1 ธ.ค. 2023 เวลา 06:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

พรที่ขอไม่สัมฤทธิ์ผล : ครั้งแรกในรอบเกือบสิบปีที่ Disney ไม่มีหนังที่ทำรายได้ เกินพันล้านเหรียญ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 สตูดิโออย่าง Disney เป็นสตูดิโอม้าแรงประจำปีของอุตสาหกรรมฮอลลีวู้ด ด้วยการสร้างสถิติ ทำรายได้แบบถล่มทลาย แบบไม่มีสตูดิโอไหนทำได้ ซึ่งผลงานของสตูดิโอถึง 7 เรื่องในปีนั้น สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกเกิน $1 พันล้านเหรียญ จากสินทรัพย์ที่อยู่ใต้ชายคาอย่าง Marvel, Pixel และ Lucasfilm ส่งผลให้ผลงานทั้งหมดของ Disney ในปีนั้น เก็บรายได้รวมทั่วโลกไปทั้งสิ้นถึง $1.1 หมื่นล้านเหรียญ!
เรียกได้ว่า Disney สามารถสร้างเม็ดเงินได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องใดก็ตามที่ออกฉายในปีนั้น แต่กลับกัน ปี 2023 ที่ผ่านมานั้น อาจเป็นสัญญาณว่า Disney อาจไม่ได้ทรงพลังดั่งเช่นเมื่อ 4 ปีก่อนอีกแล้ว
โดยผลงานล่าสุดที่ทาง Disney ได้ทำหน้าที่จัดจำหน่าย คือ “Wish” ภาพยนตร์แอนิเมชันจาก Walt Disney Animation Studios ซึ่งกลายเป็นผลงานยักษ์ล้มเรื่องล่าสุดของ Disney ไปโดยปริยาย หลังเปิดตัวขึ้นอันดับสาม ด้วยรายได้รวมห้าวัน เพียงแค่ $31.7 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างระดับพระกาฬถึง $200 ล้านเหรียญ
และกลายเป็นหนึ่งในผลงานหนังฟอร์มยักษ์น่าผิดหวังประจำปีของ Disney ตามหลัง ตามหลังหนังอย่าง “The Marvels“, “Indiana Jones and the Dial of Destiny“, “The Haunted Mansion” และ “Ant-Man and the Wasp: Quantumania”
ส่วนสำหรับ “The Little Mermaid” เอง ก็อยู่ในเกณฑ์คาบเส้นของหนังที่เกือบจะล้มเหลวบนตารางทำเงิน แต่ก็สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกกว่า $569 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ประสบความสำเร็จแบบเดียวกับผลงานดัดแปลงจากแอนิเมชันก่อนหน้านี้อย่าง “The Lion King” และ “Beauty and the Beast” ซึ่งล้วนทำรายได้รวมทั่วโลกขึ้นระดับพันล้านเหรียญแทบทั้งสิ้น
ส่วน “Elemental” ซึ่งเปิดตัวอย่างน่าผิดหวัง แต่สามารถทำฟอร์มได้ดีในการเก็บรายได้ระยะยาว จนสามารถทำรายได้รวมทั่วโลกทั้งสิ้น $495 ล้านเหรียญ โดย Disney ก็กำลังหวังว่า “Wish” จะแสดงศักยภาพในแบบเดียวกับที่ “Elemental” สามารถทำได้ในช่วงวันหยุดยาว
กระนั้นเอง ผลงานของ Disney เพียงเรื่องเดียว ที่สามารถระบุได้ว่า ประสบความสำเร็จบนตารางทำเงินในปี 2023 ก็คือ “Guardians of the Galaxy Vol.3” ซึ่งถึงแม้จะดูน่าประทับใจ แต่จากการวิเคราะห์เบื้องต้นที่คาดการณ์ไว้ว่า บทสรุปไตรภาคทีมแก๊งเกรียนของผู้กำกับ ฯ เจมส์ กันน์ นั้น น่าจะสามารถเก็บรายได้ระดับพันล้านเหรียญ หรือกลายเป็นหนังที่ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงสุดในไตรภาคด้วยซ้ำ แต่กระนั้น “Vol.3” ก็ทำรายได้รวมทั่วโลกทั้งสิ้น $845 ล้านเหรียญ เท่านั้น
และหากจะตอกย้ำโดยสรุป นี่เป็นปีแรกของ Disney นับตั้งแต่ปี 2014 (นอกเหนือจากช่วงยุคโควิดในปี 2020 และ 2021) ที่ Disney ไม่มีผลงานที่ทำรายได้ในระดับพันล้านเหรียญเลย แม้แต่เรื่องเดียว
“Disney สร้างขีดจำกัดที่เป็นไปไม่ได้ไว้สูงมาก ๆ ในช่วงยุค 2010-2019 ด้วยการยิงกระสุนทุกนัดที่พวกเขามีในปืนใหญ่ แต่ข้อเสียจากความสำเร็จอันใหญ่หลวงก็คือ มันมาพร้อมความคาดหวังเสมอ ซึ่งสตูดิโอจะตกอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบาก ทันทีเมื่อบ่อเงินบ่อทองของเขา เริ่มแห้งเหือด” ชอว์น ร็อบบินส์ หัวหน้านักวิเคราะห์ Boxoffice Pro กล่าว
ความยากลำบากในการหวนคืนสู่ความเกรียงไกรของ Disney ในปี 2023 สามารถเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ด้วยกรณีของหนังฟอร์มยักษ์อย่าง “Avatar: The Way of Water” ของ 20th Century Studios (ซึ่งอยู่ภายใต้ชายคาของ Disney อีกที) ซึ่งตัวหนัง เข้าฉายในช่วงปลายปี 2022 ด้วยซ้ำ แต่กลับทำรายได้รวมในสหรัฐฯ ภายในปีนี้ รวมทั้งสิ้น $283 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 7 ของปีนี้
และมันยังสูงกว่าหนังฟอร์มยักษ์ส่วนใหญ่ของ Disney ที่ออกฉายในปีนี้อย่าง “Ant-Man and the Wasp: Quantumania”, “Indiana Jones and the Dial of Destiny”, “Elemental”, “The Marvels” และ “The Haunted Mansion” เสียอีก
แต่กระนั้นเอง ด้วยสถานการณ์อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ปัจจุบัน เพิ่งฟื้นฟูหลังภาวะโควิด รวมถึงการประท้วงของสมาคมมือเขียนบทฯ และ สมาคมนักแสดงฯ ที่เพิ่งสิ้นสุดลงไป และก็กระทบการตารางหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่อง ทั้งในปี 2024 และในอนาคต จนส่งผลให้ แทบทุกสตูดิโอในฮอลลีวู้ด ต้องจำยอมรับสภาพกับตัวเลขรายได้รวมทั่วโลกของหนังในปีนี้ที่ซบเซาลง
กระนั้นเอง สามอันดับหนังทำรายได้รวมทั่วโลกสูงสุดของปี 2023 คือหนังอย่าง “Barbie” ของ Warner Bros. ($1.4 พันล้านเหรียญ), “The Super Mario Bros. Movie” ของ Universal ($1.3 พันล้านเหรียญ) และ “Oppenheimer” ของ Universal ($950 พันล้านเหรียญ) โดยที่ Disney ยังคงเป็นเจ้าของตำแหน่ง 4 ใน 10 ภาพยนตร์ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงสุดตลอดกาล โดยที่ยังไม่มีสตูดิโอเจ้าไหน ครองตำแหน่งได้มากกว่าสองเรื่องในสิบอันดับนั้นด้วยซ้ำ
ความสำเร็จในระดับพอประมาณ กับความล้มเหลวบนตารางทำเงินในหนังของ Disney จึงอาจถูกตีตราว่าเป็น “หนังเจ๊ง” จากสตูดิโอคู่แข่งได้โดยง่าย
นักวิเคราะห์ยังเชื่อด้วยว่า มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อตัวเลขรายได้ของหนัง Disney ทั้งการที่ตัวแบรนด์ยึดมั่นกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ในช่วงโควิด, ภาวะไอเดียถดถอย และการตั้งมั่นในแบรนด์หนังที่เคยน่าเชื่อถือมากจนเกินไป ตัวอย่างชั้นดีคือหนังอย่าง “Avengers: Endgame” เข้าฉายในโรง และถูกยกให้เป็นปรากฎการณ์ทางวัฒนธรรมที่ไม่ควรพลาด ตัดสลับมาที่ปีนี้อย่างเช่น “The Marvels” ที่มีสถานะเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดของเดือนนี้เท่านั้น และมันกำลังกลายเป็น หนังจากมาร์เวลที่ทำรายได้ต่ำสุดตลอดกาล
“ไม่ใช่เพียงแค่ Disney แต่สตูดิโออื่น ๆ ก็ประสบปัญหาเดียวกันในอุตสาหกรรมหลังภาวะโควิด แต่ถึงอย่างนั้น ความผิดพลาดของ Disney เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากในแง่ของวิเคราะห์ถึงจุดปัจจุบันกับจุดที่พวกเขาเคยอยู่ แต่ก่อนพวกเขาอยู่จุดไหน? ก็นั่งไร้เทียมทานบนบัลลังก์หนังทำเงิน แต่ถ้าตอนนี้ล่ะ? ก็ตายได้และเจ็บเป็น” เจฟฟ์ บ็อกส์ นักวิเคราะห์จาก Exhibitor Relations กล่าว
“ตอนโควิดแรก ๆ สตูดิโอโอบรับความคิดฉับพลัน และกระโจนตัวเอง เข้าสู่อุตสาหกรรมสตรีมมิ่งโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมาของวัฒนธรรมในการรับชมภาพยนตร์ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังโควิดจบลง ถึงแม้ผลประกอบการจะออกมาดีก็ตาม แต่แล้ว ผู้ชมก็รู้สึกสะดวกสบายขึ้น และคุณค่าในการรับชมภาพยนตร์ในโรงก็ถดถอย จน วอลล์สตรีท ตีกลับ กว่าจะรู้ตัว ประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ในโรงก็ถูกทำลายไปแล้ว” เดวิด เอ. กรอสส์ จาก Franchise Entertainment Research กล่าวเสริม
(Photo by Alberto E. Rodriguez/Getty Images for Disney)
แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยใหญ่สุด คือการที่หนังหลายเรื่องของ Disney เป็นหนังระดับฟอร์มยักษ์ ที่มักจะมาพร้อมทุนสร้างขั้นต่ำ $200 ล้านเหรียญ ไม่รวมงบประชาสัมพันธ์ประมาณ $100 ล้านเหรียญต่างหาก นั่นหมายความว่า ตัวหนังมีจุดคุ้มทุนที่สูงกว่าหนังฟอร์มยักษ์ทั่วไปอยู่มาก จากสตูดิโออื่น ๆ ที่ต้องพึ่งรายได้ทั่วโลกระดับ $500 ล้านเหรียญ เป็นอย่างน้อย
แต่สำหรับ Disney เป็นอีกกรณีหนึ่ง เพราะพวกเขาให้คุณค่าตัวหนัง มากกว่าจะมองแค่ตัวเลขรายได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เท่านั้น เพราะตัวหนังของ Disney มักจะเป็นจุดกำเนิดในการสร้างเม็ดเงินด้านอื่น อย่างเช่น การต่อยอดกลายเป็นสายพานผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า สวนสนุกต่าง ๆ หรือกระทั่งการนำไปสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์ม Disney+
แต่คำถามสำคัญคือ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลน้อยลงต่อการเงินของ Disney ในระยะยาวหรือไม่? หากพวกเขายังทำแบบเดิม?
ข้อมูลบ่งชี้ว่า ก่อนหน้าที่จะมีโควิด Disney ไม่เคยมีตัวหนังใหม่ ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางปัญญาชื่อดัง (IP) แบบ หนังซูเปอร์ฮีโร่ หรือ สตาร์วอร์ ที่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดังนั้น ความถดถอยของปรากฎการณ์บนตารางทำเงินอย่าง หนัง Marvel หรือกระทั่งภาคต่อ “Indiana Jones 5” หรืออย่าง “The Little Mermaid” อาจเป็นสัญญาณว่า ภาพลักษณ์อันเป็นมิตรของแบรนด์ อาจจะไม่มากพอต่อการชักจูงผู้คนให้กลับไปดูหนังในโรงภาพยนตร์
“ขัดแย้งกับความเจิดจ้าของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ผู้ชมตอนนี้มีความมุ่งมั่นน้อยลง ถ้าหากพวกเขาเกิดเคลือบแคลงอะไรขึ้นมา” กรอสส์ กล่าวเสริม
ทั้งนี้ในปี 2024 ด้าน Disney ก็ยังมีหนังภาคต่อภาคแยกเข้าฉาย เช่น “Inside Out 2” ในเดือนมิถุนายน 2024 และ ภาคแยกของ “The Lion King” อย่าง “Mufasa” ในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งภาคแรกของทั้งสองเรื่อง ล้วนทำรายได้รวมทั่วโลก ในระดับน่าพึงพอใจทั้งสิ้นอย่าง “Inside Out” ที่ $858 ล้านเหรียญ และ “The Lion King” ที่ $1.6 พันล้านเหรียญ และภาคต่อภาคแยกของทั้งสองเรื่องจะต้องแข่งขันอย่างหนักในปีนี้
กระนั้นเอง 20th Century Studios ลูกหม้อภายใต้ชายคา Disney ก็อาจเป็นความหวังให้กับพวกเขา อย่างการเปิดประเดิมปี 2024 ด้วยตัวหนังอย่าง “Deadpool 3” ที่มีกำหนดฉาย กรกฎาคม 2024 และภาคต่อพิภพวานร “Kingdom of the Planet of the Apes” ที่มีกำหนดฉาย พฤษภาคม 2024 ยังไม่นับโครงการหนังภาคต่อ “Avatar” ของเจมส์ คาเมร่อน และการเปิดประตูเชื่อมจักรวาลไปสู่หนังฮีโร่อย่าง “X-Men” และ “Fantastic Four”
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เชื่อมั่นว่า Disney จะสามารถหวนคืนความมหัศจรรย์ ที่ขาดหายไปในเหล่าภาพยนตร์จากอาณาจักรภาพยนตร์แห่งนี้ได้เช่นเคย
“Disney จะยังเชื่อมโยงถึงผู้บริโภคในแบบที่สตูดิโอส่วนใหญ่ได้แต่เฝ้าฝันถึง” บ็อกส์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : Variety
โฆษณา