31 ต.ค. 2023 เวลา 11:26 • ประวัติศาสตร์

เรื่องราวที่น่าเศร้าของ “จูเลีย ปัสตรานา (Julia Pastrana)” หญิงผู้ถูกเรียกว่าเป็น “ครึ่งคนครึ่งลิง”

ผู้ชมการแสดงในสมัยศตวรรษที่ 19 ต่างสนใจเข้าชมการโชว์ตัวของ “จูเลีย ปัสตรานา (Julia Pastrana)” หรือฉายาคือ “มนุษย์ลิง”
นักวิจารณ์บางคนเรียกเธอว่าเป็น “ครึ่งคนครึ่งลิง” ในขณะที่อีกหลายคนเรียกเธอว่า “สตรีบาบูน”
แต่ปัสตรานานั้นไม่ใช่ตัวประหลาด หากแต่เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับต้องเผชิญกับความเจ็บปวดตลอดชีวิต
เรื่องราวของเธอเป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
จูเลีย ปัสตรานา (Julia Pastrana)
ตามบันทึกนั้น ปัสตรานานั้นเกิดในปีค.ศ.1834 (พ.ศ.2377) ที่เม็กซิโก โดยเป็นสมาชิกของชนเผ่าพื้นเมืองในเม็กซิโก
1
มีการกล่าวอ้างว่าชนเผ่าของเธอนั้นมีลักษณะคล้ายลิงและอาศัยอยู่ในถ้ำ และที่ปัสตรานาได้เข้ามาเป็นนักแสดงโชว์ได้ก็จากหญิงที่ชื่อ “คุณนายเอสปิโนซา (Mrs. Espinosa)” โดยคุณนายเอสปิโนซาถูกเผ่าของปัสตรานาจับตัวมา แต่คุณนายเอสปิโนซาหลบหนีออกมาได้ โดยได้พาตัวปัสตรานาออกมาด้วย
แต่บันทึกอีกฉบับกล่าวว่าปัสตรานานั้นเกิดมาโดยเป็นโรคมนุษย์หมาป่า (Hypertrichosis) ทำให้ทั้งใบหน้าและร่างกายปกคลุมด้วยขนหนา
ด้วยความที่มีร่างกายผิดปกติ ผู้คนจึงเรียกเธอว่าเป็น “สตรีหมาป่า” โดยปัสตรานาอาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่ ก่อนที่แม่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เธอจึงต้องไปอยู่ในความดูแลของผู้เป็นลุง ซึ่งลุงของเธอก็ได้ขายเธอให้แก่คณะละครสัตว์
แต่ไม่ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ปัสตรานาก็ได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของผู้ว่าการรัฐซินาโลอา ซึ่งผู้ว่านั้นปฏิบัติต่อเธอแย่มาก และต่อมา ก็ได้มีคนซื้อตัวปัสตรานาไป และนำไปยังสหรัฐอเมริกา
ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1854 (พ.ศ.2397) ปัสตรานาได้ขึ้นแสดงบนเวทีที่แมนฮัตตันด้วยชุดแดง และร้องเพลง เต้นรำให้ผู้ชมดู
ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างจ่ายเงินเพื่อเข้ามาชม “สตรีบาบูน” ซึ่งเป็นคำโฆษณาของคณะละคร และได้รับความนิยมอย่างมาก โดยนอกจากจะมีรูปลักษณ์แปลกแล้ว ปัสตรานายังมีน้ำเสียงไพเราะและพูดได้ถึงสามภาษา
ผู้จัดการส่วนตัวของปัสตรานาคือชายที่ชื่อ “ทีโอดอร์ เลนท์ (Theodore Lent)” ซึ่งก็พยายามโปรโมตปัสตรานาสุดฤทธิ์ โดยโฆษณาว่าปัสตรานานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์
ว่ากันว่าปัสตรานาและเลนท์ได้ตกหลุมรักกันในช่วงที่ออกทัวร์อเมริกาและยุโรป ซึ่งทั้งคู่ก็หนีตามกันไปในที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น เลนท์ก็เรียกปัสตรานาว่าเป็น “หญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก” และควบคุมทุกอย่างของปัสตรานา
เลนท์ไม่อนุญาตให้ปัสตรานาออกมาเดินบนท้องถนนในเวลากลางวัน เนื่องจากเกรงว่าหากผู้คนพบเธอง่ายๆ จะทำให้ไม่มีใครซื้อตั๋วเข้ามาชมการแสดง
1
ด้วยความที่เป็นอย่างนี้ ทำให้ปัสตรานามีเพื่อนไม่กี่คนเท่านั้น โดยหนึ่งในเพื่อนของเธอกล่าวว่าปัสตรานานั้นเหมือนมีเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้าวนเวียนอยู่รอบตัวตลอดเวลา
แต่ที่อังกฤษ ผู้ชมจากลิเวอร์พูลได้กล่าวว่าปัสตรานานั้นร่าเริง เข้ากับคนง่าย และจิตใจดี อีกทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน
ด้วยความที่มีร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้แพทย์หลายรายสนใจและตรวจร่างกายของปัสตรานา โดยนายแพทย์ก็ได้ออกใบรับรองว่าปัสตรานานั้นไม่ใช่สตรี แต่เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ครึ่งคนครึ่งลิง
“เฮอร์มานน์ อ็อตโต (Hermann Otto)” เจ้าของคณะละครสัตว์ได้เขียนบันทึกถึงปัสตรานา โดยกล่าวว่าเมื่อเขาได้พบปัสตรานาครั้งแรก ปัสตรานานั้น “คือสัตว์ประหลาดสำหรับคนทั้งโลก เป็นคนที่ผิดปกติซึ่งถูกนำมาแสดงแลกเงิน ดูราวกับสัตว์ที่ถูกฝึก”
อ็อตโตยังกล่าวอีกว่า “สิ่งเหล่านี้ทำให้ใจเธอเต็มไปด้วยความเศร้า การที่ต้องยืนต่อหน้าคนอื่นๆ แทนที่จะได้ยืนข้างๆ ผู้คน และถูกนำออกแสดงในฐานะของตัวประหลาดแลกกับเงิน แทนที่จะได้แบ่งปันความสุขกับคนอื่นๆ ในบ้านที่อบอวลไปด้วยความรัก”
แต่ถึงปัสตรานาจะไม่ได้อยู่ในบ้านที่อบอวลไปด้วยความรัก แต่เธอก็ได้แต่งงานกับเลนท์ซึ่งเป็นผู้จัดการ ซึ่งอันที่จริง สำหรับเลนท์แล้วนี่ไม่ใช่การแต่งงานด้วยความรัก แต่คือผลประโยชน์
เลนท์เกรงว่าคู่แข่งจะแย่งตัวปัสตรานาไป เขาจึงขอเธอแต่งงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอาไว้
หลังจากแต่งงาน ปัสตรานาก็ได้ตั้งครรภ์ หากแต่ด้วยความที่มีร่างกายไม่เหมือนคนปกติ มีส่วนสูงเพียง 4 ฟุต 6 นิ้ว (ประมาณ 138 เซนติเมตร) ทำให้การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบาก และเด็กที่คลอดออกมานั้นก็คลอดออกมาโดยมีความผิดปกติเหมือนผู้เป็นแม่ และเสียชีวิตหลังจากที่คลอดออกมาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
ห้าวันหลังจากที่ลูกเสียชีวิต วันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1860 (พ.ศ.2403) ปัสตรานาก็เสียชีวิตตามลูกไปด้วยภาวะโรคแทรกซ้อน
หลังจากเสียชีวิต เลนท์ก็ได้นำศพของปัสตรานาและลูกออกขายแก่ศาสตราจารย์ในมอสโคว ซึ่งในภายหลังก็ได้มีการนำศพของปัสตรานาและลูกออกแสดง
1
จากนั้นเลนท์ก็ได้ไปแต่งงานกับหญิงคนใหม่ที่ชื่อ “มารี บาร์เทล (Marie Bartel)” ซึ่งป่วยเป็นโรคเดียวกับปัสตรานา โดยหลังจากแต่งงาน เลนท์ก็ได้ตั้งชื่อให้บาร์เทลใหม่ว่า “เซโนรา ปัสตรานา (Zenora Pastrana)” และนำออกโฆษณาว่าเป็นน้องสาวของจูเลีย ปัสตรานา เก็บเงินค่าเข้าชมจากผู้ชม
เซโนรา ปัสตรานา (Zenora Pastrana)
หลังจากจูเลีย ปัสตรานาเสียชีวิต เธอก็ยังไม่ได้อยู่อย่างสงบ ยังคงมีการนำศพของเธอออกแสดงทั่วยุโรปเป็นเวลานับสิบปี จนท้ายที่สุด ก็ได้มีการเก็บศพเธอไว้ที่นอร์เวย์
ในปีค.ศ.2013 (พ.ศ.2556) หลังจากที่ถูกพรากจากบ้านเกิดมาเป็นเวลานานนับร้อยปี ในที่สุดปัสตรานาก็ได้กลับบ้าน
ด้วยความช่วยเหลือของผู้ว่าการรัฐซินาโลอา ศิลปินชาวอเมริกัน และทางการนอร์เวย์ ร่างของจูเลีย ปัสตรานาก็ได้ถูกนำกลับไปยังเมืองใกล้กับสถานที่ที่ว่ากันว่าเป็นบ้านเกิดของเธอ และได้รับการฝังตามประเพณี
ผู้ว่าการรัฐซินาโลอาได้ประกาศว่า
“จูเลีย ปัสตรานาได้กลับบ้านแล้ว จูเลียได้เกิดใหม่ท่ามกลางพวกเราทุกคน ขอให้อย่าได้มีสตรีคนใดกลายเป็นสิ่งของเพื่อการค้าอีกเลย”
โฆษณา