23 ต.ค. 2023 เวลา 11:20 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 27

หยางจื้อ สัตว์หน้าคราม (2) กองหน้าเลือดพล่าน
เหลียงจ้งซู 梁中书 เป็นชื่อเรียกตำแหน่งของเจ้าเมืองต้าหมิงฝู่ 大名府 ผู้มีชื่อตัวว่าเหลียงสื้อเจี๋ย 梁世杰 ก่อนย้ายมาเป็นเจ้าเมืองต้าหมิงฝู่เคยรับราชการอยู่ที่ตงจิงเมืองไคเฟิง เป็นบุตรเขยของไฉ้จิงราชครูของราชวงศ์ 太师蔡京
วันที่เก้าเดือนยี่ สองผู้คุมนำตัวหยางจื้อมาส่งมอบ เหลียงจ้งซูจำหยางจื้อได้ด้วยเคยได้ยินชื่อมาตั้งแต่ตนยังอยู่ตงจิง ประกอบกับตนกำลังต้องการใช้คนมีฝีมืออยู่ พอรับมอบตัวแล้ว ก็ให้ถอดคาออกทันทีและให้หยางจื้อคอยรับใช้งานอยู่ในจวน
หยางจื้อเป็นคนขยันขันแข็ง เหลียงจ้งซูพึงพอใจและคิดจะส่งเสริมหยางจื้อ แม้เหลียงจ้งซูเองจะรู้ว่าหยางจื้อเป็นคนมีฝีมือแต่หากจะตั้งให้มีตำแหน่งขึ้นมาเฉยๆ ก็เกรงจะเป็นที่ครหาของขุนนางนายทหารอื่นๆ จำต้องให้เป็นที่ยอมรับเสียก่อน
เหลียงจ้งซูจึงมีคำสั่งให้บรรดาขุนนางฝ่ายทหารใต้บังคับบัญชามาประลองฝีมือกันที่ลานฝึกประตูตงกวอ 东郭门 ในวันรุ่งขึ้น เย็นวันนั้นเหลียงจ้งซูก็เรียกหยางจื้อเข้าพบ และแจ้งวัตถุประสงค์ของตนที่คิดจะส่งเสริมหยางจื้อ แล้วมอบเสื้อเกราะให้ชุดหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สิบห้าเดือนยี่ บรรดานายทหารมาชุมนุมกันที่ลานฝึกประตูตงกวอตามนัดหมาย บนเวทีกลางมีผู้กำกับทหารประจำเมือง 都监 สองนาย นายหนึ่งคือ โลกบาลหลี่ หลี่เฉิง 李天王李成 อีกนายหนึ่งคือ ง้าวใหญ่เหวิน เหวินต๋า 闻大刀闻达 ทหารเกือบทั้งหมดอยู่ใต้บังคับบัญชาของทั้งสอง เมื่อเหลียงจ้งซูมาถึง ทหารรัวกลองเริ่มพิธีแล้ว เหลียงจ้งซูก็เรียกรองนายกองทหาร โจวจิ่น 周谨 ออกมาประลองกับหยางจื้อผู้มาอยู่ใหม่
ก่อนเริ่มประลอง เหวินต๋าเสนอว่า “แม้การประลองของทั้งสองยังมิอาจรู้ได้ว่าฝีมือใครสูงหรือต่ำกว่า แต่ก็เป็นการประลองในหมู่ทหาร ไม่ใช่การออกศึกหรือปราบโจร หอกดาบไร้เมตตา หากพลาดพลั้งอย่างเบาก็บาดเจ็บ อย่างหนักอาจถึงแก่ชีวิต ล้วนไม่เป็นผลดีต่อทหาร ขอให้นำคมทวนทั้งสองเล่มห่อด้วยสักหลาด แล้วคลุกด้วยขี้เถ้าหรือฝุ่นผงบนพื้น ส่วนคู่ประลองให้สวมชุดดำ หากใครมีรอยด่างขาวปรากฏมากกว่านับเป็นฝ่ายแพ้"
1
คู่ประลองจึงเปลี่ยนชุดดำ เอาสักหลาดพันปลายทวนคลุกขี้เถ้า เข้าสู่ลานประลอง โจวจิ่นถือทวนควบม้าพุ่งหาหยางจื้อ หยางจื้อโผนม้าเข้าประทวน พันตูกันไปมาได้สี่ห้าสิบเพลง ก็เห็นโจวจิ่นลายเป็นเต้าหู้บด มีแต้มราวสามสี่สิบแต้ม ส่วนหยางจื้อมีรอยด่างขาวใต้แขนซ้ายหนึ่งแห่ง เหลียงจ้งซูมีความยินดี จากผลการประลองจึงให้ปลดโจวจิ่นและให้หยางจื้อเข้ารับตำแหน่งรองนายกองแทน
หลี่เฉิงจึงค้านว่า “โจวจิ่นแม้ฝีมือทวนจะอ่อนอยู่บ้าง แต่ฝีมือยิงธนูบนหลังม้านั้นดีนัก หากปลดจากตำแหน่งเกรงว่าจะเป็นการทำลายขวัญทหาร ขอให้มีการประลองธนูกันใหม่ระหว่างโจวจิ่นและหยางจื้อ”
หยางจื้อเก็บทวนเข้าที่ หยิบคันธนูขึ้นจากซองธนู ควบม้ามาหน้าโถงกล่าวว่า “นายท่าน ธนูหากยิงออกไปแล้วเกรงว่าต้องมีการบาดเจ็บ ขอได้โปรดมีบัญชา”
เหลียงจ้งซูว่า “นักรบประลองฝีมือเกรงอะไรกับการบาดเจ็บ อยู่ที่ฝีมือ แม้ตายก็ไม่เป็นไร”
หลี่เฉิงจึงมีคำสั่งให้ผู้ประลองธนูทั้งคู่ใช้โล่ป้องกันธนูมัดไว้กับแขน
หยางจื้อกล่าวว่า “ท่านยิงก่อนสามดอก จากนั้นข้าจึงเป็นฝ่ายยิงบ้างสามดอก”
โจวจิ่นได้ฟังแล้ว ชังจนอยากยิงหยางจื้อให้พรุนเสียเดี๋ยวนั้น
บนเวทีโบกธงเขียวให้เริ่มประลองได้ หยางจื้อควบม้าหนี โจวจิ่นควบม้าไล่ ใช้มือซ้ายจับคันธนู มือขวาพาดศรง้างสายธนูยิงใส่หยางจื้อ หยางจื้อได้ยินเสียงสายธนูด้านหลัง ทิ้งตัวจากอานม้าลงมาเรี่ยพื้น ธนูดอกนั้นพุ่งข้ามไป
โจวจิ่นยิงไม่ถูกดอกแรก เริ่มกังวล หยิบลูกศรดอกที่สองพาดสาย เล็งยังแผ่นหลังหยางจื้อแล้วยิงออกไป หยางจื้อได้ยินเสียงสายธนูลั่น คราวนี้ไม่หลบ ใช้คันธนูที่ถืออยู่หันปัดลูกธนูกระเด็นตกพื้นไป โจวจิ่นยิงไม่ถูกเป็นดอกที่สอง ยิ่งกังวลหนัก
หยางจื้อควบม้ามาสุดลาน ทิ้งตัวเรี่ยพื้นกลับม้าแล้วขึ้นควบตรงมาหน้าเวที โจวจิ่นกลับม้าตามมา หยิบลูกศรดอกที่สามพาดสาย เล็งยังหัวใจหยางจื้อจากด้านหลังแล้วยิงออกไป หยางจื้อได้ยินเสียง คะเนจังหวะแล้วหันมาใช้มือคว้าลูกศรไว้ ควบมาหน้าห้องโถงแล้วขว้างลูกธนูทิ้งกับพื้น
แล้วก็เป็นทีของหยางจื้อบ้าง ธงเขียวโบกให้เริ่ม โจวจิ่นทิ้งคันธนูหยิบโล่ขึ้นมา ควบม้าหนีไปทางใต้ หยางจื้อกระทืบโกลนควบตามมา แล้วแกล้งเหนี่ยวสายธนูเปล่าปล่อยออกไป โจวจิ่นได้ยินเสียงสายธนู หันมายกโล่ขึ้นบัง แต่ไม่เห็นมีอะไร จึงคิดเอาว่า
“ไอ้หมอนี่ใช้เป็นแต่ทวน ยิงธนูไม่เป็น รอครั้งที่สองหากยังยิงธนูเปล่ามาอีก จะตะโกนบอกให้หยุด ถือว่าข้าชนะ”
โจวจิ่นควบม้าจนสุดลานทางใต้ จึงกลับม้ามายังห้องโถง หยางจื้อก็กลับม้าบ้างหยิบลูกศรจริงขึ้นพาดสาย คิดว่า
“หากยิงถูกหัวใจจากด้านหลัง คงถึงตายแน่ ข้ากับเขาไม่มีความแค้นต่อกัน ส่าเจียยิงเอาแผลที่ไม่ต้องถึงแก่ชีวิตก็พอ”
左手如托太山,右手如抱婴孩,
弓开如满月,箭去似流星。
แขนซ้ายดุจโน้มเขาไท่ซาน
แขนขวาปานโอบอุ้มทารกอ่อน
คันธนูโก่งกลมเพ็ญจันทร
ลูกศรหลุดแล่งดุจผีพุ่งไต้
ลูกธนูถูกไหล่ซ้ายของโจวจิ่นจนตกม้าร่วงสู่พื้น ม้าเปล่าวิ่งออกนอกลานประลองหายไป พวกทหารเลวรีบวิ่งเข้ามาช่วยโจวจิ่น
เหลียงจ้งซูยินดียิ่ง สั่งให้หยางจื้อเข้ารับหน้าที่แทนโจวจิ่น
得罪幽燕作配兵,当场比试死相争。
能将一箭穿杨手,夺得牌军半职荣。
1
ทหารโทษเนรเทศสู่อิวเอี้ยน
ชนะประลองเปลี่ยนชะตาคาสนาม
ธนูไกลตัดใบหลิ่วน่าครั่นคร้าม
จารึกนามนายทหารงานชั่วคราว
(อิวเอี้ยน 幽燕 พื้นที่ภาคเหนือจรดเกาหลีครอบคลุมอาณาเขตรัฐเอี้ยน 燕 โบราณ เมืองต้าหมิงฝู่อยู่ในภาคเหนือนี้)
มิคาด มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านล่างทางซ้ายมือ “อย่าเพิ่งรับตำแหน่ง ข้าขอประลองกับท่าน”
หยางจื้อมองไปก็เห็นเป็นชายร่างสูงราวเจ็ดฉื่อ ใบหน้ากลมใบหูใหญ่ ปากกว้าง มีเคราข้างแก้ม ท่าทางองอาจห้าวหาญ ก้าวออกมาตรงหน้าเหลียงจ้งซูขานคารวะ 唱喏 แล้วว่า
“โจวจิ่นป่วยอยู่ยังไม่หายดี สติไม่มั่นคงจึงพลาดท่าพ่ายให้แก่หยางจื้อ ข้าน้อยไร้ความสามารถ ใคร่ขอประลองกับหยางจื้อ หากพลาดท่าพ่ายแพ้แม้ครึ่งกระบวน อย่าว่าแต่ตำแหน่งของโจวจิ่นเลย ให้หยางจื้อมาแทนตำแหน่งของข้าน้อยทีเดียว หากถึงตายก็ไม่ขอโทษใคร”
เหลียงจ้งซูมองดูนายทหารที่อยู่ตรงหน้า เห็นว่าเป็นนายกองทหารสว่อเชา 索超 ความที่เป็นคนเลือดร้อน ยามรบมักชิงออกหน้า จึงมีฉายาว่า กองหน้าเลือดพล่าน 急先鋒
กองหน้าเลือดพล่าน สว่อเชา 急先鋒索超 กลุ่มเทพฟ้า เทียนกัง ลำดับที่ 19 เป็นหนึ่งในแปดขุนพลอัศวินทัพหน้าของเหลียงซาน ลำดับที่สี่ และเป็นหัวหน้าค่ายบกทิศใต้
สว่อเชาเป็นชาวเหอเป่ย 河北 ใช้ขวานจินจ้านฝู่ 金蘸斧 เป็นอาวุธ ลักษณะเป็นขวานด้ามยาว กะไหล่ทองที่สันขวาน
หลี่เฉิงลงจากเวทีก้าวมายืนหน้าห้องโถงกล่าวว่า “นายท่าน หยางจื้อผู้นี้เคยเป็นจื้อสื่อ ย่อมมีฝีมือดี โจวจิ่นจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ หากให้ประลองกับสว่อเชา จึงจะเห็นเด่นด้อย”
เหลียงจ้งซูต้องการให้เหล่าทหารได้เห็นฝีมือหยางจื้ออยู่แล้ว ย่อมยินดี แล้วเรียกหยางจื้อมาตรงหน้าถามว่า
“ให้เจ้าประลองกับสว่อเชาได้หรือไม่”
หยางจื้อตอบว่า “เมื่อนายท่านมีบัญชา ย่อมไม่กล้าขัด”
เหลียงจ้งซูว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปเปลี่ยนชุด เบิกเสื้อเกราะชุดใหม่ และใช้ม้าศึกของข้าในการประลอง”
ทางด้านหลี่เฉิงกำชับสว่อเชาว่า “ท่านอย่าได้ประมาทคนผู้นั้น โจวจิ่นศิษย์ของท่านพ่ายแพ้ไปแล้ว หากท่านเกิดพลาดขึ้นมาอีกคน เขาจะดูแคลนทหารเมืองต้าหมิงฝู่เรา ข้ามีม้าศึกเจนสนามตัวหนี่ง และชุดเกราะอย่างดีให้ท่านยืมใช้ ขอให้ระมัดระวัง แต่อย่าเสียขวัญ”
เมื่อทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวพร้อมแล้ว บนเวทีก็ชูธงแดงขึ้น เสียงฆ้องกลองประโคมให้อาณัติสัญญาณครั้งที่หนึ่ง ปืนใหญ่ยิงเป็นสัญญาณขึ้นหนึ่งครั้ง สว่อเชาและหยางจื้อขี่ม้าเข้าสู่ลานประลองไปประจำที่ใต้ธงประจำตัวของแต่ละคน บนเวทีเปลี่ยนเป็นธงเหลือง
เสียงฆ้องกลองประโคมให้อาณัติสัญญาณที่สอง ตามด้วยเสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง บนเวทีเปลี่ยนเป็นธงขาว ในลานเงียบกริบ
บนเวทีเปลี่ยนโบกธงเขียว เสียงรัวกลองศึกเป็นอาณัติสัญญาณครั้งที่สาม ตามด้วยเสียงระฆัง ทั้งสองขี่ม้าขึ้นมาด้านหน้าลานประลอง
ทางทิศใต้นายทหารถือธงบัญชาขลิบทองมีอักษร 令 (บัญชา) ขี่ม้าตรงมายังผู้ประลองทั้งสองกล่าวว่า
“นายท่านมีบัญชา ให้ท่านทั้งสองใช้ความระมัดระวัง หากผิดพลาดบกพร่องมีบทลงโทษ หากได้ชัยชนะมีรางวัลอย่างงาม”
ผู้ประลองทั้งสองรับบัญชาแล้วควบม้าเข้าสู่กลางลาน การประลองเริ่มต้นขึ้น สว่อเชาควงขวานด้านยาวในมือควบม้าขาวหิมะเข้าหา หยางจื้อถือทวนควบม้ากระต่ายแดงเข้าประมือ
征旗蔽日,杀气遮天。
一个金蘸斧直奔顶门,一个浑铁枪不离心坎。
这个是扶持社稷毗沙门,托塔李天王;
那个是整顿江山掌金阙,天蓬大元帅。
一个枪尖上吐一条火焰,一个斧刃中迸几道寒光。
那个是七国中袁达重生,这个是三分内张飞出世。
一个是巨灵神忿怒,挥大斧劈碎山根;
一个如华光藏生嗔,仗金枪搠开地府。
这个圆彪彪睁开双眼,胳查查斜砍斧头来;
那个必剥剥咬碎牙关,火焰焰摇得枪杆断。
各人窥破绽,那放半些闲。
1
เงาธงรบกลบดวงสุริยา
กลิ่นอายเข่นฆ่าอบอวลเวหา
ขวานสันทองผ่าลงตรงกระหม่อม
ทวนเหล็กหลอมแทงไม่ห่างขั้วหัวใจ
นี่ท้าวเวสสุวรรณคุ้มเมืองไว้
นั่นใช่ขุนพลเทียนเผิงป้องบ้านเกิด
ปลายทวนแหลมแทงแปลบแลบเปลวไฟ
คมขวานใหญ่ไอหนาวสั่นพลันระเบิด
นั่นหยวนต๋าเจ็ดรณรัฐถือกำเนิด
นี่เกิดใหม่จางเฟยสามแผ่นฟ้า
เทพจวี้หลิงพลุ่งพล่าน
เหวี่ยงขวานใหญ่ผ่าภูผา
เทพหัวกวงกริ้วโกรธา
แทงทวนทองเปิดโลกันต์
นี่จ้องสองตาถลน
จามหวือหวือบนหัวบั่น
นั่นกรอดกรอดกัดฟัน
สั่นวูบวาบวาดกวาดทวน
ต่างฝ่ายต่างจับจ้องหาช่องว่าง
ไม่ปล่อยวางโอกาสพลาดเพียงเสี้ยว
(ท้าวเวสสุวรรณ 毗沙门 หรือโลกบาลหลี่เทิดเจดีย์ 托塔李天王
ขุนพลเทียนเผิง 天蓬大元帅 เทพในลัทธิเต๋า
หยวนต๋าเจ็ดรณรัฐ 七国袁达 หยวนต๋าแม่ทัพรัฐฉีใช้ขวานเป็นอาวุธ ยุครณรัฐ 战国
จางเฟยสามแผ่นฟ้า 三分张飞 เตียวหุยยุคสามก๊กใช้ทวนเป็นอาวุธ
เทพจวี้หลิง 巨灵神 เทพแห่งแม่น้ำหวงเหอ ผ่าเขาหัวซานเปิดทางน้ำ
เทพหัวกวง 华光大帝 เทพผู้คุมกฎในลัทธิเต๋า)
ทั้งคู่ต่อสู้กันถึงห้าสิบกว่าเพลง ฝีมือก้ำกึ่ง ยากรู้ผลแพ้ชนะ ผู้ชมในสนามต่างตะลึงชมไม่ขาดปาก
หลี่เฉิง เหวินต๋า กล่าวชมไม่หยุดว่า “สู้ได้ดี”
เหวินต๋าเกรงว่าจะเกิดพลาดพลั้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องบาดเจ็บขึ้น จึงให้นายธงบัญชา ให้สัญญาณให้หยุด บนเวทีตีฆ้องให้สัญญาณหนึ่งครั้ง แต่ทั้งสองยังไม่ยอมหยุดมือ นายธงจึงควบม้าเข้าลานตะโกนว่า “ผู้กล้าทั้งสองหยุดมือ นายท่านมีบัญชา” สว่อเชา หยางจื้อจึงหยุดมือ แล้วต่างควบม้าเข้าไปหยุดยืนใต้ธงประจำตัวของแต่ละคนมองมายังเหลียงจ้งซู รอฟังบัญชา
เหลียงจ้งซูมอบรางวัลให้ทั้งสองเป็นเงินแท่งคนละหนึ่งแท่ง อาภรณ์คนละหนึ่งชุด แล้วประกาศอวยยศให้ทั้งสองเป็นถีเสีย 提辖 เช่นเดียวกัน
นับแต่นั้น เหลียงจ้งซูก็ให้หยางจื้อเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดแทบจะเป็นเงาติดตามตัว ส่วนสว่อเชานับแต่วันประลองแล้วก็นิยมนับถือฝีมือของหยางจื้อ
วันเวลาผ่านไป สิ้นสุดฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน ในวันเทศกาลตวนอู่ 端午 เหลียงจ้งซูและไฉ้ฮูหยิน 蔡夫人 ผู้ภรรยากินเลี้ยงฉลองเทศกาลตวนหยาง 端阳 ที่หอหลังบ้าน ไฉ้ฮูหยินกล่าวว่า
“นายท่านนับแต่รับราชการจนกระทั่งทุกวันนี้มียศศักดิ์และหน้าที่สำคัญในบ้านเมือง เงินทองชื่อเสียงนี้มาจากที่ใด”
เหลียงจ้งซูว่า “สื้อเจี๋ยศึกษาเล่าเรียนมาแต่เล็ก ย่อมรู้ขนบธรรมเนียม คนเรามิใช่รากไม้  ไยจึงจะไม่รู้พระคุณของท่านพ่อตาที่อุปการะ สำนึกอยู่มิรู้สิ้น”
“สามีท่านเมื่อรู้พระคุณของท่านพ่อ เหตุใดจึงลืมวันเกิดของท่าน”
“ข้าย่อมจำได้ วันเกิดท่านพ่อตาคือวันที่สิบห้าเดือนหก ข้าได้ใช้เงินหนึ่งแสนก้วนให้คนเที่ยวเสาะหาทรัพย์สินมีค่าหายากตระเตรียมไว้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนถึงกำหนดหนึ่งเดือนจะให้คนคุมไปส่ง บัดนี้ก็เตรียมพร้อมแล้วถึงเก้าส่วน แต่มีข้อติดขัดอยู่คือ ของขวัญวันเกิดปีที่แล้วให้คนคุมไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ถูกคนชิงไปเสียแม้ทุกวันนี้ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ปีนี้จึงยังไม่รู้จะใช้ผู้ใดคุมไปดี”
“นายทหารใต้บังคับบัญชาของท่านมีอยู่มากนาย คงหาผู้มีฝีมือได้”
“ยังมีเวลาอีกราวห้าสิบวัน ไว้ของขวัญตระเตรียมครบค่อยหาตัวผู้คุมก็ยังทันเวลา ฮูหยินอย่าได้กังวล สื้อเจี๋ยจัดการได้เอง”
ตอนก่อนหน้า : ดาบบรรพบุรุษ
ตอนถัดไป : โลกบาลเทิดเจดีย์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา