29 ต.ค. 2023 เวลา 06:11 • ท่องเที่ยว
เกาะฮ่องกง

ร้านเด็ดต้องลองใน Hong Kong

Chapter 65: Culinary Journey in Hong Kong
ได้เวลาไปหาไรหม่ำที่ฮ่องกงกันแล้ว ทริปนี้ก็เป็นทริปที่รอคอยของสมาชิกในครอบครัวผู้ชื่นชอบการกินมากๆ และก็ต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า Blog ฮ่องกงอันนี้กิจกรรมก็คือไม่มีไรเลยน้า นอกจากออกไปกิน 😋
ทริปนี้เราไปกันเมื่อเดือน ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา ก็คือกลับจากลอนดอนปุ๊บก็โชคดีได้มาฮ่องกงต่อเลย ที่ดองไว้นานไปหน่อยเพราะมัวแต่เขียน Blog อังกฤษอย่างเมามัน และต้องขออภัยล่วงหน้าหากมีข้อมูลบางอย่างที่อาจจะไม่อัพเดทแล้ว 🙇‍♀️
1
สมาชิกส่วนนึง
หลังจากเครื่องถึงฮ่องกงเรียบร้อยเราก็เอาบัตร Octopus ที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้วไปอัพเดทดูว่ายังใช้ได้มั้ย ก็ปรากฎว่ายังใช้ได้ตามปกติเลยเติมเงินซะเลย เพราะบัตรนี้นอกจากจะใช้จ่ายค่าโดยสาร ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถแท็กซี่ เรือเฟอร์รี่แล้ว ยังสามารถใช้แทนเงินสดซื้อของได้อีกหลายที่เลย ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านขายของ เรียกว่าพกบัตร Octopus ไว้สบายใจหายห่วง
แล้วที่ประทับใจอีกอย่าง ณ วันที่เราไปถึงฮ่องกง เค้ามีแจก voucher แทนเงินสดมูลค่า HKD 100 ให้นักท่องเที่ยวด้วย โดยก่อนออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า จะเจอเคาน์เตอร์นี้ดักรออยู่ เราก็แค่ลงทะเบียนเพื่อรับบัตรนี้ จากนั้นก็เข้าไปทำตามขั้นตอนในโทรศัพท์มือถือ (ซึ่งเอาจริงตอนทำขั้นตอนต่างๆ จัดว่ายุ่งยากเหมือนกันกว่าจะเสร็จ) จากนั้นก็ใช้จ่ายค่ารถไฟเข้าเมืองได้เลย ช่วยเราประหยัดเงินได้ดีมากๆ
นั่งรถไฟเข้าเมืองฟรี !!! โชคดีจัง
ไม่ได้มาฮ่องกงตั้งหลายปี ร้านค้าร้านอาหารทั้งหลายก็ยังเปิดกันคึกคักเหมือนเดิม อาจจะมีร้านเก่าออกไปแต่ก็มีร้านใหม่เข้ามาแทน เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเสมอในฮ่องกง ความแตกต่างอย่างเดียวที่เห็นคือ นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนยังดูน้อยกว่าช่วงก่อนโควิทมาก แต่ก่อนนี่เห็นเดินกันเต็มถนน ยืนต่อแถวหน้าร้านแบรนด์เนมกันยาวเหยียด
หลังจากเข้าโรงแรม check in เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไป ทีมนึง 5 คนมุ่งหน้าไป Disneyland ส่วนอีกทีม 5 คนมุ่งหน้าไปหาของกินซึ่งต้องข้ามไปที่ฝั่งฮ่องกงและเราจะไปด้วยเรือ Ferry กัน
เราพักที่โรงแรม Gateway Hong Kong ซึ่งทำเลเลิดมาก มีทุกอย่างพร้อมเพราะอยู่ติดกับ Harbour City ที่เป็น Shopping Mall ขนาดใหญ่ และจากโรงแรมจะมีทางเดินเชื่อมมาที่ Harbour City ทะลุมาถึงท่าเรือ Star Ferry ได้เลย สะดวกมาก
บริเวณท่าเรือ คนเยอะมาก
ดีนะที่เราใช้บัตร Octopus เพราะเห็นมีนักท่องเที่ยวที่ไม่มีบัตรมาต้องไปยืนต่อคิวซื้อตั๋วแถวยาวเชีย
นั่งเรือข้ามฝาก บรรยากาศดี
เราไม่เคยมาฮ่องกงช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ปกติจะมาเดือน ก.พ. หรือ มี.ค. อากาศช่วงนี้ร้อนน้องๆ เมืองไทยเลยแหละ 🥵 เดินไปไหนก็ตัวเปียกกันเลย
ถึงฝั่งฮ่องกงก็เดินตาม Google Map ไป
ร้านแรกที่เรามาคือร้านห่านย่างชื่อ Yat Lok (ยัดหล่อก)
Yat Lok
Yat Lok เป็นร้านห่านย่างขนาดห้องแถวเดียวที่ได้มิชลิน Bib Gourmand มาตั้งแต่ปี 2013 แล้วนะแถมตอนนี้ดาวหน้าร้านเพี๊ยบบบจนจะไม่มีที่ติดละ
รางวัลการันตีความอร่อย…เพียบ
เรามาถึงประมาณบ่ายสามที่หน้าร้านก็มีคิวรออยู่ละ บอกทางร้านก่อนเลยว่านั่งแยกกันได้ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ได้กิน รอประมาณ 10 นาทีก็ได้โต๊ะค่ะ
บรรยากาศภายในร้าน คนเต็มเลย
สรุปได้แยกกันนั่ง 2 โต๊ะ โต๊ะเรา 3 คน สั่งมา 2 อย่างพอคือหมูแดงหมูกรอบและห่านย่างครึ่งตัว เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปกินมื้อเย็นอีกร้าน จริงๆ ร้านเค้าดังก๋วยเตี๋ยวขาห่านย่างนะ แต่เรากลัวอิ่มเกิน เอาแค่จิ๊บๆ พอ
เป็นห่านย่างที่เด็ดฝุดๆ
โห…เนื้อห่านคือดีมาก โคดนุ่มและมีความชุ่มฉ่ำ ไม่แห้งและไม่มีกลิ่นสาปเลย มันหอมกลิ่นย่างไฟนิดๆ กินแล้วนัวมาก เราเคยกินแต่ห่านย่างร้าน Yung Kee (หย่งเก) มาตลอดไม่เคยชิมร้านอื่นเลย เพิ่งรู้ว่าร้านนี้อร่อยเด็ดสมคำร่ำลือจริงๆ
ส่วนหมูแดงหมูกรอบยังไม่โดน รู้สึกว่ามันแข็งและแห้งไปหน่อย แต่ห่านนี่ต้องยกนิ้วให้เลย สุดจริง 👍
กินเสร็จก็กลับไปนอนผึ่งพุงที่โรงแรมต่อ ในขณะที่ทีมที่ไป Disneyland ต้องพกความหิวโซและโทรมทรุดทะราดกลับมาเพราะอากาศร้อนมาก และอาหารที่ Disneyland แพงจนซื้อไม่ลงเลยหิ้วท้องมารอกินมื้อเย็นโดยเฉพาะ อิอิ น่างสานจัง ดีนะที่เราคิดถูกไม่ไปด้วย และร้านต่อไปไม่น่าจะทำให้ลูกทีมผิดหวังแน่ๆ
ร้านที่ 2 มื้อเย็นของเรา ไปกินร้านเนื้อย่างชื่อ Yakiniku Great เป็นร้านปิ้งย่างแบบโอมากาเสะ นี่ก็เพิ่งรู้ว่าอาหารปิ้งย่างก็มีแบบโอมากาเสะซะด้วย
ร้าน Yakiniku Great เค้าเปิดใน 4 ประเทศแล้ว มีที่ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย และก็ไทย ของไทยอยู่ที่ถนนสุขุมวิท 49 นี่เองแต่เราไม่ไปกิน เราจะมากินที่ฮ่องกง…อาไรของเอ็งเนี่ย 🤣
ที่ฮ่องกงร้านอยู่ที่ Sheung Wan ซึ่งก็อยู่ที่ฝั่งฮ่องกงอีกเช่นเคย แต่คราวนี้เรานั่งรถไฟใต้ดินไปกัน
คำเตือน: ข้อเสียของการมาฮ่องกงช่วงหน้าร้อนก็คือเวลาขึ้นรถไฟใต้ดินจะอบอ้าวหน่อย และอาจจะมีกลิ่นตัวของเราและผู้โดยสารท่านอื่นลอยมาปะปนกัน ต้องทำใจหน่อยนะจ๊ะ 🤪 …พักจากเรื่องกลิ่นไปเรื่องกินกันเถอะ
Yakiniku Great
ถึงร้านแล้ว พร้อมกับห่านในกระเพาะเมื่อตอนบ่ายที่ได้อันตรธานหายไปหมดแล้ว ตอนนี้พร้อมกินเนื้อย่างมาก อ้อ…ลืมบอก ร้านนี้ต้องจองมาเด้อ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง
ร้านเค้าเน้นเสิร์ฟเฉพาะเนื้อวากิวเกรด A5 นำเข้าจากญี่ปุ่น มันก็จะเป็นเนื้อติดมันลายสวยๆ แต่กินเยอะๆ ก็เลี่ยนได้เลยแหละ
การสั่งอาหารก็จะเป็นเซ็ตให้เลือกคนละ 1 เซ็ต จะมีแบบ Omagase T A K E ที่จะเสิร์ฟคนละ 6 คำ แบบ Omagase Matsu เสิร์ฟคนละ 8 คำ และแบบ Omagase Kiwami 8 คำเหมือนกัน แต่เซ็ตนี้จะมี Uni Chateau Briand ในเซ็ตด้วย
ครบทีมละ พร้อมกินมาก
ในการเสิร์ฟเค้าก็จะเสิร์ฟสลับกันระหว่างเนื้อมันมากกับมันน้อย โดยเนื้อแต่ละแบบก็จะใช้เวลาย่างไม่เท่ากันแล้วแต่ชนิดของเนื้อ โดยเค้าจะบอกเลยนะว่าเนื้อนี้ต้องย่างข้างละกี่วินาทีถึงจะพอดี เมนูไหนที่ย่างพิถีพิถันหน่อยก็จะมี พนง. มาย่างให้
จำไม่ได้นะว่าจานไหนคือเนื้ออะไร รู้แต่ว่าอร่อยทุกจาน
หิวๆ มานี่ก็แอบช็อตฟิลเล็กน้อย 😂 นึกว่าจะเจี๊ยะได้เลย และพอย่างตามที่เค้าแนะนำมันก็อร่อยจริงๆ แหละ
Yakiniku Great
กินกันจนมาถึงเมนูไฮไลต์คือ Uni Chateau Briand Don จานนี้จะมาพร้อมกับอูนิ (ไข่หอยเม่น) และข้าวสวย
Uni Chateau Briand Don
ย่างเนื้อเสร็จก็เอาไปวางบนข้าวแล้วท็อปด้วยอูนิ โรยต้นหอมเล็กน้อยจะได้เป็นหน้าตาแบบนี้
Uni Chateau Briand Don
เมนูนี้อร่อยมากๆ เพราะมันมีความนุ่มและหอมของเนื้อย่างกับความมันๆ ครีมๆ ของอูนิ กินพร้อมข้าวเพื่อช่วยตัดเลี่ยน มันเข้ากันได้ดีมากๆ เลย ตบท้ายเมนูนี้เข้าไปนี่อิ่มแบบโคดอิ่มเลยทีเดียว ไม่นึกว่าแค่เซ็ต 8 คำจะพาให้เราอิ่มได้ขนาดนี้
ก็จบการกินในวันที่ 1 แต่เพียงเท่านี้ค่า
วันที่ 2 ตื่นไปกินโจ๊กกัน ร้านที่ 3 ละนะ
ความที่มาฮ่องกงกี่ทีเราไม่เคยคิดจะตื่นมากินโจ๊กเลย คราวนี้ก็ไปลองหน่อยซิ เห็นพี่ๆ ชอบกันนักกันหนา จากโรงแรมเราเดินไปที่ร้านนี้เลย Master Congee
Master Congee
คนไทยน่าจะรู้จักกันดี เพราะในร้านมีแต่เสียงพูดภาษาไทยเต็มไปหมด นึกว่าอยู่ร้านโจ๊กสามย่านเลย 😁
Master Congee
เราสั่งเป็นโจ๊กใส่ตับมา น่ากินมากกก
ชอบโจ๊กสไตล์ฮ่องกงที่ข้าวมันจะข้นๆ เป็นเนื้อเดียวกัน ตับเค้าก็นุ่มมากและไม่มีกลิ่นเลย แต่ชิ้นมันใหญ่และหนามาก เรากลับรู้สึกชอบตับแบบไทยมากกว่าที่มันยังมีรสสัมผัสแบบสากๆ นิดๆ ตับสไตล์ฮ่องกงกินเยอะๆ แล้วมันจะเลี่ยนไปหน่อย
จากมื้อเช้าก็ไปต่อมื้อเที่ยง ร้านที่ 4 เป็นร้านโปรดของพวกเราเลย Seventh Son แต่ก่อนจะกินร้านนี้ต้องข้ามไปฝั่งฮ่องกง ตอนนี้เค้าเปิดสาขาใหม่ที่เกาลูนแล้ว จากโรงแรมเดิน 10 กว่านาทีก็ถึง ร้านนี้ก็ต้องจองมาก่อนนะ
Seventh Son Restaurant
สั่งกันมาเต็มโต๊ะเพราะติ่มซำร้านนี้จัดว่าอร่อยเลย
Seventh Son Restaurant
และเมนูที่ห้ามพลาดเวลามาร้านนี้คือ หมูหัน ต้องจองล่วงหน้าด้วยนะเพราะใช้เวลาทำนาน
หมูหันจานอร่อย
เป็นหมูหันสไตล์ฮ่องกงที่เค้าจะแล่แบบติดเนื้อนิดหน่อย ซึ่งปกติที่บ้านเราจะไม่ค่อยชอบแบบนี้เพราะมันจะมีกลิ่นสาปของเนื้อหมูติดมา แต่ของที่ร้านนี้คือดีย์ หนังที่ติดเนื้อหน่อยๆ ย่างมาจนกรอบและหอมมาก ถือว่าเด็ดมาก
ต่อไปเป็นมื้อเย็นร้านที่ 5 กันละ ร้านนี้อยู่ที่โรงแรม Renaissance Hong Kong Harbour View Hotel ฝั่งฮ่องกงอีกแล้ว คราวนี้ก็นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฝากอีกแล้ว ชมบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินกันมั่ง
จากท่าเรือฝั่งฮ่องกงเราเดินขึ้นสะพานลอยจะมีทางเชื่อมที่พาไปถึงโรงแรม Renaissance ได้เลย เดินไกลนิดนึงประมาณ 15 นาทีถือว่าบริหารกระเพาะ
Dynasty
ร้านเค้าได้ award-winning Chinese restaurant ด้วยนะ เมนูเด็ดเค้าจะเป็น Barbecued Pork หรือหมูย่าง ชิมละ อร่อยจริงมีความนุ่มและหอมมาก 👍
ถ่ายภาพทันไม่กี่เมนู เพราะกลัวอดกิน 😅
วันนี้มีเมนูพิเศษเป็น Deep-fried Fresh Lobster in Chef's Signature Sauce served with Deep-fired Bun อย่าให้แปลเป็นภาษาไทยเลยนะ แปลไม่ถูก 🤣 เอาเป็นว่ามันคือกุ้งล็อบสเตอร์ที่เอาไปทอดแล้วก็ราดด้วยซอสที่เชฟทำขึ้นเป็นพิเศษ เสิร์ฟมาคู่กะขนมปังทอด อร่อยดี เราสั่งมาแค่ 5 ตัวแล้วแบ่งครึ่งแชร์กัน
ซอสรสชาติหยั่งกะแกงปูใบชะพลูเลย
แล้วก็ปลาเก๋าแดงนึ่งซีอิ๊วที่กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่ากินที่ฮ่องกง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทั้งความสดของปลาที่นึ่งออกมาได้ดีมาก เนื้อปลาไม่เหนียวเกินไป น้ำซอสไม่เค็มเกินไปหอมซีอิ้ว รวมกันออกมาอร่อยเสมอ
Dynasty
โอย…อิ่มมากๆ ได้เดินย่อยกลับไปขึ้นเรือ Ferry พอหายจุกหน่อย
คืนนี้ไม่มีไรทำก็เลยไปเดินเล่นกันแถวศูนย์วัฒนธรรมที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรม ค่ำแล้วอากาศก็ยังร้อนอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะอบอ้าวเหมือนบ้านเราเลย ลาคืนนี้ไปกะวิวสวยๆ ยามค่ำของฮ่องกงนะคะ
ฮ่องกงยามค่ำ
วันสุดท้าย ตื่นสายๆ แล้วไปไหว้พระที่วัดก่อนกลับบ้าน ขอความเป็นศิริมงคลซักหน่อย
Che Kung Temple (แชงกงหมิว)
เราไปที่ Che Kung Temple (แชงกงหมิว) หรือวัดกังหัน ปกติจะนั่งรสบัสมาคราวนี้นั่งรถไฟใต้ดินมาเลยได้เห็นว่าสถานี Che Kung Temple หรือ สถานี Tai Wai ที่เราลง ข้างในเป็น Shopping Mall ขนาดใหญ่เลย มีของกินเพียบ แต่วันนี้มีแพลนแล้วว่าจะไปกินมื้อเที่ยงต่อก็เลยต้องขอบายที่นี่ไปก่อน
ป.ล. สำหรับทริปไหว้พระที่ฮ่องกงเราเคยเขียนไว้แล้วอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยค่ะ 😄
เดี๋ยวปีหน้าคงได้ไปอีก จะถ่ายภาพให้สวยขึ้นแล้วเอามาฝากอีกนะคะ
หลังจากไหว้พระเสร็จเราก็พุ่งตัวไปกินร้านสุดท้ายของทริปนี้กันต่อเลย นั่นคือราเม็งข้อสอบ Ichiran Ramen (อิจิรันราเมง) 😁 เป็นร้านที่คิดถึงเหมือนกัน
แต่ปรากฎว่าไปถึงร้านคิวยาวจนขึ้นมาถึงถนน และคาดว่าอาจจะต้องยืนรอนานเป็นชั่วโมงเพราะเรามีกัน 10 คน อากาศก็ร้อนแฮ่กๆ เลยตัดสินใจไม่กินก็ได้ฟระ 🥲 เดินไปกินร้านติ่มซำที่อยู่ตรงข้ามแทน ซึ่งไม่ค่อยอร่อยเลย เลยขอไม่พูดถึงร้านที่ 6 นะคะ
กินเสร็จก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลาแถวโรงแรม จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่ไปสนามบิน จ่ายค่าแท็กซี่ด้วยบัตร Octopus อีกเช่นเคย
ก่อนปิดจบทริปก็ไปตกได้อีกมื้อที่ Food Court ที่สนามบิน เพราะผิดหวังจาก Ichiran ก็เลยมากินราเม็งที่นี่แทน พอถูไถไปได้หน่อย
ราเม็งฮีลใจ
สำหรับ Blog นี้ก็เป็นทริปฮ่องกงของเราที่ยังคงอิ่มอร่อยเหมือนเคย สนุกทุกครั้งที่ได้มา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วพบกันใน Blog ต่อไปค่ะ จะมีเรื่องกินมาเล่าให้อ่านอีกแล้วนะ 😊
โฆษณา