทางเหนือของโตเกียวได้เหมือนกันหากเราหันหน้าไปทางทิศเหนือ
และที่สำคัญหากพวกเรามองจากฝั่งตะวันตก หากอากาศแจ่มใสไม่มีอะไรบดบัง เราสามารถเห็นเครื่องบินขึ้น-ลงที่สนามบินฮาเนดะ (HND) และที่สำคัญก็คือจะเห็นภูเขาไฟฟูจิตั้งเด่นตระหง่า เป็นพื้นหลังของเมืองโตเกียวด้านทิศตะวันตก 🗻
วันที่ปันไปปรากฏว่าฟ้าปิดไม่สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ ถ้าฟ้าเปิดไม่มีเมฆบดบัง ตามภาพนี้ปันเห็น ก็จะสามารถเห็นฟูจิได้เลยจากตรงนี้ แต่ก็โอเค เพราะอย่างน้อยปันก็ได้เห็นฟูจิอยู่ลางๆ อยู่แล้วแหละ ตอนที่ไปนิกโก้
วิวเมืองโตเกียวฝั่งตะวันตก
เมื่อชมความวิวจนเต็มอิ่มแล้ว ปันก็ลงมาอีกระดับหนึ่ง คือระดับความสูง 345 เมตร ตรงนี้ก็จะเป็นโซนร้านขายของที่ระลึก แล้วก็จุดชมวิวขนาดย่อมแต่ความสวยงามก็ไม่ได้ต่างอะไรจาก 350 เมตรมากนักเพียงแต่ว่ามันมีพื้นที่เล็กกว่า ดูได้แค่ 180 องศาเท่านั้นคือด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก
วิวเมืองโตเกียว จากความสูง 345 เมตร
จากนั้นก็ลงมาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นความสูงระดับ 340 เมตรตรงนี้จะเป็นจุดที่เราจะลงไปข้างล่าง แต่ก่อนที่จะลงไปข้างล่างก็มีไฮไลท์ที่สำคัญอีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือพื้นกระจกที่สามารถมองทะลุลงไปข้างล่างได้ เปรียบเสมือนเป็นพื้นวัดใจเลยเพราะถ้าหากคนกลัวความสูง แน่นอนว่าใจจะหวิวในทันที แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในจุดไฮไลท์ที่คนก็จะมาถ่ายรูปด้วยเช่นกัน
วิวเมืองโตเกียว จากความสูง 340 เมตร & พื้นกระจก
พิกัดโตเกียวสกายทรี :
จากนั้นปันก็ได้มาที่โถงลิฟต์ขาลง เพื่อที่จะลงไปข้างล่าง โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาทีเช่นกัน ซึ่งลิฟต์จะจอดที่ชั้น 5 (ขาขึ้นเป็นชั้น 4) ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความประทับใจของปันที่ได้ขึ้นมาชมที่โตเกียวสกายทรีแห่งนี้ จากนั้นก็กลับไปพบกับลูกทัวร์ที่เหลือ ที่ร้าน Cheese Garden Tokyo Skytree จากนั้นก็ไปเลือกซื้ออาหารที่กินกันในวันวันต่อมา ซึ่งเป็นวันเดินทางกลับไทย
จากนั้นก็ไปกันที่ชิบูย่าอีกรอบหนึ่ง เนื่องจากคณะทัวร์ติดใจซูชิที่กินกันในวันแรก ซึ่งก็คือร้าน UOBEI ที่เดิม ปัน ขึ้นรถไฟจากสถานีต้นทางของสายฮันโซม่อน (はんぞモン戦) สถานีโอชิอาเกะ ไปที่สถานีชิบูย่า 14 สถานี ราคา 210 เยน (~50 บาท) ตัวสถานีจะอยู่ใต้ดิน แล้วต้องเดินขึ้นมา ใช้ทางขึ้นหมายเลข A6 จะมาโผล่หน้าห้าง Tsutaya และห้าแยกชิบูย่า
ซูชิร้าน UOBEI
ปันจะไปกินซูชิก่อน ส่วนในวันนี้ก็เหมือนเป็นรายการพิเศษคือ มาเก็บตกชิบูย่าจากที่เราพลาดในวันแรก วันนี้ฝนไม่ตก ตั้งนั้นปันก็ได้โอกาสถ่ายรูป และ รูปปั้นหมาฮาจิโกะที่โด่งดังด้วย
ร้านที่กินก็เป็น UOBEI ที่เดิม วันนี้กินไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ เพราะว่าหลายคนก็อิ่มเร็วกว่าวันแรก โดยวันนี้มันหมดไปแค่ 2200 เยนเท่านั้นเอง (~550 บาท)
พอกินเสร็จครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการช็อปของจริง ก็คือเป็นการช็อปของฝาก ก่อนที่วันต่อมาจะกลับไทยกันแล้ว ร้านที่แนะนำเลยก็แน่นอนว่าจะต้องเป็น “ดองกี้” ที่ชิบูย่า ตัวดองกี้ตั้งอยู่ตรงข้ามซอยของร้านซูชิเลย ก็คือเดินไปแป๊บเดียวก็เข้าดองกี้ได้เลย เป็นสาขาที่ใหญ่ ใช้ชื่อว่า “Megaドンキ”
พิกัดดองกี้ Megaドンキ :
Megaドンキ
ที่นี่ก็มีขายทุกอย่างเลย โดยเฉพาะของฝากของที่ระลึก เสื้อผ้า ครีม เครื่องสำอางค์ ของเบ็ดเตล็ดต่างๆ ในราคาที่คุ้มกว่าข้างนอก มีทั้งหมด 8 ชั้น เป็นชั้นใต้ดิน 1 ชั้น และบนดินอีก 7 ชั้น ดองกี้ก็รับการทำ Tax-Free ด้วยเช่นกัน โดยพนักงานเคาท์เตอร์แคชเชียร์ จะถามเราว่าทำ Tax-Free ไหม ถ้าทำ หลังจ่ายเงินเสร็จ ก็ขึ้นไปที่ชั้น 7 พร้อมยื่นพาสปอร์ตได้เลย
บรรยากาศร้านดองกี้
มาที่นี่แล้วสิ่งที่จะพลาดไม่ได้เลยก็คือ ขนม มีขนมสองอย่างที่ปไม้ญี่ปุ่นถูกทุกครั้งก็ซื้อทุกครั้ง เพราะอร่อยมาก ก็คือ ขนมวาซาบิพิทาซิโอ และคิทแคทชาเขียว อันนี้ก็ต้องติดไม้ติดมือกลับกันไป ส่วนขนมแพ็ค พวกโตเกียวบานาน่า, ช็อคโกแลต Roice ฯลฯ จะไปซื้อที่สนามบิน
ระหว่างที่ลูกทัวร์กำลังเลือกซื้อของอยู่ปันก็ เดินไปชมบรรยากาศร้านเรื่อยๆ ที่ชั้น 5 ของตัวร้าน เป็นโซนของเล่น แล้วก็เจอโซนที่เป็น Sex Toy รวมอยู่ด้วยนะ
ลองเดินเข้าไปดูก็ มีอุปกรณ์ต่างๆที่เป็นของ 18+ วางอยู่ทั้งหมด ตามนี้พอเห็นในรูปนี้กันบ้างละ ขออนุญาตเบลอไว้นะ ใครอยากเต็มตา ก็มาดูกันเองละกัน 🤭 ก็อย่างว่าแหละญี่ปุ่น เค้าเสรีเรื่องนี้มากพอสมควร หลังจากนั้นก็เดินออกมา จากตรงนั้น
หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวกลับที่พัก แต่ก็นะ มาที่ชิบูย่าแล้วไม่ถ่ายรูป ก็เหมือนพลาดการมาที่นี่อย่างแรง ขากลับก็ข้ามถนนตรงห้าแยกชิบูย่า แล้วก็ถ่ายรูป ในขณะที่เดินข้ามถนน พอถึงฝั่งแล้วก็ถ่ายรูปคู่กับคณะทัวร์ สักช็อตหนึ่ง ก่อนกลับ เพื่อเป็นที่ระลึกว่าพวกเราได้เคยมาที่นี่แล้ว
ห้าแยกชิบูย่า
อย่างที่รู้กันว่าวันนี้ฟ้าเป็นใจ ไม่มีฝนตก ดังนั้นเราก็เลยถ่ายรูปตรงนี้นานพอสมควร หลังจากตรงนี้แล้วก็มีอีกจุดหนึ่งที่จะต้องถ่ายด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ ที่มีประวัติสุดซึ้งโดยย่อก็คือเป็นหมาพันธุ์อากิตะที่มีความซื่อสัตย์ และยอดกตัญญู ฉายานี้ได้มาจากการรอเจ้านาย คือด็อกเตอร์อุเอะโนะ เป็นเวลานานถึง 10 ปี ก่อนที่จะตายลง ณ ย่านชิบูย่าตรงนี้ ด้วยวัย 11 ปี ในปี 1935
(จริงๆแล้ว อาจารย์แกเสียตั้งแต่วันที่ ฮาจิโกะมารอเจ้านายวันแรก ในปี 1925 แล้ว จากภาวะเลือดออกในสมอง)
ซึ่งตรงรูปปั้น ที่ปันจะไปถ่ายรูปนี้ ก็คือจุดเดียวกับที่ฮาจิโกะรออาจารย์อุเอะโนะนั่นแหละ ทุกวันนี้ร่างของฮาจิโกะ ก็ถูกสตาร์ฟไว้ในที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของญี่ปุ่น
รูปปั้นหมาฮาจิโกะ
วันที่ปั่นมาถ่ายตอนนั้น คือคนเยอะมาก ต้องต่อแถวถ่ายกัน แล้วคือคนมาต่อแถวถ่ายเยอะมาก ต่อให้ฝนตกเหมือนวันแรกคนก็เยอะ ดังนั้นปันก็เลยมาถ่ายรูปด้านข้างแบบนี้ ทำท่าเอามือลองให้ระดับมือพอดีกับฐานของตัวฮาจิโกะ ก็เอาล่ะ เพราะถ้าต่อแถวถ่ายแบบติดกับตัวรูปปั้นเลย ก็กลัวว่าจะเสียเวลามากไป เพราะกลัวจะถึงที่พักดึกเกิน
หลังจากถ่ายรูปฮาจิโกะเสร็จแล้ว ก็เป็นที่เที่ยวที่สุดท้ายของทริปคราวนี้ก็คือกลับที่พักกันแล้ว ปันนั่งรถไฟสายกินซ่า ตั้งแต่ต้นทาง นั่งไป 14 สถานีถึงสถานี สุเอะฮิโรโชะ (末広町駅) ราคา 180 เยน (~45 บาท) หลังจากออกมาจากที่พัก ก็แวะซื้อของที่ Lawson เล็กๆน้อยๆ แถวที่พัก จากนั้นก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อน
ปิด Day 3 เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับทริป Nihon Ichido 2023 ก่อนที่วันต่อมา ก็จะเป็นการเก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ แล้วเดินทางไปที่สนามบินนาริตะ (NRT) เพื่อขึ้นเครื่องกลับสู่ประเทศไทย จะเป็นอย่างไรก็ติดตามชมกันได้เลย
Contact Us

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา