4 พ.ย. 2023 เวลา 12:19 • ความคิดเห็น

สัปเหร่อ : กันดารคือสินทรัพย์

ผมได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกจากการเดินชมนิทรรศการชื่อนี้ของ tcdc เมื่อสิบกว่าปีก่อน ถ้าจำไม่ผิดนิทรรศการ “กันดารคือสินทรัพย์” เป็นนิทรรศการแรกของ tcdc ในตอนเปิดตัวใหม่ๆ ตัวนิทรรศการนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับภูมิปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ของคนอีสานที่เกิดมาก็เจอแต่ความกันดาร เวลาคนพูดถึงอีสานแต่ไหนแต่ไรจะคิดถึงแต่ความแห้งแล้งถึงกับมีคำพูดว่า ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
แต่ความไม่มีเหล่านั้นทำให้คนอีสานต้องดิ้นรนและสามารถสร้างวัฒนธรรม ประเพณี และบุคลากรเก่งๆมากมาย ผมเป็นคนโคราชโดยกำเนิดก็เลยตื่นเต้นมากกว่าปกติ
นอกจากนั้นวิธีคิดของนิทรรศการนั้นก็ทำให้ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงที่ผมและทีมงานที่ดีแทคเอาตัวรอดมาได้จากสภาพแทบล้มละลาย และพอเห็นคำๆนี้ถึงสะดุดใจเป็นอย่างมากแล้วถึงเริ่มเข้าใจว่าเรารอดมาได้เพราะอะไร แต่ก่อนไปเล่าเรื่องดีแทคนั้น ผมอยากจะเล่าถึงปรากฏการณ์สัปเหร่อที่โด่งดังอย่างสุดขีดในตอนนี้ ที่เป็นเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากความกันดารของคนอีสานเช่นกัน
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีภาพยนตร์ตระกูลไทบ้านจากภาคอีสานออกมาทำเงินหลักร้อยล้านบาทอยู่หลายเรื่อง ล่าสุดคือเรื่องสัปเหร่อที่ทำเงินสูงถึง 700 ล้านบาท เป็นปรากฏการณ์ของหนังไทยในรอบหลายปี หนังไทยในประเทศไทยที่ทำกำไรได้ นอกจากค่าย gdh แล้ว ก็มีแต่ตระกูลไทบ้านเท่านั้นที่ทำได้ และเรื่องราวของไทบ้านนั้นเป็นเรื่องราวคลาสสิคของความกันดารโดยแท้
1
เรื่องราวเกิดจากเด็กมหาวิทยาลัยมหาสารคามกลุ่มหนึ่งไม่มีตังค์ แต่มีความฝันอยากทำหนังไทย มีเงินพอแค่ทำเทรลเลอร์หนังตัวอย่าง ลองทำขึ้นมาแล้วลองไปขอสตางค์ โต้ง สิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ อดีต สส ศรีสะเกษที่เคยสอนน้องๆกลุ่มนี้ถ่ายรูปดาวเมื่อสมัยมัธยม
โต้งดูผลงานแล้วก็เลยลองแนะนำไปให้ขอสปอนเซอร์ตามที่ต่างๆแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นหนังไทยที่สุดอินดี้ พูดอีสานทั้งเรื่อง พระเอกก็หน้าตาไม่หล่อ โต้งสงสารก็เลยลงทุนให้สองล้านบาท ในใจก็ไม่คิดว่าน้องๆจะทำอะไรได้สำเร็จแต่เห็นใจในความพยายาม มีเงื่อนไขเดียวคือต้องถ่ายที่ศรีสะเกษ โต้งคิดแค่ว่าถ้าเจ๊งก็ได้โปรโมทจังหวัดที่เขารัก
