25 มี.ค. เวลา 23:10 • ประวัติศาสตร์

วันศุกร์ ที่ 15 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 1441 : อ้างอิงวันที่จากเพจประวัติศาสตร์อิสลาม

สงครามบะดัร : 17 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 2
ประมาณ 5 ปีแรกหลังจากการฮิจญ์เราะห์ ชาวกุเรชมุชริกได้นำกองทหารมุ่งสู่นครมะดีนะฮ์ โดยมีความมุ่งหวังที่จะทำลายรัฐอิสลามให้ราบคาบลง ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ทำการสู้รบกันหลายครั้งด้วยกัน ซึ่งสงครามที่สำคัญๆ ได้แก่ สงครามบะดัร สงครามอุฮุด และสงครามอัลอะฮฺซ๊าบ ฯลฯ
สงครามบะดัร เป็นสงครามแรกที่จำแนกระหว่างบรรดามุสลิมกับบรรดามุชริก ซึ่งจากสาเหตุของสงคราม ตลอดจนขั้นตอน ทำให้ทราบได้ว่า แท้จริง อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีพระประสงค์ที่จะขจัดความอ่อนแอของบรรดามุสลิมที่ดำเนินวิถีชีวิตตามรูปแบบในมักกะฮ์ในตอนที่เข้ารับอิสลามใหม่ๆ ที่ถูกพวกมุชริกได้กระทำต่อชาวมุสลิมอย่างทารุณโหดเหี้ยม เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เป็นบทเรียนอันเจ็บปวดแก่บรรดาชาวกุเรชมุชริก ตลอดจนการสลายอำนาจของพวกเขา และให้เป็นบทเรียนแก่คนทั่วไปว่า
“พลังที่แท้จริงนั้นคือ “พลังแห่งศรัทธา” ซึ่งแท้จริงแล้ว เอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงช่วยเหลือคุ้มครองท่านนะบี รวมถึงศาสนาของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน
หลังจากที่ท่านเราะซูล ได้จัดระบบภายในของเมืองมะดีนะฮ์เรียบร้อยแล้ว จึงหันมาเพื่อทำการตอบโต้พวกกุเรชมุชริกบ้าง และทวงสิ่งที่ถูกยึดจากบรรดาผู้อพยพกลับคืน ซึ่งมีทั้งทรัพย์สินและที่พักอาศัย
โอกาสได้มาถึง ในขณะที่ท่านนะบีทราบว่ากองคาราวานสินค้าของชาวกุเรชมุชริกได้ออกมุ่งหน้าไปยังเมืองชาม ท่านนะบีจึงรอคอยกองคาราวานที่บรรทุกสินค้าต่างๆที่กำลังเดินทางกลับมา
ครั้นเมื่อกองคาราวานมาถึง ท่านนะบีจึงออกไปพร้อมกับบรรดาศอฮาบะฮ์ที่มีความสามารถ เพื่อกั้นขวางกองคาราวานนั้นอย่างรวดเร็ว ท่านนะบีได้กล่าวว่า :
“ใครที่มีพาหนะพร้อม ก็ให้รีบออกไปกับเราในทันที”
ท่านเราะซูล ได้ออกไปพร้อมกับบรรดาศอฮาบะฮ์เพื่อสกัดกองคาราวานนั้น แต่เอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีพระประสงค์อื่น กองคารวานจึงได้หลุดรอดไป ผู้นำกองคารวานคือ อบูซุฟยาน ได้ส่งคนมาตรวจเส้นทางและรู้ว่าบรรดามุสลิมได้ออกมาสกัดกั้นเส้นทางนั้น เขาจึงหลบเลี่ยงเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นด้านชายฝั่งทะเลแดงแทน พร้อมทั้งส่งคนไปบอกพวกกุเรชมุชริกในมักกะห์ ให้ออกมาอารักขากองคาราวานสินค้าของพวกเขา ได้มีชาวกุเรชมุชริกพากันออกมาเป็นจำนวนมากมีประมาณ 1300 คน
และหลังจากที่ได้ทราบข่าวการรอดพ้นของกองคาราวาน บางกลุ่มจึงเห็นว่าสมควรกลับสู่มักกะฮ์ แต่ อบูญะฮัล ได้หลงตนเองจึงคิดแผนการออกอุบาย แล้วเขาจึงพูดว่า : “เรายังจะไม่กลับเข้ามักกะฮ์ จนกว่าเราจะได้ไปที่บะดัรเสียก่อน ไปอยู่สักสามวัน เราจะเชือดอูฐหนุ่มและกินดื่มสุราเลี้ยงฉลอง มีทั้งนักร้องนักเต้นให้เราได้ชม เพื่อว่าชาวอาหรับจะได้กล่าวขวัญถึงชื่อเสียงและความเป็นอยู่ของพวกเราอย่างยิ่งใหญ่ และพวกเขาจะได้มีความเกรงกลัวพวกเราตลอดไป”
ได้มีคนจำนวนมากหลงเชื่อ ส่วนที่กลับมักกะฮ์มีประมาณ 300 คน อบูญะฮัลได้พาพรรคพวกเดินทางไปจนไปถึงแหล่งน้ำที่บะดัร กองคาราวานของพวกกุเรชมุชริกได้ผ่านพ้นไปแล้ว และจำนวนมากของพวกกุเรชมุชริกได้มุ่งหน้าสู่บะดัรเพื่อเป็นการแสดงพลังของพวกตนเพื่อข่มขู่บรรดามุสลิม
ท่านนะบีมูฮัมหมัด ซล. จึงมีคำสั่งสำหรับสถานการณ์นี้ ท่านนะบีได้เรียกบรรดาศอฮาบะฮ์มาร่วมประชุมหารือกันในการที่จะต้องไปประจัญหน้ากับพวกกุเรชมุชริกและเพื่อทำการสู้รบ
บรรดาผู้อาวุโสของชาวมุฮาญิรีนจึงได้กล่าวสนับสนุนให้ออกไปต่อสู้และใช้คำพูดเพื่อปลุกเร้าทำให้เกิดความจูงใจ ท่านเราะซูลจึงกล่าวชมเชยและขอดุอาอ์ให้แก่พวกเขา และให้คนทั้งหลายเสนอความคิดเห็นอีก
โดยท่านต้องการทราบท่าทีของชาวอันศ็อร เพราะพวกเขามีจำนวนมากกว่า และการทำสัตยาบันที่ “อะกอบะฮ์” ครั้งที่ 2 นั้น มิได้ระบุให้พวกเขาต้องออกทำสงครามพร้อมกับท่านนะบีที่นอกเมืองมะดีนะฮ์ แต่ชาวอันศ็อรมีความเข้าใจดีถึงเจตนาของท่านนะบี ผู้ที่ถือธงนำทัพมีชื่อว่า ท่านสะอด์ บิน มุอ๊าซ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จึงได้พูดว่า : “ขอสาบานด้วยพระนามของเอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ครับ ดูเหมือนว่าท่านหมายถึงพวกเรา”
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จึงตอบว่า : “ใช่แล้ว”
ดังนั้น ท่านสะอด์จึงพูดต่อไปว่า : “แน่นอน พวกเราได้มีศรัทธาต่อท่าน เชื่อตามท่านและเราได้ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ท่านนำมานั้นเป็นเรื่องจริง แล้วเราได้ให้คำมั่นสัญญาในการเชื่อฟังท่าน ดังนั้นขอท่านจงออกไปสู้เถิด ท่านเราะซูลของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตามความประสงค์ของท่าน ฉันขอสาบานด้วยผู้ซึ่งที่ได้ส่งท่านมาพร้อมกับความจริง
หากท่านนำพาพวกเราไปสู่ท้องทะเล แล้วท่านข้ามไป แน่นอนพวกเราก็จะข้ามไปพร้อมกับท่าน จะไม่มีใครจากพวกเราขาดหายไปแม้เพียงสักคนเดียว
แล้วเราไม่รังเกียจต่อการที่พวกเราจะไปเผชิญหน้ากับศัตรูของพวกเราในวันพรุ่งนี้ พวกเราอดทนอย่างแน่นอน ในสภาวะสงครามที่เต็มไปด้วยความจริงใจในขณะประจัญบาน
และหวังว่าอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะให้ท่านได้เห็นสิ่งที่ตาทั้งสองของท่านจะมีความสุข
ดังนั้น ท่านจงพาพวกเราไปด้วยกับความจำเริญของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเถิด”
ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ มีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำพูดนั้น แล้วท่านได้พูดว่า :
“พวกท่าน จงออกไปพร้อมกับข่าวดีได้เลย”
การสู้รบในสงครามบะดัร
 
บรรดามุสลิมได้ออกไปประจัญหน้ากับพวกมุชริกีนที่แหล่งน้ำบะดัร และเพื่อว่าอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงให้มีการสู้รบเกิดขึ้น พระองค์ทรงทำให้บรรดามุสลิมมองเห็นจำนวนของมุชริกีนมีจำนวนเพียงเล็กน้อย และทำให้ในสายตาพวกมุชริกีนนั้นได้มองเห็นบรรดามุสลิมีนมีจำนวนมาก
เอกองค์อัลลอฮ์ ซบ. ได้ทรงตรัสไว้ว่า :
“ และจงรำลึก ขณะที่พระองค์ให้พวกเจ้าเห็นพวกเขามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากัน และทรงให้พวกเจ้ามีจำนวนมากในสายตาของพวกเขา
เพื่อที่อัลลอฮ์ จะทรงให้งานนึงเสร็จสิ้นไป ซึ่งงานนั้นได้ถูกกระทำไว้แล้ว และ ณ อัลลอฮ์นั้น กิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป”
1
( ซูเราะห์อัลอันฟาล : 44 )
การสู้รบได้เริ่มขึ้นโดยการดวลดาบกันของแต่ละฝ่าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายแล้วได้จบสิ้นลงด้วยชัยชนะของฝ่ายมุสลิม ต่อมาการสู้รบอันรุนแรงได้ปะทุขึ้นอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้พวกมุชริกีนได้รับความเสียหายอย่างมาก พวกเขาถูกสังหารไปถึง 70 ศพ ในจำนวนนั้นมีระดับหัวหน้ารวมอยู่ด้วย ได้แก่ อบูญะฮัล และถูกจับเป็นเชลยอีก 70 คน ส่วนบรรดามุสลิมีนได้เสียชีวิตในสงคราม (ชะฮีด) จำนวน 14 ท่านเท่านั้น
ชัยชนะในสงครามบะดัร
ผลของการทำสงครามที่บะดัรทำให้ชาวกุเรชมุชริก รวมถึงเผ่าต่างๆที่เป็นมุชริกต้องเสียขวัญ และเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่พวกวัตถุนิยมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้
แต่นี่เป็นสิ่งยืนยันที่หนักแน่นแล้ว แก่บรรดาผู้ยอมรับแนวทางของเอกองค์อัลลอฮ์ ซบ.
สาเหตุที่ชัดเจนแห่งชัยชนะของบรรดามุสลิมมีดังนี้ :
1.ความพอใจในสิ่งตัวเองที่มีอยู่ : ท่านเราะซูลได้ใช้อาวุธที่สำคัญยิ่ง คือการฝึกเหล่าซอฮาบะฮ์ให้มีความพอใจในสิ่งตัวเองมีในการสู้รบกับฝ่ายศัตรู ซึ่งจะชดเชยกับกำลังพลของฝ่ายมุสลิมีนที่มีน้อยกว่า และกำลังใจได้ตั้งมั่นอยู่บนความปรารถนาในสิ่งที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่บรรดานักต่อสู้ด้วยกับผลบุญอันยิ่งใหญ่ จะเห็นตัวอย่างจาก เรื่องราวของ ท่านอุมัยร์ บิน อัลฮัมมาม รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ในขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ปลุกเร้าให้บรรดาซอฮาบะฮ์ ทำการต่อสู้ โดยท่านนะบีได้กล่าวว่า :
1
“พวกท่านทั้งหลาย จงไปสู่สวรรค์กันเถิด ซึ่งความกว้างใหญ่ไพศาลของสวรรค์นั้นดั่งบรรดาชั้นฟ้าและผืนดิน”
ท่านอุมัยร์ จึงได้พูดด้วยความปีติยินดีว่า : “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ สวรรค์ที่มีความกว้างดั่งบรรดาชั้นฟ้าและผืนแผ่นดินกระนั้นหรือ?!”
