Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่าของเราเอง
•
ติดตาม
11 พ.ย. 2023 เวลา 12:20 • นิยาย เรื่องสั้น
ชีวิตบัดซบที่คิดว่าไม่มีจริง EP.12 ชีวิตใหม่ใน “คุก”
ที่แรกที่เราทำงานเป็นเรือนจำที่มีความมั่นคงสูงสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยเลย เราก้าวเท้าเข้าไปครั้งแรกนั้นเรารู้สึกว่ามันขนลุกแบบแปลกๆเลยทีเดียว
เราเอง
การเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างจะเปลี่ยนตัวเรานั้นเป็นคนละคนเลยทีเดียว เพราะว่าการทำงานในสถานที่แห่งนี้นั้นมันต้องใช้ระเบียบวินัยมากและเป็นสถานที่ที่กฎหมายเข้ามาบังคับใช้กับผู้กระทำความผิด ซึ่งเอาจริงๆแล้วเราเป็นคนที่ค่อนข้างจะไม่ชอบการอยู่ในระเบียบเท่าไหร่เลย เพราะเราเป็นคนใช้ชีวิตอิสระแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาล้วนมีเหตุและมีผลในตัวมัน คงเป็นชะตากรรมของเราที่ต้องเข้ามาทำงานในสถานที่ที่คนทั่วไปเรียกว่า... “คุก”
จากการที่เราได้มาทำงานที่นี่ทำให้เรานึกถึงคำทำนายของพระอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นพระในอำเภอหนึ่งในจังหวัดอยุธยา ตอนนั้นเราไปกับพ่อ พ่อพาเราไปวัดหลังจากที่เราออกมาจากสถานพินิจซึ่งพระอาจารย์ท่านนั้นได้เรียกเราไปหาและดูลายมือวัน เดือน ปี เกิดให้ ท่านทายเราว่าเราจะได้ใส่เครื่องแบบข้าราชการแน่นอนแต่ข้าราชการในรูปแบบนี้ต้องใช้กำลังและชั่งใจเป็นอย่างมาก เรานึกถึงทีไรการทำนายของท่านทีไรก็ขนลุกทุกที
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเข้ามาเป็นข้าราชการในนี้ก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 เรานั่งดูข่าวทุกวัน เห็นท่านแม้แต่เวลาที่ท่านประชวรก็ยังทรงงานเราเลยตัดสินใจว่าอย่างน้อยก็ได้ช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อยขอเป็นแรงแรงหนึ่งที่ช่วยท่านได้ ความรู้สึกในตอนนั้นมันมีแรงใจมากที่ได้เป็นข้าราชการตัวเล็กๆคนหนึ่งที่จะใช้ความสามารถเท่าที่มีนั้นทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างเราจะทำได้...
มาเริ่มเรื่องการทำงานกันดีกว่า หลังจากที่เข้าอบรมการฝึกเป็นระยะเวลา 3 เดือนของกรมฯให้เราค่อนข้างที่จะเข้าใจในวิธีการทำงาน เช่นการทำงานในการควบคุมผู้ต้องขังต่าง ๆ การรับมือกับผู้ต้องขังเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ หลังจากที่เราฝึกจบ เราเริ่มทำงานทันที ที่แรกที่เราทำงานเป็นเรือนจำที่มีความมั่นคงสูงสุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เราก้าวเท้าเข้าไปครั้งแรกนั้นเรารู้สึกว่ามันขนลุกแบบแปลกๆเลยทีเดียว ตอนที่เราเข้าไปครั้งแรกตอนนั้นเราคิดว่าคนที่เข้ามาในนี้ในรูปแบบผู้ต้องขังละเขาจะรู้สึกอย่างไรกันนะ
เพราะว่าที่นี่เป็นเรือนจำที่ไม่มีผู้ต้องขังใหม่มีแต่ผู้ต้องขังที่ย้ายมาด้วยพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อประเทศทั้งแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นก่อจลาจลความรุนแรง พวกที่มีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่ พวกที่เป็นนักเลงที่เรือนจำอื่นๆเขาไม่สามารถควบคุมได้เขาจะย้ายมาที่เรือนจำแห่งนี้ งานแรกในชุดข้าราชการมันไม่ง่ายอย่างที่เราคิด...
ก่อนที่เราเข้ามาทำงานที่คุกแห่งนี้เราจินตนาการคุกตามที่เราเคยดูหนังมันน่าจะเป็นที่ที่สกปรก มีแต่นักเลง และต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา เราควรทำตัวอย่างไรแต่การที่เราเคยเกเรมาก่อนทำให้เราไม่ได้กลัวในตัวผู้ต้องขังมากมายเท่าไหร่นัก ก้าวแรกที่เราเข้าไปสภาพแวดล้อมไม่ได้เป็นอย่างที่คิด สถานที่ค่อนข้างสะอาด มีระเบียบ เรามีรุ่นพี่มาแนะนำสถานที่ แดนต่าง ๆ จนมาถึงพื้นที่ที่เรียกว่าควบคุมกลางแล้วก็ได้เจอและเห็นคนตัวเล็กๆดำๆคนหนึ่ง
1
ซึ่งกำลังดุด่าและว่ากล่าวผู้ต้องขังกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะกระทำผิดกฎหรือระเบียบวินัยของเรือนจำ รุ่นพี่แนะนำเราว่านี่คือท่านผบ.เรือนจำ พวกเราก็ทำความเคารพและท่านก็บอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันนะน้อง ๆ เราเดินเป็นแถวผ่านหลังท่านแล้วเราก็ได้ยินเสียงดังผลั๊กเราหันไปดูเห็นคนตัวใหญ่ๆที่สักลายเต็มตัวกลิ้งลงไปข้างล่าง รุ่นพี่บอกพวกเราว่านักโทษเหล่านั้นได้ทำผิดกฎระเบียบของเรือนจำขั้นร้ายแรง จึงทำให้ท่านผบ.ท่านนั้นต้องลงมาจักการขั้นเด็ดขาดด้วยตัวเอง
ผู้คุมนำนักโทษเหล่านั้นไปขังเดี่ยวจนกว่าจะครบกำหนดของกฎระเบียบของกรมฯที่บังคับใช้ในปีนั้น ส่วนงานแรกที่เราได้รับหมอบหมายให้ทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประจำฝ่ายซึ่งมีหน้าที่พิมพ์เอกสารที่หัวหน้าฝ่ายมอบหมายให้ทำ เช่น งานย้ายผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมดีกลับไปภูมิลำเนา หรือจะเป็นรายงานต่างที่กรมฯกำหนดให้รายงานตามรอบ
หลังจากวันนั้นไม่นานท่านผบ.ก็ได้เรียกพวกเราเข้าไปคุย ท่านได้ให้โอวาทกับผู้ที่เข้าทำงานใหม่ คำพูดที่เราจำและได้ถือปฏิบัติมาตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้นั้นก็คือ “คุกก็เหมือนโคลน ถ้าเราคลายมือออกมันก็จะไหลออกหมด แต่ถ้าเรากำมือแรงมากเกินไปมันก็ไหลออกเช่นกัน ดังนั้นเราต้องประคองให้มันอยู่ในมือของเรา โดยใช้แรงที่เรามีประคองให้มันอยู่ให้ได้อย่างแรงจนเกินไปและอย่าคลายจนเกินไป” เรานำคำแนะนำของท่านมาถือปฏิบัติมาโดยตลอดเพราะมันคือความจริงที่เป็นอยู่ในสถานที่แห่งนี้...
เราได้ย้ายเข้ามาอยู่กับน้องคนหนึ่งชื่อ “บีม” ซึ่งน้องได้เอาแฟนมาอยู่ด้วยเพราะไม่ไว้ใจแฟนมัน สภาพบ้านเป็นบ้านกึ่งไม้สองชั้นลักษณะคล้ายบ้านทาวเฮาส์ มีห้องอยู่สองห้องเราแยกกันอยู่กับน้องบีมคนละห้องได้ไม่นานเวลาก็รวมๆประมาณ 3 อาทิตย์ น้องก็มีคำสั่งได้ย้ายไปที่เรือนจำแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคกลาง ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่าน้องเขามีญาติอยู่ในกรมฯเลยได้ย้ายออกไปไว ทำให้เราต้องอยู่คนเดียวบางครั้งเราก็รู้สึกเหงาอยู่เหมือนกัน
ขอบคุณภาพ : https://th.eferrit.com/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99/
เราทำงานในหน้าที่ของเราไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่ที่หัวหน้าฝ่ายนั้นสั่งงานมาคิดเสียว่าฝึกตัวเองในการทำเอกสารทางราชการไปเรื่อยระยะหนึ่งแล้ว ทางเรือนจำมีคำสั่งให้พวกเรานั้นได้เข้าเวรยามในครั้งแรก ตอนนั้นเราคิดว่าเราได้เข้าเวรยามในแดนต่าง ๆที่เราเฝ้ามอง ความรู้สึกของเรามันตื่นเต้นมาก ๆ แต่มันไม่ใช่...
คำสั่งให้พวกเราต้องไปเข้าเวรยามในป้อมสูงเป็นเวลา 1 ปี ถึงจะเข้าเวรยามในแดนต่าง ๆได้ เราเข้าไปถามหัวหน้าฝ่ายทันทีว่าทำไมถึงต้องเวรยามในป้อมสูงเป็นเวลาตั้ง 1 ปีถึงจะเข้าเวรในแดนได้ คำตอบก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้เราซึ่งเป็นผู้คุมใหม่ถูกผู้ต้องขังที่อยู่นั้นคลอบงำจนไปเป็นพวกของมัน จึงให้เราเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง ๆของผู้ต้องขังเหล่านั้นและจำแนกออกมาว่าใครทำอะไรอย่างไรในทุก ๆวันที่ได้เข้าเวรยามจนถึงเวลาที่เหมาะสมถึงจะให้เข้าเวรยามในแดนได้
เพราะต้องเข้าไปใกล้ชิดผู้ต้องขังกลุ่มต่าง ๆ และสามารถแยกแยะผู้ต้องขังเหล่านั้นได้ จากการบอกเล่าของรุ่นพี่ทำให้เรารู้ว่าในคุกยังต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในการควบคุมผู้ต้องขัง มันไม่ง่ายแต่เราเชื่อว่าเราทำได้และทำได้ดีด้วย
1
ขอบคุณภาพ : https://board.postjung.com/945544
การเข้าเวรยามของเรานั้นเราใช้จักรยานปั่นไปขึ้นป้อม เราเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง ๆผู้ต้องขังทำให้เรารู้ว่าผู้ต้องขังมีกี่กลุ่มแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมอย่างไร แต่การขึ้นป้อมถือปืนทุกวันทำให้เราเริ่มเบื่อ ทุกครั้งที่ต้องเข้าเวรยามเรานอนนึกถึงลูกคิดว่าลูกจะเป็นยังไงบ้างและจะอยู่ยังไร บางเวลาก็คิดถึงปิมว่าจะอยู่ยังไง ทำอะไรอยู่ แต่ปิมเป็นผู้หญิงเก่ง เธออยู่ได้อยู่แล้ว อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังฟ้องหย่ากับภรรยาอยู่ทำให้เราสับสน
จนเวลาผ่านไปเกือบๆปีเราก็ยังคงเข้าเวรยามที่ป้อมนั้น และการคิดวนเวียนแบบนั้นทำให้เราล้มป่วย วันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับการไม่มีความรู้สึกของแขนและขาข้างขวา ขณะที่เราแปรงฟันแทบไม่มีแรงถือแม้แต่แปรงสีฟันด้วยซ้ำ ในความรู้สึกครั้งแรกนั้นเราคิดว่าเราคงนอนทับแขนจนเป็นเหน็บขาหรืออะไรทำนองนั้น เรากลับมาอาบน้ำและไปเข้าทำงานต่อเราเซ็นชื่อเข้าทำงานไม่ได้ปากกาหล่นลงพื้นทุกครั้งที่หยิบมาเขียน เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น
เราตั้งใจเขียนสุดๆก็ทำไม่ได้แล้วเราเข้าไปนั่งที่โต๊ะในห้องทำงานของเรา สั่งกาแฟมานั่งกิน 1 แก้ว ทันทีที่เรายกแก้วกาแฟกินกาแฟไหลออกทางมุมปากด้านขวาในทันทีเราตกใจมากทำไมเป็นแบบนี้.. พอหัวหน้าฝ่ายเข้ามาเห็นเราในลักษณะนั้นรีบบอกกับเราว่า “มึงรีบไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปกับผู้ต้องขังที่ออกตรวจที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” เราถามขึ้นทันทีว่า “มันเป็นอะไรเหรอครับหัวหน้า” หัวหน้าฝ่ายบอกว่า “มึงเป็นเส้นเลือดสมองตีบแล้ว”
1
เราตกใจจนหน้าซีดในทันทีและค่อยๆเดินออกมาจากเรือนจำและไปขึ้นรถที่พี่ๆเขาจะพาผู้ต้องขังไปหาหมอและขึ้นรถไปโรงพยาบาลในทันที...
จบ EP.12
EP.13 การที่เราได้เข้าโรงพยาบาลในครั้งนี้เราคิดว่าเป็นการที่เราอาจจะได้ความเห็นใจจากคนที่เรารักบ้าง แต่ไม่ใช่เลย...แต่ชีวิตต้องเดินต่อ
ขอบคุภาพปก :
https://thestandard.co/world-prison-population-list-thai-6th/
ชอบ - ไลน์
ใช่ - แชร์
คอมเมนท์ได้นะครับเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน
อ่านย้อนหลังได้ที่ :
https://www.blockdit.com/pages/64d243c6befcd15a8291d5fc
ขอบคุณครับที่ติดตาม
นักเขียน
เรื่องเล่า
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย