26 ต.ค. 2023 เวลา 05:00 • ท่องเที่ยว
โตเกียว

Nihon Ichido EP.4

และแล้วคณะทัวร์ของปันก็ได้เดินทางมาถึงวันสุดท้ายแล้ว ของทริป Nihon Ichido 2023 ที่ญี่ปุ่นกันแล้ว หลังจากที่ได้เดินทางตามระยะเวลาการเดินทางมาตรฐานเที่ยวญี่ปุ่นของคนไทย คือ 5 วัน 3 คืน
ซึ่งในวันนี้ก็ไม่ได้เที่ยวไหนเลย คือเช็คเอาท์ออกจากที่พัก แล้วไปที่สนามบินกลับสู่ประเทศไทยทันทีเลย ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นก็มาติดตามชมกันได้เลย
  • Day 4 (7 October 2023)
วันนี้ไม่ได้ออกเช้าเหมือนทุกวัน ค่อนข้าง Free Day บ้างก็ไปช็อปเก็บตกแถวที่พัก บ้างก็อยู่ที่พักกันไป ปันนัดลูกทัวร์ เช็คเอาท์ไม่เกิน 9:45 เพราะต้องเผื่อเวลาไปที่สนามบิน ซึ่งขากลับ จะไม่ได้ขึ้นเครื่องที่ฮาเนดะ แต่จะขึ้นเครื่องที่นาริตะ ซึ่งห่างจากโตเกียวประมาณ 70 กิโลเมตร ซึ่งถ้านั่งรถไฟจะต้องนั่งถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง กว่าจะถึงสนามบิน
พอถึง 9:45 นาที ก็เป็นเวลาที่เช็คเอาท์กันแล้ว ต่างคนต่างก็ทยอยนำกุญแจไปคืนพนักงานเคาท์เตอร์ แล้วเดินออกจากที่พักทันที พนักงานไม่ได้ถามว่าลืมไรมั้ยนะ
*โรงแรมที่ญี่ปุ่นส่วนมากจะไม่มีการโทรเช็คว่าลืมของ ทรัพย์สินอะไรไว้ในห้องรึเปล่า ดังนั้น ต้องเช็คให้ดีเลยนะ ก่อนออกจากห้อง*
สถานีเคย์เซย์ อุเอะโนะ (京成上野駅)
หลังจากออกจากที่พัก ก็ถึงเวลาที่จะออกเดินทางไปที่สนามบินแล้ว โดยรถไฟที่จะนำพาเราไปที่สนามบินนาริตะที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีเคย์เซย์ อุเอะโนะ (京成上野駅) ซึ่งเป็นสถานที่ตรงมาจากสนามบินนาริตะ มีให้เลือก 2 แบบหลักๆ คือ
1.แบบรถไฟปกติ จะไปต่อที่สถานีเคย์เซย์ นาริตะ (京成成田駅) และ แบบสกายแอคเซส จอดไม่กี่สถานี ก็ถึงสนามบิน ในเวลา 1 ชั่วโมง
2.แบบพิเศษ คือสกายไรเนอร์ นั่งตรงจากอุเอะโนะ ไปที่สนามบินได้เลย แต่ต้องจองที่นั่งก่อน แล้วไปติดต่อพนักงานออกตั๋วรถไฟที่สถานี
ซึ่งปันเอาแบบแรก ที่เป็นแบบสกายแอคเซส (スカイアクセス) โดยจะนั่งไปถึงสนามบินได้เลย ไม่ต้องต่อ ในราคา 1,270 เยน (~320 บาท) เท่ากันกับแบบธรรมดา
หลังจากที่ได้ตั๋วมาแล้ว ก็หาอยู่ตั้งนาน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ รถไฟที่จะขึ้น เพราะปันซื้อของสกายแอคเซส (スカイアクセス) แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเลย มีไปผิดชานชลาด้วยนะ เพราะไปขึ้นชานชลา 2 ซึ่งเป็นของสกายไรเนอร์ (スカイライナー) ซึ่งคนละสายกัน สายนี้ต้องจองอย่างเดียว ราคา 2,550 เยน (~640 บาท)
ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องนั่งแบบธรรมดา ยิงยาวไปจนถึงสถานีเคย์เซย์นาริตะ แล้วต่ออีกขบวนเข้าไปที่สนามบินแบบงงๆ รถออกตอน 11 โมง 34 ขึ้นที่ชานชลาที่ 3 ตอนนั้นก็คือ ช่างมันเพราะราคามันเท่ากันกับของธรรมดา ช้าหน่อยไม่เป็นไร ยังดีที่เผื่อเวลาไว้นาน ก็เพื่อป้องกันเหตุแบบนี้นี่แหละ *จริงๆ ก็ไม่อยากให้มีบ่อยๆ หรอก*
หลังจากรถออกแล้วก็พยายามทำให้ตัวเราเฟรชชี่มาให้ได้ คิดว่าแบบ ครั้งหน้าถ้าได้ออกทริปใหม่ ก็คงคิดว่าจะต้องจองตั๋วทุกอย่าง ให้เสร็จสรรพเรียบร้อยกันก่อน ตั้งแต่อยู่ที่ไทยเลย
เพราะตอนนั่งรถจากมาเลเซีย ไปสิงคโปร์ นี่ก็ไม่ได้จองมาตั้งแต่แรก เลยให้เพื่อที่มาเลเซียจองให้ ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าไม่มีใครมาช่วยวันนั้น จะไปสิงคโปร์ยังไงเนี่ย
แต่ก็นะ แบ็คแพ็คเกอร์อย่างเรา บางทีการออกทริป ก็อาจจะมีการค้นพบข้อที่ต้องปรับปรุงของตัวเราอยู่บ้างละนะ และเราต้องปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ปันปัน แบกเป๋าแบกเป้
ออกมาได้สัก 10 นาที ก็ได้เห็นหอคอยโตเกียวสกายทรี ปรากฎตัวให้เห็น ส่งท้ายอำลาทริปญี่ปุ่นของปันในครั้งนี้แล้ว ที่ริมแม่น้ำเอโดงาวะ โดยนั่งไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รถไฟก็มาจอดที่สถานีสุดท้าย คือสถานี เคย์เซย์นาริตะ (京成成田)
แต่เรายังจะต้องนั่งรถอีกต่อไปที่ตัวอาคารผู้โดยสาร หรือ タミナル หรือ Terminal ประมาณ 10-15 นาที และในที่สุดปันก็ได้เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ จังหวัดชิบะ (成田国際空港) รหัส IATA : NRT เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประมาณบ่ายโมงกว่า ยังมีเวลาเหลืออยู่ ก็ไปกินข้าว-เดินเล่นตามอัธยาศัย
ป้ายสถานีนาริตะ Terminal 1
หลังจากออกจากตัวรถไฟแล้ว เราต้องเดินตามป้ายที่เขียนว่า International Terminal แล้วขึ้นไปที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นโถงเช็คอินผู้โดยสารขาออก ตามภาพ
ป้ายโถงผู้โดยสารขาออก สนามบินนาริตะ T1
วันนี้ปันนั่งเครื่องบินเที่ยวขากลับของสารการบิน Zip Air (ZG) 🟢⚫️ สายการบินน้องใหม่จากเครือสายการบิน Japan Airlines (JAL) ที่ให้บริการใหม่เมื่อไม่นานมานี้เอง ประมาณเกือบปีเห็นจะได้
คณะทัวร์ของปันบินในเที่ยวบินที่ ZG 051 ออกจากนาริตะ 5 โมงเย็น ถึงที่กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที
จุดเช็คอินจะอยู่ที่ Row D และ E อาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ด้านทิศเหนือ (北/North) สามารถเช็คอินออนไลน์ หรือที่ตู้ KIOSK ของสนามบินได้ และโหลดกระเป๋าแบบ Self Bagdrop เหมือนสุงรรณภูมิได้เหมือนกัน