 
ท่านนะบีได้ตอบกลับว่า : “ใช่แล้ว”
แล้วท่านอุมัยร์ได้เอาผลอินทผลัมหลายผลที่ติดตัวอยู่ออกมาและรับประทานไปบ้าง หลังจากนั้นเขากล่าวว่า : “แน่นอน หากฉันมีชีวิตอยู่ต่อ จนกินอินทผลัมนี้หมด มันช่างเป็นชีวิตที่ยาวนานมาก”
แล้วเขาได้ขว้างผลอินทผลัมที่เหลือทิ้งไปและทำการสู้รบ จนเขาได้รับชะฮีดในที่สุด
2.การขอดุอาอฺ : ท่านเราะซูล ได้ใช้อาวุธอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นผลให้ได้รับชัยชนะ คือ การขอดุอาอ์ ซึ่งในดุอาอ์นั้นจะนำมาซึ่งชัยชนะจากผู้ที่ให้ชัยชนะ
ดังคำตรัสของเอกองค์อัลลอฮ์ ซบ. ว่า :
“ หากว่าอัลลอฮ์ ทรงช่วยเหลือพวกเจ้า ก็จะไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้
และหากพระองค์ ทรงทอดทิ้งพวกเจ้าแล้ว ก็ผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้หลังจากพระองค์
และแด่อัลลอฮ์นั้น ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมายเถิด ”
( ซูเราะห์อาละอิมรอน : 160 )
ท่านนะบี ได้ลุกขึ้นในยามค่ำคืนของสงคราม ในขณะที่ผู้คนทั้งหลายกำลังนอนหลับสนิท ท่านนะบีได้เฝ้าขอดุอาอ์ต่อพระเจ้าของท่านด้วยการวิงวอนต่อพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ และเป็นอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรุ่งเช้า ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ รู้สึกสงสาร เห็นใจท่าน และกล่าวกับท่านนะบี ว่า : “โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ท่านพอได้แล้วจากการขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน แท้จริงพระองค์จะทรงประทานให้กับท่านตามที่พระองค์ได้ทรงให้สัญญาไว้”
3.การเข้าร่วมรบของบรรดามลาอิกะฮ์ : อีกสาเหตุหนึ่งแห่งชัยชนะของบรรดาผู้ศรัทธาคือ เอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงส่งบรรดามลาอิกะฮ์มาเป็นกำลังเสริม ทำให้หัวใจของพวกเขามั่นคง เหล่ามลาอิกะฮ์ได้สู้รบกับศัตรูพร้อมกับพวกเขาด้วย ดังมีหลักฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานได้บ่งชี้ไว้ ตลอดจนมีหะดีษที่ซอเฮี๊ยะที่ระบุว่า
“บรรดามลาอิกะฮ์ มาร่วมรบพร้อมกับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย”
สงครามบะดัร จบลงตามเป้าหมายที่เอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประสงค์
ดังคำตรัสของพระองค์ ว่า :
“ และจงรำลึก ขณะที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้า ซึ่งหนึ่งในสองกลุ่มว่ามันเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าชอบที่จะให้กลุ่มที่ไม่มีกำลังอาวุธนั้นเป็นของพวกเจ้า แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงต้องการให้ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นด้วยพจนารถของพระองค์ และจะทรงตัดขาดซึ่งคนสุดท้ายของผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย “
และอีกอายะห์นึง ความว่า :
“ เพื่อพระองค์ จะทรงให้สิ่งที่เป็นจริงได้เป็นที่ประจักษ์ และให้สิ่งเท็จได้เป็นที่ประจักษ์ชัดและแม้ว่าบรรดาอาชญากรผู้กระทำความผิดจะเกลียดชังไม่พอใจก็ตาม “
( ซูเราะห์อัล อันฟาล : 7 - 8 )
ข้อมูลจาก : เว็ปเพจ อิสลามมอร์
โฆษณา