เงินสองล้านเป็นเงินที่น้อยมากสำหรับการทำหนังและไม่น่าจะทำหนังไทยทั้งเรื่องได้ ปกติการทำหนังไทยเรื่องหนึ่งก็ประมาณยี่สิบล้านบาท แต่ด้วยความอยากทำ น้องๆก็ทำจากความกันดารที่มี ฉากก็ถ่ายกันดิบๆ นางเอกก็ไม่มีงบแต่งหน้าต้องแต่งตามมีตามเกิด งบน้อยถึงขนาดนางเอกใส่ชุดนอนตัวเองเป็นเสื้อยืดกางเกงมวย โดรนก็ไม่มีต้องปีนต้นไม้ถ่ายแทน
ทุกอย่างเป็นงานต้นทุนต่ำมากๆ งานแถลงข่าวยังต้องไปแถลงที่เถียงนา แต่ดูเรียล ดูจริง สำหรับคนดู เป็นหนังที่มีรสชาติไม่เหมือนใคร ความไม่มีทำให้ต้องพลิกแพลง ต้องดิ้นรน แต่ก็กลายเป็นหนังที่แปลกและสดใหม่มากๆ โต้งบอกว่าตอนฉายมีน้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาบอกด้วยความตื่นเต้นว่าชอบมาเลยพี่ นางเอกใส่ชุดบอลนอนเหมือนหนูเลย
ช่วงแรกฉายเฉพาะไม่กี่โรงที่อีสาน แต่พอคนอีสานได้ดูก็ชอบและบอกต่อกันอย่างรวดเร็วจนได้โรงฉายทั่วประเทศ ภาคแรกทำเงินสี่สิบล้าน ภาคต่อๆ มาก็เกินร้อยล้าน คนชอบในความดิบ ความสดใหม่ ความเรียลของงาน อะไรก็ดูจริง ดูเป็นธรรมชาติ ดูจริงใจ ถูกใจคนดูเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นหนังตระกูลไทบ้านที่ฮิตมาอย่างต่อเนื่อง
จนล่าสุดคือหนังสัปเหร่อที่ทำเงิน 700 ล้านบาท กลายเป็นเป็นความคิดสร้างสรรค์ ความแปลกใหม่ที่เกิดจากความไม่มีและต่อยอดไปจนกลายเป็นจักรวาลไทบ้านจนถึงวันนี้
เรื่องแรกพอกำไรแล้ว โต้ง สิริพงษ์ ผู้ใจกว้างดั่งแม่น้ำและเปรียบเสมือนพ่อของเด็กๆขอแค่ทุนคืนส่วนกำไรยกให้เด็กๆ หมด โต้งเล่าว่าพอมีสตางค์ อะไรๆก็แพง น้องๆ ที่ไม่เคยจับเงินเยอะก็เริ่มใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทำหนังเรื่องต่อมาก็เริ่มแพง จากเคยจ้างหมื่นก็กลายเป็นแสน
หนังเรื่องต่อๆมาก็เริ่มกำไรน้อยและขาดทุนช่วงโควิด น้องๆก็ใช้ตังค์จนหมด โต้งเลยต้องจับมาอบรมให้เข้าใจถึงวินัยการใช้เงินและพลังแห่งความกันดาร สัปเหร่อจึงเริ่มใหม่จากความคิดดั้งเดิมที่ให้ทำเหมือนกับมีตังค์น้อยอีกครั้ง
พอหนังเรื่องล่าสุดได้เงินมากแบบนี้ น้องๆก็มาให้โต้งช่วยเกลี่ยอีกรอบโต้งก็เช่นเคย ไม่เอาอะไรซักบาทจากน้องๆและให้เก็บเงินบางส่วนไว้ทำหนังอีกสามเรื่อง เอาส่วนแบ่งของตัวเองให้น้องๆ ไปทำกิจกรรมการกุศลให้จังหวัดศรีสะเกษเช่นเคย ก็เป็นเรื่องที่ควรบันทึกไว้ในความใจกว้างและวิธีคิดของโต้งเช่นกัน
1
สำหรับผมเองนั้นได้เข้าใจถึงกันดารคือสินทรัพย์ในช่วงที่ดีแทคตกต่ำถึงที่สุด งบการตลาดเหลือน้อยมากๆ เงินลงทุนในเครือข่ายก็แทบไม่มีเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ในตอนนั้นเราคิดว่ามันช่างเป็นความโชคร้ายในชีวิตเหลือเกินที่ต้องมารับผิดชอบงานที่แทบไม่มีงบไม่มีอาวุธอะไรให้ไปต่อสู้กับคู่แข่งเลย
ในตอนนั้นเราใช้เวลาโทษฟ้าโทษดินอยู่ไม่นานเพราะเวลาในการพลิกฟื้นอะไรก็มีไม่มากนัก ก็ได้แต่ทำไปบ่นไป และด้วยข้อจำกัดต่างๆที่มี ทำให้เราไม่สามารถทำอะไรเหมือนกับคู่แข่งได้เพราะทำไปเงินน้อยกว่าเขา เราก็จะได้แต่ของห่วยๆ จะใช้พรีเซนเตอร์คู่แข่งก็จะได้คนที่ดังกว่าเพราะเงินมากกว่า เป็นต้น
ด้วยความที่ไม่มีทั้งเงินและเวลา ทำให้สถานการณ์บังคับให้เราต้องพยายามทำอะไรแตกต่างออกไปแบบสุดขั้ว เงินน้อยทำให้เ ราจ้างคนนอกไม่ค่อยได้ ก็บังคับให้เราต้องเดินไปหาลูกค้าเอง ต้องยอมเหนื่อยกว่าปกติ ตลาดหลักทำไปสู้คู่แข่งหลักไม่ได้ ก็ต้องหนีไปตลาดรองไกลๆ เงินในการให้ยี่ปั๊วในการกระจายสินค้าก็น้อยกว่า ทำให้เราก็ต้องเปลี่ยนลงไปหาร้านค้ารายย่อยที่ต้องใช้พลังใจพลังกายอย่างมาก
2
งบการตลาดที่มีน้อยมากๆ ทำให้เราไม่สามารถจ้างใครแพงๆหรือใช้เงินแบบไม่คิดได้ การใช้เงินแต่ละครั้งก็ต้องได้ผลมากที่สุด หรือต้องหาทางที่ไม่มีใครเคยทำแล้วลองเสี่ยงดูเพราะความจน
ไอเดียประหลาดๆอย่างการทำหนังกลางแปลงราคาถูกแล้วเดินสายไปทั่วประเทศก็เกิดจากความไม่มีเลยต้องดิ้นรนหาทางใหม่ ลูกน้องผมในตอนนั้นเข้าใจถึงความกันดารเป็นอย่างดี มีอะไรก็พยายามหาทางที่สร้างสรรค์มากๆเพื่อใช้เงินให้น้อยที่สุด
มีเรื่องหนึ่งที่เป็นตัวอย่างแห่งกันดารคือสินทรัพย์ที่ดีมากเรื่องหนึ่ง มีครั้งหนึ่งเราอยากมีโลโก้แฮปปี้บนแก้วพลาสติกที่ใช้อยู่ตามร้านค้า เทศกาลต่างๆ เพราะอยู่ในช่วงการสร้างแบรนด์ พอคุยกับเอเจนซี่ในการจ้างทำเขาก็คิดราคาแก้วละสามบาท ทำล้านแก้วก็สามล้านไม่รวมค่ากระจายแก้วอีก
ถ้าเรามีเงินก็คงจ่ายไปโดยไม่คิดอะไร ด้วยเพราะว่าเราไม่มีเงินแต่อยากได้แก้วกระจายทั่วประเทศแบบนี้มากๆ ลูกน้องผมก็ลองหาทางสารพัดวิธีจนไปเจออาเฮียโรงงานผลิตแก้วพลาสติกที่ยอมทำให้เพราะเฮียผลิตอยู่แล้วแถมกระจายให้อีกด้วย ในตอนนั้นไม่รู้ว่าเฮียหลงเสน่ห์ลูกน้องผมหรืออย่างไรเพราะเฮียคิดราคาค่าทำทั้งหมดแค่หลักไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้นเอง
3
เน้นว่าถ้าเรามีตังค์ก็คงไม่คิดอะไร จ่ายค่าทำไปสามล้านบาทแล้ว แต่เพราะว่าเราไม่มี ไอเดียดีๆราคาประหยัดจึงเกิดขึ้นได้
1
เหตุการณ์แบบนี้มีอีกเยอะมาก ไอเดียของซิมใหม่ๆ บริการเสริมใหม่ๆ ก็มาจากการเดินด้วยความไม่มีตังค์ เดินออกไปหาไอเดีย พูดคุยกับลูกค้า แล้วเอามาคิดมาทำกัน ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ของทีมพุ่งถึงขีดสุดและได้รับการยอมรับนับถือจากวงการธุรกิจเป็นอย่างมาก
พอผมเห็นคำกันดารคือสินทรัพย์ถึงเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า ที่เราบ่นเราด่าความไม่มีนั้น ที่แท้คือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมและทีมงาน ความไม่มีทำให้เราต้องใช้ศักยภาพที่มีอย่างสุดกำลัง ต้องคิดอะไรใหม่ๆ ลองอะไรที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ต้องหาทางทะลุกรอบเดิมๆที่คนมีสตางค์เคยกำหนดไว้ และทำให้นวัตกรรมทั้งหลายพรั่งพรูออกมา ..เพราะความกันดารโดยแท้
เรื่องราวของกันดารคือสินทรัพย์นั้น ถ้าเราสังเกตให้ดี แอบแง้มเบื้องหลังของความสำเร็จในแต่ละเรื่องแต่ละคน จะมีความกันดารซ่อนอยู่หลายกรณี นักกีฬาที่ไปถึงระดับโลกส่วนใหญ่ก็มาจากฐานะที่ยากจนที่ต้องปากกัดตีนถีบ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะหยุดออกจากความแร้นแค้น ฝึกฝนหนักกว่าคนอื่นทั่วไป
คนที่มีสตางค์เยอะๆ ชีวิตสบายเสียอีกที่กลับกลายเป็นคำสาปในเรื่องแรงบันดาลใจและความที่มีพร้อมในชีวิต ไอเดียต่างๆก็เช่นกัน ซึ่งไม่ต้องมองไปไกลเลย ในช่วงโควิดเวลาที่ขาดแคลน ไม่มี หรือเดือดร้อนเช่นนี้ เราจึงเห็นไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆในช่วงนี้เกิดขึ้นเต็มไปหมด
กันดารนั้นเป็นทั้งข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจริงอันจะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ และก็เป็นทัศนคติแม้กระทั่งตอนที่มีแล้วว่าต้องคิดแบบคนไม่มี ความคิดสร้างสรรค์ก็จะทำงานมากกว่าปกติเช่นกัน
The breakthrough innovations come when the tension is greatest and the resources are most limited. That’s when people are actually a lot more open to rethinking the fundamental way they do business.
เคลยตัน คริสเตนเซ่น
เคลยตัน คริสเตนเซ่น ปรมาจารย์ด้านนวัตกรรมทางธุรกิจที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เคยเขียนสรุปถึงเรื่องนี้ไว้ ซึ่งทำให้เกิดคำถามที่ชวนคิดต่อก็คือว่า เราจะทำให้องค์กรของเรามีความ “กันดาร “ พอที่จะเกิดบรรยากาศแห่งนวัตกรรมได้อย่างไร…..
และถ้าหัวหน้าใครอ่านบทความนี้แล้วตัดสินใจลดงบการตลาดก็อย่าเพิ่งรีบโทษผม ขอให้คิดเสียว่า “กันดารคือสินทรัพย์” แล้วก็จะพบทางออกที่สนุกและสร้างสรรค์อย่างที่ตอนมีสตางค์ไม่เคยคิดได้มาก่อนก็เป็นได้นะครับ….
โฆษณา