21 พ.ย. 2023 เวลา 11:07 • ประวัติศาสตร์

ความรุ่งเรืองและโหดร้ายในอดีตของ “จักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of Japan)”

“ญี่ปุ่น” คือชาติที่หลายคนชื่นชอบ ผมก็คือหนึ่งในนั้น
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผมชอบที่จะไปมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องด้วยติดใจในสภาพบ้านเมืองที่สวยงาม เป็นระเบียบ ธรรมชาติที่สวยงาม สื่อบันเทิงต่างๆ อาหารที่อร่อย และบรรยากาศที่สวยงาม
แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ญี่ปุ่นก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ซึ่งก็มีทั้งเรื่องที่สดใสและดำมืด
บทความนี้จะบอกเล่าถึงช่วงเวลาที่รุ่งเรืองและความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในอดีตจากดินแดนอาทิตย์อุทัย
“ยุคโชวะ (Shōwa era)” เป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นภายใต้การปกครองของ “จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (Hirohito)” กำลังระอุด้วยสงคราม
และเรื่องราวอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่นนั้นก็เกิดขึ้น และโหดร้ายไม่แพ้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของเยอรมนี หากแต่เรื่องราวนี้ไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก
ในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) และ 40 (พ.ศ.2483-2492) กองทัพญี่ปุ่นได้กระทำการโหดร้ายหลายๆ อย่างในเอเชีย ซึ่งหลายเหตุการณ์ เช่น “การสังหารหมู่ที่นานกิง (Nanking Massacre)” ซึ่งคร่าชีวิตชาวจีนกว่า 300,000 คน
2
จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (Hirohito)
แต่นอกจากเหตุการณ์นี้ก็ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก
แล้วญี่ปุ่นเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ก็เช่นเดียวกับเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นนั้นพัฒนาสู่ความทันสมัยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และเริ่มจะขยายอำนาจไปนอกประเทศ
1
และสังคมญี่ปุ่นในยุคนั้นซึ่งมองว่าญี่ปุ่นคือ “แผ่นดินแม่อันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติ” ก็หาวิธีการหลีกเลี่ยงการถูกยึดครองโดยชาติอื่น ด้วยการใช้กำลังทหารเข้ารุกรานดินแดนอื่นและสร้างความโหดร้ายสารพัด
1
มีการประเมินว่าใน “โรงละครแปซิฟิก (Pacific Theatre)” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 ล้านคน และครึ่งหนึ่งคือพลเรือนที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นสังหาร
ญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
สำหรับจุดเริ่มต้นของ “จักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of Japan)” นั้น คงยากที่จะจินตนาการถึงดินแดนแห่งนี้หากไม่นึกถึง “จักรพรรดิ”
ตามตำนานนั้น จักรพรรดิองค์แรกแห่งญี่ปุ่นคือ “จักรพรรดิจิมมุ (Emperor Jimmu)” ซึ่งตามตำนาน จักรพรรดิจิมมุคือสายเลือดของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 660 ปีก่อนคริสตกาล ก็คือวันที่จักรพรรดิจิมมุขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิอย่างสมบูรณ์ และเป็นวันสำคัญของชาวญี่ปุ่น
1
บทบาทของจักรพรรดิจิมมุที่เป็นเหมือนสื่อกลางระหว่างเทพเจ้า ธรรมชาติ และมนุษย์ ได้กลายเป็นเหมือนต้นแบบสำหรับจักรพรรดิญี่ปุ่นในยุคต่อๆ มา และองค์จักรพรรดิก็เป็นเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวญี่ปุ่น
2
จักรพรรดิจิมมุ (Emperor Jimmu)
แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 12 อำนาจขององค์จักรพรรดิก็เริ่มจะสั่นคลอน เมื่อเหล่า “โชกุน (Shogun)” ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจทางทหารเข้ามาคุมอำนาจ ทำให้จักรพรรดิต้องเข้าไปอยู่หลังฉาก ไม่มีอำนาจมากเท่าเหล่าผู้คุมกำลังทหาร แต่ระบบนี้ก็ได้นำไปสู่ความรุนแรงในศตวรรษที่ 15 เมื่อญี่ปุ่นถูกแบ่งเป็นแว่นแคว้นต่างๆ และขุนศึกที่เรียกว่า “ไดเมียว (Daimyo)” ก็ต่อสู้กันเพื่อชิงอำนาจ
เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 17 โชกุนคนแรกของรัฐบาลเอโดะก็ได้ทำให้ความขัดแย้งต่างๆ จบลงด้วยการออกมาตรการควบคุมทางสังคมที่เข้มงวด และการปิดประเทศจากโลกภายนอก
เป็นเวลาเกือบ 250 ปีที่ญี่ปุ่นอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นชาติที่ประชากรจำนวนมากเป็นชาวไร่และพ่อค้า แต่มีผู้ปกครองคือขุนนางทหาร จนกระทั่งในปีค.ศ.1853 (พ.ศ.2396) “แมททิว เพอร์รี (Matthew Perry)” นายทหารเรือชาวอเมริกันได้เข้ามายังญี่ปุ่น
แมททิว เพอร์รี (Matthew Perry)
เพอร์รีเข้ามาพร้อมกับกองทัพเรือรบอเมริกัน และเพอร์รีก็เรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือรับรองเรือต่างชาติ
ในทีแรก ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไรนักกับการเปิดเขตแดนของตน แต่ในไม่ช้า ญี่ปุ่นก็เริ่มจะได้ประโยชน์จากการเข้าถึงเทคโนโลยีฝั่งตะวันตก และญี่ปุ่นก็เริ่มจะก้าวทันโลก
2
หลังจากที่ “จักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji)” ขึ้นครองราชย์ในปีค.ศ.1867 (พ.ศ.2410) ระบอบโชกุนก็ได้เสื่อมลง และอำนาจก็เปลี่ยนมือไปสู่จักรพรรดิองค์ใหม่ และเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของจักรวรรดิญี่ปุ่น
ในยุคนี้ เจ้าหน้าที่รัฐของญี่ปุ่นได้เดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยียุคใหม่ และนำองค์ความรู้เหล่านั้นกลับมายังญี่ปุ่น ทำให้เกิดการก่อสร้างทางรถไฟ และระบบโทรเลข
1
จักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji)
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือการก่อตั้งกองทัพญี่ปุ่นในปีค.ศ.1871 (พ.ศ.2414) โดยกำหนดให้บุรุษต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ประจำการในกองทัพเป็นเวลาสามปี โดยจะมีการฝึกทหารและการใช้อาวุธ และจุดประสงค์ของกองทัพก็เพื่อปกป้องญี่ปุ่นจากการรุกรานของดินแดนอื่น
แต่ในความเป็นจริงนั้น กลับเป็นกองทัพญี่ปุ่นที่เป็นสาเหตุของความรุนแรงในเวลาต่อมา
1
ในไม่ช้า ญี่ปุ่นก็จะได้ทดสอบแสนยานุภาพของกองทัพตน โดยในยุค 1870 (พ.ศ.2413-2422) ญี่ปุ่นได้จับตามองเกาหลี ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของจีน หากแต่ก็ช่างน่าดึงดูดเนื่องจากเกาหลีนั้นอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรที่ญี่ปุ่นต้องการ
1
ในปีค.ศ.1894 (พ.ศ.2437) ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นและจีนเรื่องอำนาจควบคุมเกาหลีได้กลายเป็น “สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War)”
สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War)
ในเวลานั้น คนจำนวนมากคิดว่าจีนซึ่งมีกองทัพที่มีกำลังทหารมากกว่าจะสามารถเอาชนะญี่ปุ่นได้เป็นแน่ แต่กองทัพของญี่ปุ่นนั้นทันสมัยกว่ากองทัพจีน ทำให้กองทัพญี่ปุ่นเอาชนะกองทัพจีนได้ในที่สุด
ฝ่ายจีนต้องยอมแพ้แก่ญี่ปุ่น และผลที่ได้ก็คือ “สนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki)” ซึ่งให้ญี่ปุ่นครอบครองดินแดนกว้างใหญ่
แต่สำหรับญี่ปุ่น แค่นี้ยังน้อยไป
มือสังหารชาวญี่ปุ่นและผู้ร่วมก่อการชาวเกาหลีได้ทำการปลงพระชนม์ราชินีเกาหลีในปีค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าราชินีจะดึงรัสเซียให้เข้ามาช่วยต้านอำนาจญี่ปุ่น
การลงนามสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki)
ในช่วงเวลานี้เอง ญี่ปุ่นเริ่มมองว่ารัสเซียนั้นเป็นภัยคุกคามต่อการขยายอำนาจไปทั่วเอเชียของญี่ปุ่น
ในปีค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) ญี่ปุ่นกับรัสเซียได้รบกันหลังจากที่รัสเซียปฏิเสธ ไม่ยอมรับอำนาจของญี่ปุ่นในเกาหลี และก็เช่นเดียวกับสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง ใน “สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War)” กองทัพรัสเซียก็ประเมินกองทัพญี่ปุ่นต่ำเกินไป ทำให้ในเวลาหนึ่งปีครึ่ง กองทัพญี่ปุ่นสามารถเอาชัยเหนือกองทัพรัสเซีย และทำให้ชื่อเสียงของกองทัพญี่ปุ่นเกรียงไกรไปทั่ว
1
ในปีค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) หลังจากญี่ปุ่นเข้ายึดครองพื้นที่ที่รัสเซียสร้างทางรถไฟในแมนจูเรีย ญี่ปุ่นก็เริ่มมองหาโอกาสในการเข้าควบคุมดินแดนจีนอย่างเต็มตัว
สงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War)
หลังจากราชวงศ์ชิงล่มสลายในปีค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) ญี่ปุ่นก็ได้ร่วมมือกับเหล่าขุนศึกเพื่อให้เป้าหมายเป็นจริง และในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ญี่ปุ่นก็ได้หันเหความสนใจไปยังการยึดครองเกาะต่างๆ ที่เคยเป็นอาณานิคมของเยอรมนีในแถบแปซิฟิก
ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) “จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (Hirohito)” พระราชนัดดาในจักรพรรดิเมจิ ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพของนักการเมืองและขุนศึกชาวจีนที่ชื่อ “เจียงไคเช็ก (Chiang Kai-shek)” ขึ้นเป็นใหญ่ในจีน
2
แต่เจียงไคเช็กก็ยังต้องระวังภัยจาก “เหมาเจ๋อตุง (Mao Zedong)” และกองทัพคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุง หากแต่ชายทั้งสองก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากดินแดนต่างชาติอย่างญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นก็เล็งที่จะขยายอิทธิพลเข้ามาในจีน
เจียงไคเช็ก (Chiang Kai-shek)
ในปีค.ศ.1931 (พ.ศ.2474) ญี่ปุ่นได้ทำการระเบิดบริเวณข้างๆ ทางรถไฟของตนเองในแมนจูเรีย และใช้เหตุการณ์นี้ที่เรียกว่า “เหตุการณ์มุกเดน (Mukden Incident)” เป็นข้ออ้างในการเข้ารุกรานดินแดนแมนจูเรีย และจัดตั้งรัฐหุ่นเชิดที่เรียกว่า “แมนจูกัว (Manchukuo)” โดยรัฐนี้เป็นรัฐที่ปกครองโดยจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิงองค์สุดท้าย หากแต่ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงก็คือญี่ปุ่น
และถึงแม้ว่าพฤติการณ์ของญี่ปุ่นที่กระทำต่อจีน จะทำให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับการต่อต้านและประณามจากสันนิบาตชาติ และทำให้ญี่ปุ่นถอนตัวจากสันนิบาตชาติ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งญี่ปุ่นในการเข้ารุกรานและยึดครองพื้นที่ใหม่ๆ ได้
ปีต่อมา ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) กองทัพญี่ปุ่นได้ทำการระเบิดเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากกองทัพจีนได้ละเมิดกฎที่ฝ่ายญี่ปุ่นตั้งไว้
ถึงแม้ว่าจะถูกนานาชาติรุมประณาม แต่ญี่ปุ่นก็ยังไม่หยุด ทำให้มีการย้ายกองทัพจีนออกจากเซี่ยงไฮ้ ส่วนที่ประเทศญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรี “อินูไก สึโยชิ (Inukai Tsuyoshi)” ก็ถูกลอบสังหารหลังจากที่ท่านนายกพยายามจะหยุดยั้งพฤติการณ์ของกองทัพญี่ปุ่น
4
อีกห้าปีต่อมา ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นและจีนก็นำไปสู่ “สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง (Second Sino-Japanese War)” ตามมาด้วยการสู้รบในโรงละครแปซิฟิกช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และผลที่ได้ก็คืออาชญากรรมสงครามที่น่าสลดใจ
1
วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) ได้เกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพญี่ปุ่นกับกองทัพจีนในบริเวณชานเมืองของปักกิ่ง ซึ่งนำไปสู่สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง
ในเวลานั้น ชาติมหาอำนาจหลายชาติ ทั้งสหภาพโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และแม้แต่เยอรมนีในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังก้าวมาสนับสนุนจีน
สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง (Second Sino-Japanese War)
แต่จักรวรรดิญี่ปุ่นก็ไม่ยอมหยุด และมักจะใช้ยุทธวิธีที่โหดร้ายทารุณในการเอาชนะ และการโหยหาชัยชนะโดยไม่สนใจวิธีการของญี่ปุ่นนี้เอง ก็เป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเดินทัพเข้ามาในเมืองนานกิง
ในเวลานั้น นานกิงเป็นเมืองหลวงของจีน และนานกิงก็แตกในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) โดยกองกำลังญี่ปุ่นภายใต้การนำของ “เจ้าชายยาซูฮิโกะ อาซากะ (Prince Yasuhiko Asaka)” ก็ได้ปิดล้อมกองทัพจีนไว้อย่างแน่นหนา
ทหารญี่ปุ่นได้รับคำสั่งให้ “สังหารเชลย” ให้หมด
จากนั้น การสังหารหมู่ที่นานกิงจึงเริ่มขึ้น
เจ้าชายยาซูฮิโกะ อาซากะ (Prince Yasuhiko Asaka)
ผลที่ตามมาก็คือการสังหารหมู่ที่กินเวลายาวนานกว่าหกสัปดาห์ มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นอาจจะมีมากกว่า 300,000 คนเลยทีเดียว
มีเด็กและผู้หญิงถูกข่มขืนกว่า 80,000 คน และเหยื่อเหล่านี้ส่วนมากก็จะเสียชีวิต ที่รอดชีวิตก็มักจะพิการ ซึ่งเรื่องราวการข่มขืนนี้ก็โหดร้ายเกินกว่าจะเขียนจบได้ในบทความเดียว
แพทย์ชาวอเมริกันได้เขียนบันทึกเอาไว้ ทำให้เห็นภาพของเหตุการณ์ความโหดร้ายที่นานกิงได้
“การสังหารหมู่ชาวบ้านนั้นโหดร้ายมาก ผมสามารถเขียนได้เป็นหน้าๆ ถึงเคสการข่มขืนและความทารุณเกินกว่าจะเชื่อได้ เมื่อคืนนี้ บ้านของเจ้าหน้าที่ชาวจีนรายหนึ่งของมหาวิทยาลัยได้ถูกรุกราน และสตรีสองคนในบ้าน ญาติของเขา ก็ถูกข่มขืน”
“เด็กสาวสองคน อายุประมาณ 16 ปี ถูกข่มขืนจนตายในค่ายผู้อพยพ สถานศึกษาที่มีคนอยู่กว่า 8,000 คนก็ถูกพวกญี่ปุ่นบุกเข้ามากว่า 10 ครั้งเมื่อคืนนี้ ทั้งขโมยอาหาร เสื้อผ้า และข่มขืนจนพวกมันพอใจ”
3
ในเวลาไม่นานนัก ข่าวความโหดร้ายของญี่ปุ่นก็ได้แพร่ไปทั่ว นักข่าวอเมริกันรายหนึ่งได้หลบหนีออกจากนานกิงได้ทันเวลา และเมื่อกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้ ก็ได้รายงานสิ่งที่พบเห็นแก่หนังสือพิมพ์ "The New York Times"
“จอห์น มากี (John Magee)” นักบวชชาวอเมริกัน ก็ได้บันทึกและถ่ายภาพเหตุการณ์ญี่ปุ่นสังหารสตรีชาวจีนเป็นจำนวนมากไว้ได้
เรื่องราวเหล่านี้สร้างความโกรธแค้นและทำให้ทั่วโลกก่นด่าญี่ปุ่น แต่แทนที่เหล่าผู้บัญชาการระดับสูงในกองทัพญี่ปุ่นจะสั่งให้ทหารหยุด ไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก แต่กลับแก้ปัญหาด้วยการสร้างซ่องในกองทัพ เอาไว้บริการเหล่าทหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
อีกเรื่องราวความโหดร้ายที่นานกิง ก็คือ “การแข่งขันฆ่าคน 100 คนด้วยดาบ”
นี่เป็นการแข่งขันระหว่างทหารญี่ปุ่นสองนาย นั่นคือ “โทชิอากิ มุไค (Toshiaki Mukai)” กับ “สึโยชิ โนดะ (Tsuyoshi Noda)” โดยแข่งกันว่าใครจะใช้ดาบสังหารคนได้ 100 คนก่อนกัน
สึโยชิ โนดะ (Tsuyoshi Noda) (ซ้าย) และ โทชิอากิ มุไค (Toshiaki Mukai) (ขวา)
หนังสือพิมพ์ "Tokyo Nichi Nichi Shinbun" ได้พาดหัวข่าวว่า
“สถิติที่ไม่น่าเชื่อ มุไค 106 105 โนดะ”
แต่ความจริงคือ โนดะเองก็จำไม่ได้ว่าสังหารคนไปแล้วกี่คน และทหารญี่ปุ่นคนอื่นๆ ก็สังหารคนเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยโนดะได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า
“อันที่จริง ผมไม่ได้สังหารคนไปมากกว่า 4-5 คนในการต่อสู้มือเปล่า เราพบกับสนามเพลาะของศัตรูที่เราจับได้ และเราก็จะตะโกนไปว่า “นี่ ไล ไล (แก มานี่ๆ)” และพวกเขาทั้งหมดก็จะก้าวเข้ามาหาเรา เราจะจับพวกเขายืนเรียงกันและสังหาร ตั้งแต่หัวแถวถึงปลายแถว ผมได้รับการยกย่องว่าสังหารคนได้กว่า 100 คน แต่อันที่จริง พวกเขาเกือบทั้งหมดก็ถูกสังหารด้วยวิธีการเดียวกันนี้”
จากบันทึกนั้น ทหารญี่ปุ่นสังหารชาวจีนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งนี่ก็คืออาชญากรรมสงครามที่เป็นฝีมือของฝ่ายญี่ปุ่น
3
และในบรรดาผู้รอดชีวิต รวมทั้งสตรีและเด็กสาวที่ถูกจับตัวไปจากจีนและชาติอื่นๆ ใต้อำนาจของญี่ปุ่น ก็ได้ถูกบังคับให้เป็นหญิงบริการในซ่องของกองทัพญี่ปุ่น หลายรายก็ต้องแยกจากชุมชนของตน ซึ่งนี่ก็คือฝันร้ายของพวกเธอ”
1
และในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังมุ่งมั่นในการยึดครองดินแดนต่างๆ แต่ก็ต้องพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ซึ่งก็ต้องใช้ทั้งกำลังคนและทรัพยากร
ในช่วงต้นยุค 40 (พ.ศ.2483-2492) ญี่ปุ่นต้องขนส่งเสบียงและสิ่งของต่างๆ เป็นระยะทางนับพันกิโลเมตร และกำลังคนที่ต้องการก็ไม่เพียงพอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพญี่ปุ่นจึงต้องใช้วิธีการเกณฑ์คน บังคับคนให้เป็นแรงงาน รวมถึงลักพาตัวผู้คนทั่วเอเชียมาเป็นแรงงาน
เฉพาะที่อินโดนีเซีย ผู้คนกว่า 10 ล้านคนก็ถูกบังคับให้เป็นแรงงานในการทำเหมืองและก่อสร้างโครงการต่างๆ ของญี่ปุ่น
ตลอดช่วงปลายยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) และต้นยุค 40 (พ.ศ.2483-2492) หญิงในประเทศที่ตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่นได้ถูกบังคับให้เป็นหญิงบริการในกองทัพญี่ปุ่น โดยเหยื่อกามเหล่านี้บางรายมีอายุเพียงแค่แปดขวบเท่านั้น
1
ทางด้านแรงงานกับเชลยศึกก็มีชีวิตที่ยากลำบาก ต้องถูกบังคับให้ทำงานหนัก อาหารที่ได้รับก็น้อยนิด หลายรายก็เสียชีวิตเนื่องจากขาดอาหาร ความเหนื่อยล้า และโรคระบาด
และยังมีอาชญากรรมสงครามที่โหดร้ายแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น โดยเชลยศึกและชาวบ้านซึ่งส่วนมากเป็นชาวจีน ถูกขนย้ายไปยัง “หน่วย 731 (Unit 731)” ที่ซึ่งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทำการทดลองวิปริตกับเหล่าหนูทดลองเหล่านี้ ก่อนจะฆ่าทิ้ง
การทดลองของหน่วย 731
ในปีค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) อดีตผู้ช่วยแพทย์ในกองทัพญี่ปุ่นในจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
2
“เมื่อผมหยิบมีดผ่าตัด นั่นคือช่วงเวลาที่เขา (เหยื่อ) เริ่มจะหวีดร้อง และเขาร้องอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของเขาเหยเกด้วยความเจ็บปวด เขาส่งเสียงที่ไม่สามารถจินตนาการได้ เขาร้องอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะหยุดลง”
ผู้ช่วยแพทย์รายนี้กล่าวว่าเหยื่อที่ว่าคือนักโทษชาวจีนวัย 30 ปี ซึ่งถูกฉีดเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายเพื่อสังเกตและทดลอง และสุดท้ายก็ผ่าตัดเพื่อสังเกตว่าเชื้อโรคก่อให้เกิดผลยังไงต่อร่างกาย
การผ่าตัดนั้นไม่ใช้ยาชา เนื่องจากเกรงว่ายาชาจะไปส่งผลต่อเชื้อโรคในร่างกายเหยื่อ
ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันมักจะพูดเสมอว่าในบรรดาชาติฝ่ายอักษะ ที่แย่และโหดร้ายที่สุดคือญี่ปุ่น
และจากการตรวจสอบ ก็อาจจะไม่เกินความจริงนัก โดยจากข้อมูลนั้น เชลยศึกในยุโรปมีอัตราการเสียชีวิต 4% ส่วนที่แปซิฟิกนั้น 27%