ป้ายประชาสัมพันธ์ เคาท์เตอร์เช็คอิน
แต่ปันยังไม่ทำมัน ปันขอไปกินข้าวก่อน ขึ้นไปที่ชั้น 5 ของอาคารผู้โดยสาร มีเหมือนเป็นฟู้ดคอร์ด อาหารญี่ปุ่นทั่วไป มีทั้งราเมง อุด้ง แกงกะหรี่ต่างๆ มีเลือกหมดเลย ปันเลือกเป็นเมนูอุด้งเนื้อ คู่กับหัวหอมทอดแล้วก็ไก่ทอด ในราคาทั้งหมด 1,300 เยนโดยประมาณ (~325 บาท)
เมนูอุด้งที่สนามบินนาริตะ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ระหว่างรอลูกทัวร์อยู่นั้น ตามสไตล์ปันก็มาดูเครื่องบิน พอดีว่า ตรงฟู้ดคอร์ดมีทางไปชมเครื่องบินอยู่ ปันก็ไปดู พื้นที่ดูเครื่องบินของที่นาริตะจะเป็นลานกลางแจ้ง โซนกลางของอาคารผู้โดยสาร แต่ดูได้ไม่นาน ก็ถึงเวลาที่คณะทัวร์พร้อมไปเช็คอินกันแล้ว
จุดชมเครื่องบินสนามบินนาริตะ T1
แต่ว่าก่อนอื่น ลูกทัวร์ไปซื้อของที่ร้าน FA SO LA เป็นร้านของฝากประจำสนามบินนาริตะ โซนโถงอาคารผู้โดยสารฝั่งใต้ ร้านนี้ก็ขายของฝากส่วนมากเป็นประเภท Packaging คือ แพ็คห่อมาแล้วอย่างดี ซึ่งร้านนี้ก็ซื้อขนมที่เป็นอีกซิกเนเจอร์ของญี่ปุ่น นั่นก็คือ “โตเกียวบานาน่า 🍌” นั่นเอง เป็นเค้กทรงกล้วยหอมสอดไส้ครีมกลิ่นกล้วย ที่มาทุกครั้งก็จะซื้อกลับไทยทุกครั้ง
โตเกียวบานาน่า & ขนมมัทฉะ
ที่นี่ขายราคา 1,200 เยน (~300 บาท) ข้างในกล่องมี 8 ชิ้น และครั้งนี้ปันซื้ออีกอันหนึ่ง เป็นเค้กมัทฉะ ทรงกลม ราคา 1,080 เยน (~270 บาท) อันนี้ก็อร่อยเหมือนกัน เค้กมัทฉะนี้ก็เป็นเจ้าของเดียวกันกับ โตเกียวบานาน่า อร่อยไม่แพ้กัน
หลังจากซื้อของเสร็จแล้วก็เป็นการพาไปเช็คอิน โหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องกันได้ อย่างที่เกริ่นไป ที่นี่ใช้วิธี Self Chek In และ Self Bagdrop คือทุกอย่างทำเองทั้งหมดทุกขั้นตอน
เริ่มจากการเช็คอิน โดยเป็นการเช็คอินผ่าน KIOSK ของสนามบิน
  • 1.
    เลือกที่สายการบินที่เราจะนั่ง
  • 2.
    ถามข้อมูลความปลอดภัย
  • 3.
    สแกนพาสปอร์ต
  • 4.
    ขึ้นข้อมูลผู้โดยสารที่จอง
  • 5.
    พิมพ์ตั๋ว Boarding Pass
  • 6.
    เสร็จสิ้น
ตอนสแกน เหมือนตู้ KIOSK รู้ว่าเป็นพาสปอร์ตไทย ก็ขึ้นข้อมูลเป็นภาษาไทยให้เลยนะ
หลังจากที่เช็คอินรับตั๋ว Boarding Pass แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการโหลดกระเป๋า ซึ่งที่สนามบินนาริตะ ไม่เหมือนสุวรรณภูมิตรงที่ปรินท์แท็กโหลดกระเป๋า จะไปทำตรงเคาท์เตอร์โหลดกระเป๋าเลย ของสุวรรณภูมิจะทำได้ที่ตู้ KIOSK
ขั้นตอนการโหลดกระเป๋าที่สนามบินนาริตะ
  • 1.
    เลือกภาษา กด English
  • 2.
    เลือกสายการบิน
  • 3.
    อ่านคำถามความปลอดภัย แล้วกด Continue
  • 4.
    เอากระเป๋าไปวางตรงสายพาน โดยจะต้องวางในแนวราบ
  • 5.
    สแกน Boarding Pass ตรงเครื่องอ่าน
  • 6.
    ได้ใบแท็กแล้ว ทำการติดแท็กตามขั้นตอน หรือเรียกพนักงาน เพื่อที่จะทำการติดแท็กให้
  • 7.
    เสร็จเรียบร้อย กด Continue จากนั้นระบบจะสแกนกระเป๋า หาความถูกต้อง แล้วจากนั้นก็ลำเลียงโหลดใต้ท้องเครื่อง เป็นอันเสร็จสิ้น
หลังจากเสร็จการโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องแล้ว ก็จะเป็นการเข้าไปที่ข้างใน โดยผ่านการตรวจความปลอดภัย และผ่านตม.ญี่ปุ่น ขาออก
ซึ่งตม.ขาออกครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผายมือให้ปันไปที่ Autogate เพื่อทำพิธีการตม. วิธีการก็คือ กางพาสปอต์ตไว้ที่เครื่องอ่าน จากนั้นให้เรามองตรง คล้ายกับกระจกเงาเพื่อทำการถ่ายรูปเรา จากนั้นประตูก็จะเปิดออก นำพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ปั๊มตรงทางออก เท่านี้ก็เสร็จแล้ว
ทางเข้าจุดตรวจค้น สนามบินนาริตะ
หลังจากออกจากตม.แล้ว เวลายังเหลือประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ยังมีเวลาช็อปของฝากเก็บตกอีกรอบ ที่ร้าน FA SO LA ในตัวคองคอร์สผู้โดยสารขาออก แต่ร้านตรงนี้เหมือนของจะเยอะกว่าร้านแรก ที่อยู่ตรงโถงเช็คอินนะ
หลังจากซื้อของแล้ว ก็มารอที่ Gate ขึ้นเครื่อง วันนี้ขึ้น Gate 16 ปลายเหนือสุดของอาคารผู้โดยสาร T1 ในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน เมื่อถ่ายรูปออกมา จะได้ภาพที่ค่อนข้างจะสวยงามเลยทีเดียว
สนามบินนาริตะ ยามเย็น
สนามบินนาริตะ เป็นสนามบินที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นเป็นฐานการบินหลักของสายการบินสัญชาติญี่ปุ่นหลายสายการบิน เช่น JAL, ANA, Pach และ Zip Air มีอาคารผู้โดยสาร 2 หลังคือ T1 สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศโดยเฉพาะ และ T2 สำหรับเที่ยวบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
และเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศที่สำคัญ ที่จะเชื่อมการเดินทางไปหลายภูมิภาคทั่วโลก เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางทางอากาศระหว่างฟากฝั่งเอเชีย สู่ฟากฝั่งทวีปอเมริกา
โดยมีหลายสายการบิน ที่ทำการบินไปที่ทวีปอเมริกาโดยตรง เช่น United Airlines & American Airlines บินไปหลายเมืองในอเมริกา, Aero Mexico บินตรงยาวไปถึงประเทศเม็กซิโกเลย, Air Canada บินไปที่แคนาดา รวมไปถึงสายการบิน JAL & ANA ที่ก็มีเที่ยวบินไปทวีปอเมริกาเหนือด้วยเช่นกัน
อย่างสายการบิน Zip Air ที่ปันจะนั่งในวันนี้ ก็มีไฟลท์บินจากที่นาริตะ บินตรงสู่อเมริกาเช่นเดียวกัน เช่น ซานฟรานซิสโก, ซานโฮเซ่ หรือ ลอสแองเจลิส (SFO,SJC,LAX) ถือเป็นสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติเอเชีย ที่บินเข้าสู่ทวีปอเมริกาเป็นสายการบินแรกๆ และนอกจากนั้นก็มีเที่ยวบินไปในหลายประเทศ สู่ทวีปออสเตรเลีย และยุโรปอีกด้วย
และสนามบินนาริตะเป็นสนามบินที่มีการรองรับปริมาณผู้โดยสารมากเป็นอันดับสอง รองจากสนามบินฮาเนดะ ที่อยู่โตเกียว และเป็นอันดับหนึ่ง ที่มีการรองรับจำนวนเที่ยวบินมาที่สุดในญี่ปุ่น
Gate 16 สนามบินนาริตะ T1
เวลาประมาณ 16:20 พนักงานภาคพื้นดิน ได้ประกาศเรียกขึ้นเครื่อง (Boarding) ผู้โดยสารสายการบิน Zip Air เที่ยวบินที่ ZG 51 สู่สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทยแล้ว คณะทัวร์ของปันก็ได้เตรียมตัวความพร้อม ตรวจเช็คความเรียบร้อย โดยเฉพาะ Boarding Pass ที่จะยื่นให้เจ้าหน้าที่ พร้อมพาสปอร์ต ก่อนเดินเข้าเครื่องบิน
Boeing 787-9 สายการบิน Zip Air
เครื่องบินที่คณะทัวร์ของปันขึ้นในวันนี้ คือ Boeing 787-8 ของสายการบิน Zip Air เป็นเครื่องบินขนาดกลาง ลำตัวกว้าง พิสัยในการบินระยะไกล จึงไม่แปลกใจที่มีเที่ยวบิน ที่บินไกลไปได้ถึงอเมริกา
การจัดที่นั่งเป็นแบบ 3-3-3 ที่เบาะนั่งมีปลั๊กเสียบแบบ Universal ที่ตรงเบาะด้านหน้าทุกที่นั่ง หากได้หน้าหน้าสุด ตัวปลั๊กจะอยู่ใต้เบาะของเรา
ส่วนที่วางขาคือกว้างมาก ประมาณ 80 เซนติเมตร สามารถเหยียดขาได้สบายเลย ขนาดตัวปันที่รูปร่างค่อนข้างตัวใหญ่ แต่ก็ถือว่าเหยียดขาได้โอเคเลยละ และตรงเหนือที่วางอาหารด้านซ้ายจะมีปุ่ม 3 ปุ่ม สำหรับเปิด/ปิดไฟ และเรียกพนักงาน
เอ่อ…และตัวเบาะสามารถปรับเอนได้ประมาณ 60 องศาเลยนะ
เบาะ ตำแหน่งปลั๊ก และปุ่ม
และที่สำคัญคือ สายการบินนี้มีจุดขายในเรื่องที่สามารถเชื่อต่อ WiFi ฟรี และสามารถดูเป็นแบบ In Flight Entertainment ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเราได้ คล้ายกับของ SCOOT ที่สิงคโปร์ หลังจากที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่เพดานบินแล้วเท่านั้น ช่วง Taxiing, Take-Off & Landing จะยังไม่สามารถใช้ได้ โดยสัญลักษณ์รูป WiFi จะปรากฏเหนือหัวเราตามภาพ เพื่อรู้ว่าตอนนี้ WiFi สามารถใช้ได้แล้ว
ปันนั่งที่นั่งหมายเลข 34H เป็นที่นั่งตรงกลางฝั่งขวา บริเวณปีกเครื่องบิน ที่นั่งของปันจะหันออกไปทางภูเขาไฟฟูจิ เครื่องบินทำการ Pushback ออกจากสนามบินนาริตะตอน 17:00 ตรงตามเวลากำหนดเป๊ะ ความที่บนเครื่องบินไม่มี In Flight Entertainment ดังนั้นการสาธิตความปลอดภัย จะต้องเป็นหน้าที่ของลูกเรือทุกคน ที่จะมาทำการสาธิตอุปกรณ์ และความปลอดภัยต่างๆ บนเที่ยวบิน
เมื่อถึงปลายรันเวย์ หมายเลข 34L ตั๋วเครื่องบินก็ได้ทำการเร่งความเร็ว และทำการ Take Off เมื่อตอน 17:12 ณ จุดนี้ก็ถือว่าเป็นการออกจากประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้ว ในใจคิดว่า ขอบใจสำหรับทริป 4 วันที่ผ่านมานะ 👋🏻🇯🇵
จังหวัดชิบะ จากวิวบนเครื่องบิน
หลังจากที่เครื่องบินพยานไปถึงความสูงของเพดานบินแล้ว สัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดลง ขณะเดียวกันก็ขึ้นสัญญาณ WiFi ตรงป้ายไปเหนือศีรษะ หมายความว่า ตอนนี้เราสามารถใช้ WiFi บนเครื่องบินได้แล้ว
แต่ก็อย่างว่าแหละ สัญญาณเน็ตอาจจะยังไม่ดี เพราะว่าเป็นเน็ตใช้สัญญาณดาวเทียม ดังนั้นสัญญาณอาจไม่เสถียรในบางพื้นที่ และการใช้งาน ก็จะไม่สามารถส่งข้อความ หรือเล่นโซเชี่ยลได้ นอกจากใช้งานเว็บไซต์ของสายการบินเท่านั้น
รอบบินเหนือน่านฟ้าญี่ปุ่นประมาณ 2 ชั่วโมง จากโตเกียวไปจนถึง ATC โอกินาว่า เมื่อถึงเขตโอกินาวาแล้ว แสงอาทิตย์ทไวไลท์ยามเย็น ก็ได้ลารับของฟ้าไปแล้ว จากนั้นไฟในห้องโดยสารก็ได้หรี่ไฟลง เพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อน ซึ่งปันก็ได้งีบประมาณ 1 ชั่วโมง จนถึงแถวน่านฟ้าไต้หวัน (ATC ไทเป)
ปันได้สั่งของว่างมาทาน เป็นขนมปังพริงเกิ้ลรสเกลือ, ช็อกโกแล็ตคิ้วบ์ & วาฟเฟิลเนยน้ำผึ้ง ทั้งหมดนี้จ่ายในราคา 750 เยน (~200 บาท)
*จ่ายเป็นเงินเยนนะ & สั่งผ่านเว็บสายการบินเท่านั้น*
ของว่างบนเครื่องบิน
ในหน้าเว็บไซต์เรา มี 2 ตัวเลือกคือ บริการบนเครื่อง เช่น สั่งซื้อของ, อาหาร, ฟังเพลง, ดูหนัง และอีกตัวเลือกที่แยกออกมาก็คือ แผนที่การเดินทาง สามารถดูได้ว่าตอนนี้เราเดินทางถึงที่ไหนแล้ว
ตามสไตล์ไปแล้วปันชอบดู แผนที่การเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น Full Service ที่มีจอ หรือ Low Cost ที่ใช้ In-Flight En. จากมือถืออ่ะ
ซึ่งแผนที่การเดินทางของเที่ยวบิน Zip Air ทำมาค่อนข้างดี มีมุมมองต่างๆ ให้เราได้เลือกดูด้วย ไม่ว่าจะเป็นแบบ วิวหน้าต่าง, วิวห้องนักบิน, แบบเส้นทางการบินทั้งหมด หรือจะเป็นแบบบอกภาพรวมทั้งหมด ทั้งความสูง ความเร็ว ระยะทางที่จะเดินทางถึง
ประมาณ 40 นาทีก่อนลงจอด ลูกเรือประกาศให้รัดเข็มขัด พร้อมที่จะทำการลดระดับเพื่อลงจอด (Desend & Approach) เครื่องทำการหมุนรอบแถวเข้าใหญ่ (Go Around) 1 รอบ เพื่อลดระดับ จากนั้นแล้วก็เตรียมตัวเพื่อที่จะลงจอดที่สุวรรณภูมิ
ปันได้เห็นเมืองที่เต็มไฟด้วยไฟสีทอง จากท้องถนน บริเวณรังสิต-ปทุมธานี ก่อนที่เครื่องจะทำการ Landing จังหวะนั้นเครื่องบินมีการตกหลุมอากาศเล็กน้อย เนื่องจากบินผ่านพายุเมฆฝน จากนั้นไม่นาน ล้อเครื่องบินก็ได้แตะพื้น ณ ประเทศไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย ด้วยรันเวย์หมายเลข 19L เมื่อเวลา 21:20 ใช้เวลาบนอากาศทั้งหมดประมาณ 6 ชั่วโมง 10 นาที
เครื่องบินมาถือว่าเทียบท่าที่ Gate E9 ปลายสุดของคองคอร์ส E เมื่อตอน 21:29 ถือว่ามาเร็วกว่ากำหนดประมาณ 15 นาที (ตามกำหนดเดิมคือ 21:45) โดยเที่ยวบิน ZG 51 ของ Zip Air วันนี้ รับกระเป๋าที่สายพาน เบอร์ 18เข้า ตม.ขาเข้าโซนแรกสุด ออกมาแล้วก็เดินมารับกระเป๋าได้เลย
โถงผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ สนามบินสุวรรณภูมิ
จาก Gate E9 เราต้องเดินไปที่ป้ายผู้โดยสารขาเข้าประมาณ 485 เมตรจากตรงนี้ เมื่อถึงตม.แล้ว ยื่นพาสปอร์ต และ ตั๋วเครื่องบินให้เขาได้เลย วันนี้ Autogate ปิด จะต้องมาที่ช่องเจ้าหน้าที่ปกติ สำหรับเราคนไทย ก็ให้เดินเข้าช่องพาสปอร์ตไทยได้เลย ตม.ไม่ถาม ให้เราสแกนนิ้ว แล้วมองกล้อง ก็ออกมาได้เลย
หลังจากออกมาแล้วก็ ไปที่รับกระเป๋าสายพานเบอร์ 18 ระหว่างรอกระเป๋าปัน ตามสไตล์ปันเมื่อออกจากตม.แล้วก็คือมาแลกเงินเยน กลับเป็นเงินไทย ปันแลก 5000 เยน ได้มาประมาณ 830 บาท ค่อนข้างกดราคาอยู่ เพราะ ณ ตอนนั้น 1 เยนอยู่ที่ 0.245 แต่เคาท์เตอร์แลก พึ่งเห็นตอนแลกแล้วเห็นว่า 1 เยนเหลือแค่ 0.227 เท่านั้นอ่ะ 😢
หลังจากที่กระเป๋าปันมาถึงแล้ว ก็ไปที่ช่องศุลกากร สำหรับปันไม่มีของต้องสำแดงอยู่แล้ว ก็เข้าช่องเขียวได้เลยทันที
จากนั้นก็นั่งแอร์พอร์ตลิ้งค์จากสุวรรณภูมิ ไปที่ราชเทวี แล้วก็ได้แยกกับคณะทัวร์ของปันไว้ที่นี่ ซึ่งคณะทัวร์ได้เดินทางกลับไปที่บ้านที่เมืองกาญจ์นเลย ส่วนปันก็ไปนอนที่คอนโดที่รังสิตก่อน แล้วเช้าวันต่อมา ค่อยกลับเมืองกาญจ์น
นับเป็นการปิดทริปการท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น โตเกียว-นิกโก้ 5 วัน 3 คืน ในนามของทริป Nihon Ichido 2023 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณทุกคนที่ได้ติดตาม และรับชมการเดินทางเที่ยวในครั้งนี้ สำหรับทริปหน้า จะเป็นอะไรนั้น ก็ติดตามกันต่อไปเรื่อยๆ ได้เลย ไม่ทิ้งขาดอย่างแน่นอน 😙😙😙
Contact Us

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา