22 พ.ย. 2023 เวลา 06:22 • ประวัติศาสตร์

“โยชิเอะ ชิราโทริ (Yoshie Shiratori)” ชายซึ่งไม่มีคุกใดสามารถกักขังได้

ระหว่างค.ศ.1936-1947 (พ.ศ.2479-2490) “โยชิเอะ ชิราโทริ (Yoshie Shiratori)” นักโทษชาวญี่ปุ่น สามารถหลบหนีออกจากเรือนจำได้ถึงสี่ครั้ง ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ชายผู้ซึ่งไม่มีคุกใดสามารถกักขังได้”
ชิราโทรินั้นไม่พอใจที่ระบบในเรือนจำนั้นแย่มาก นักโทษมีความเป็นอยู่ที่เลวร้าย โดยชิราโทริได้กล่าวว่า
“เหตุผลที่ผมพยายามจะแหกคุกก็เนื่องจากผมโกรธเหล่าผู้คุมที่ประพฤติต่อนักโทษราวกับไม่ใช่มนุษย์”
1
โยชิเอะ ชิราโทริ (Yoshie Shiratori)
ในทุกวันนี้ ชื่อเสียงของชิราโทริยังกึกก้องอยู่ในญี่ปุ่น บางคนก็มองเขาเป็นวีรบุรุษ หนึ่งในเรือนจำที่ชิราโทริหลบหนีถึงกับจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับตัวเขาด้วยซ้ำ
1
วันนี้เราลองมาดูเรื่องราวของเขากันครับ
1
ชิราโทริเกิดในแถบโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น ในปีค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) โดยในช่วงวัยหนุ่ม ชิราโทริทำงานในร้านขายเต้าหู้ ก่อนจะลงเรือเป็นชาวประมง
แต่ในไม่ช้า ชิราโทริก็เริ่มเข้าสู่ด้านมืด เขาเริ่มเล่นการพนัน ตามมาด้วยลักเล็กขโมยน้อย ทำให้ชิราโทริถูกตำรวจจับตามอง ก่อนที่ในช่วงกลางยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) ชิราโทริถูกจับข้อหาฆาตกรรม
ชิราโทรินั้นสาบานว่าตนไม่ได้เป็นคนทำ ตนนั้นถูกแก๊งอันธพาลใส่ร้าย แต่ศาลก็ตัดสินให้เขามีความผิดและส่งตัวไปคุมขำยังเรือนจำอาโอโมริ
ในเวลานั้น เรือนจำในญี่ปุ่นคือสถานที่ที่โหดร้ายทารุณ ผู้คุมมักจะทรมานนักโทษ ทำให้นักโทษหลายรายพยายามจะหลบหนี แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าชิราโทริ
3
ในการแหกคุกครั้งแรกของชิราโทริ เริ่มจากชิราโทริสังเกตและจดจำตารางเวลากิจวัตรประจำวันของผู้คุม และพบว่าจะมีช่วงว่างที่ผู้คุมจะไม่ได้จับตาดูตนเป็นเวลา 15 นาที และตนก็พบว่ามีหน้าต่างที่ตนสามารถใช้เวลา 15 นาทีนี้หลบหนีออกมาได้
ในเช้าวันหลบหนี ชิราโทริได้ใช้ขดลวดที่แอบเอามาจากโรงอาบน้ำไขประตูห้องออกมา และได้นำเศษแผ่นกระเบื้องในห้องน้ำมาไว้บนเตียงและเอาผ้าห่มคลุมไว้ หลอกผู้คุมว่าตนยังอยู่บนเตียง ทำให้ชิราโทริมีเวลาหลบหนีมากขึ้น
การหลบหนีนั้นสำเร็จ และกว่าผู้คุมจะรู้ตัวว่าชิราโทริหายไปแล้วก็ผ่านไปเป็นชั่วโมง
แต่ชิราโทริก็ถูกจับตัวได้ในอีกสามวันต่อมา ทำให้เขาถูกส่งกลับเข้าเรือนจำ และครั้งนี้ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต
1
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 มาถึง ชิราโทริก็ถูกส่งไปยังเรือนจำอาคิตะ และถูกบังคับให้ใช้แรงงาน
1
เรือนจำอาคิตะนั้นแย่กว่าเรือนจำอาโอโมริซะอีก นักโทษต้องนอนบนพื้นคอนกรีต และด้วยความที่มีประวัติการแหกคุก ทำให้ชิราโทริถูกขังเดี่ยวและจับตามองเป็นพิเศษ
1
ห้องขังเดี่ยวนั้นทำให้การหลบหนีนั้นเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ นักโทษต้องใส่กุญแจมือตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนก็ต้องใส่ กำแพงสูงใหญ่ขังนักโทษออกจากโลกภายนอก แต่ถึงอย่างนั้น ชิราโทริก็ยังหาทางหนีจนได้
ในทุกๆ คืน ชิราโทริจะฝึกปีนกำแพง และเขาก็สามารถปีนขึ้นมาถึงช่องระบายอากาศได้ ก่อนจะค่อยๆ กระเทาะช่องระบายอากาศที่เก่า ขึ้นสนิมออกทีละนิดๆ ทำเช่นนี้ไปทุกๆ คืน
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ ชิราโทริก็พร้อมจะหนีแล้ว
ค่ำคืนหนึ่งที่ฝนตก ชิราโทริได้ปลดล็อคกุญแจมือของตน ก่อนจะปีนกำแพงและหลบหนีไปทางช่องระบายอากาศ
คืนนั้นฝนตกหนักและมีฟ้าผ่า ทำให้ผู้คุมไม่ได้ยินเสียงการหลบหนีของชิราโทริ และหลังจากถูกคุมขังยังเรือนจำอาคิตะเพียงสามเดือน ชิราโทริก็หลบหนีออกมาได้อีกครั้ง
1
ครั้งนี้ชิราโทริสามารถเลี่ยงการจับกุมได้เป็นเวลานับเดือน แต่ชิราโทรินั้นไม่พอใจในระบบของเรือนจำที่มักจะทรมานนักโทษ เขาจึงไปหาเพื่อนที่เป็นตำรวจ ขอให้เพื่อนหาทางแก้ระบบนี้ แต่เพื่อนของเขากลับแจ้งเจ้าหน้าที่ ทำให้ชิราโทริต้องกลับไปยังเรือนจำเป็นครั้งที่สาม
3
การแหกคุกออกมาได้ถึงสองครั้งทำให้ชิราโทริโด่งดังไปทั่ว หนังสือพิมพ์ต่างเขียนเรื่องราวของชิราโทริ และทางการก็ต้องการจะให้แน่ใจว่าคราวนี้ชิราโทริจะหนีไม่ได้อีกแล้ว ทางการจึงส่งชิราโทริไปยังเรือนจำอาบาชิริ ซึ่งเป็นเรือนจำที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา
เรือนจำอาบาชิรินั้นตั้งอยู่ทางเหนือของญี่ปุ่น มีอากาศหนาวเย็น หิมะตกบ่อยครั้ง ทำให้นักโทษซึ่งอยู่ในชุดนักโทษที่บาง กันความหนาวเย็นไม่ได้ หลบหนีลำบาก
2
ที่เรือนจำแห่งนี้ไม่มีช่องระบายอากาศสนิมเขรอะหรือว่าช่วงว่าง 15 นาทีที่แอบหลบหนีได้
ชิราโทริถูกใส่โซ่ตรวนที่มือและข้อเท้า ซึ่งผู้ที่จะแกะออกได้ก็มีแต่ช่างตีเหล็กเท่านั้น เรียกได้ว่าเอาให้แน่ใจว่าชิราโทริหนีไม่ได้แน่นอน
1
แต่ชิราโทริก็สาบานว่าจะต้องหนีออกไปให้ได้
ในทุกๆ วัน ชิราโทริจะแอบหยดซุปมิโซะซึ่งเป็นอาหารเช้าใส่โซ่ตรวนของตน และแอบหยดซุปมิโซะใส่ช่องที่ประตูห้องขัง ซึ่งเป็นช่องที่ผู้คุมใช้ส่งอาหาร
ในไม่ช้า ปฏิกิริยาของซุปมิโซะก็ส่งผลต่อเหล็กที่โซ่ตรวน
หลังจากผ่านไปได้หลายเดือน ชิราโทริก็สามารถปลดพันธนาการโซ่ตรวนนี้ออกได้ แต่เขาก็พบว่าช่องส่งอาหารที่จะใช้หลบหนีนั้นมีขนาดเล็กเกินกว่าที่คนธรรมดาจะลอดออกไปได้
ชิราโทริจัดการเคลื่อนย้ายกระดูกหัวไหล่ตนจนสามารถเล็ดลอดออกมาได้ในที่สุด และชิราโทริก็เป็นนักโทษรายแรกและรายเดียวที่สามารถหลบหนีออกจากเรือนจำอาบาชิริ
หลังจากแหกคุกมาได้เป็นครั้งที่สาม ชิราโทริก็หลบซ่อนตัวเป็นเวลานับปี โดยเขาหลบอยู่ในเหมืองร้าง ดำรงชีพด้วยการหาผลไม้ป่าและจับกระต่ายป่ากินเป็นอาหาร
แต่แล้ววันหนึ่ง ชาวนารายหนึ่งพบชิราโทริ และเข้าใจว่าชิราโทริเป็นโจร จึงเข้าทำร้ายชิราโทริ ชิราโทริจึงต่อสู้กับชาวนาเพื่อป้องกันตัว และชาวนาก็เสียชีวิตในขณะต่อสู้
ทางการจึงเข้าจับตัวชิราโทริ และครั้งนี้ ชิราโทริถูกตัดสินให้ประหารชีวิต
ทางการไม่ยอมให้โอกาสอีกแล้ว ชิราโทริถูกส่งเข้าควบคุมตัวที่เรือนจำซัปโปโร มีผู้คุมหกคนคอยจับตาดู 24 ชั่วโมง ช่องเดียวที่มีในห้องขังนั้นมีขนาดเล็กกว่าศีรษะของชิราโทริซะอีก
แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง เมื่อผู้คุมเปิดห้องขัง ก็พบว่าชิราโทริหายไปแล้ว
2
ชิราโทรินั้นแอบถอนตะปูบนพื้นห้องขัง และใช้ถ้วยซุปขุดอุโมงค์หนี โดยเขาจะขุดเฉพาะเวลากลางคืน และขุดในบริเวณใต้เตียง
แต่หลังจากหนีออกมาได้ ชิราโทริกลับมามอบตัวกับทางการและกลับขึ้นศาล โดยในขณะนั้นก็มีการปฏิรูประบบในเรือนจำของญี่ปุ่น
1
ชิราโทริอธิบายว่าที่ตนแหกคุกนั้นก็เนื่องจากสภาพในเรือนจำที่ไม่ดีและการทรมานนักโทษ ซึ่งศาลก็รับฟัง และตัดสินว่าการฆ่าชาวนานั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว
2
ชิราโทริต้องเข้าเรือนจำอีกครั้ง แต่ได้รับการลดโทษ ไม่ต้องโทษประหาร เหลือจำคุกเพียง 20 ปี โดยชิราโทริขอไปอยู่ในเรือนจำฟุจุในโตเกียว
2
ในครั้งนี้ชิราโทริไม่พยายามหลบหนี และก็กลายเป็นนักโทษชั้นดี มีความประพฤติดี ได้รับการปล่อยตัวในปีค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) และมีชีวิตอย่างอิสระไปได้อีกหลายปีจนเสียชีวิตในปีค.ศ.1979 (พ.ศ.2522) ด้วยวัย 72 ปี
2
โฆษณา