และด้วยความเชื่อที่ว่านักรบและชาติพันธุ์ของตนเป็นชนชั้นนำของโลก บวกกับการรักเกียรติเหนือชีวิต ทำให้ทหารญี่ปุ่นนั้นไม่กลัวตาย และไม่ลังเลที่จะสังหารศัตรูซึ่งเป็นชาติพันธุ์อื่น
ญี่ปุ่นมักจะนำเชลยศึกชาวตะวันตกออกแสดงให้สาธารณชนดู และทำให้เชลยศึกนั้นดูน่าเวทนามากที่สุด
อีกเรื่องที่โหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ “การกินเนื้อมนุษย์”
มีรายงานการทานเนื้อมนุษย์เพื่อความอยู่รอด ไม่มีทางเลือก แต่ก็มีหลายเหตุการณ์ที่กองทัพทานเนื้อมนุษย์เพื่อความบันเทิงหรือเพราะความเชื่อ ซึ่งผู้ที่ถูกกินส่วนมากนั้นก็คือชาวบ้าน
ถึงแม้ว่าผู้คนฝั่งตะวันตกจะรับรู้เรื่องความโหดร้ายของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เรื่องราวของญี่ปุ่นนั้นกลับไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก
แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีก็ได้พยายามทำทุกทางเพื่อชดเชยความผิด ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษอาชญากรสงครามฝั่งตนเอง สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงเหยื่อในค่ายกักกัน และกำหนดให้การปฏิเสธว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกว่าหกล้านคนนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
แต่ทางญี่ปุ่นนั้นกลับไม่ทำอะไรมากนัก
ในทุกวันนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากที่รับรู้เรื่องความโหดร้ายของญี่ปุ่นต่างตะลึงและสลดใจ แต่อันที่จริง สหรัฐอเมริกาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นไม่ยอมรับความผิด และอาชญากรสงครามหลายคนไม่โดนลงโทษ
รัฐบาลอเมริกันช่วยอาชญากรสงครามเหล่านี้กลบเกลื่อนความชั่วร้ายในสงคราม อีกทั้งยังตกลงให้อาชญากรสงครามที่มียศสูงหลายคนไม่ต้องรับโทษ แลกกับข้อมูลการทดลองของฝั่งญี่ปุ่น
หนึ่งในตัวอย่างของผู้ที่รอดจากการลงโทษก็คือ “ชิโร อิชิอิ (Shiro Ishii)” นายแพทย์ปีศาจผู้อยู่เบื้องหลังหน่วย 731 ซึ่งได้ตกลงกับฝ่ายอเมริกัน ยอมมอบผลการทดลองในช่วงสงครามให้ฝ่ายอเมริกัน แลกกับการที่ฝ่ายอเมริกันจะไม่เอาผิดอิชิอิในฐานะอาชญากรสงคราม
จักรพรรดิฮิโรฮิโตะซึ่งเป็นผู้ที่ญี่ปุ่นได้ใช้เวลาเป็นปีๆ ต่อสู้ถวายชีวิต ก็รอดจากเงื้อมมือกฎหมายเช่นกัน
ชิโร อิชิอิ (Shiro Ishii)
ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากนายพล “ดักลาส แม็คอาร์เทอร์ (Douglas MacArthur)” นายพลฝั่งอเมริกันเชื่อว่าการประหารจักรพรรดิ ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมองว่าเป็น “เทพเจ้า” จะทำให้การควบคุมญี่ปุ่นนั้นยากขึ้น
ด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้อาชญากรรมสงครามหลายๆ อย่างไม่ได้รับการเปิดเผยเป็นเวลานาน และภายในปีค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) อาชญากรสงครามชาวญี่ปุ่นจำนวนมากก็ถูกปล่อยตัว
แม็คอาร์เทอร์และจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ
และนี่ก็คือเรื่องราวของประวัติศาสตร์อันโหดร้ายที่ญี่ปุ่นเคยกระทำมาในอดีตนั่นเอง
โฆษณา