2 ธ.ค. 2023 เวลา 02:02 • ความคิดเห็น
พอดีเรา ไม่ค่อยไปสนในทฤษฎี เลยว่าหลักการอะไรมากมาย เพราะส่วนหนึ่งเราสนใจ ในเรื่องของสมาธิ ..เรื่องของจิตกับอารมณ์ คราวนี้ พอเราได้เจอะเจอ ครูบาอาจารย์ ท่านแนะนำ เรื่องราวของการประพฤติปฏิบัติธรรม ลงมือปฏิบัติขึ้นมา เรื่องของกิริยาที่เราใช้ การจัดท่าทาง แม่ในการกราบ การสวดมนต์ การภาวนา มันเป็นเรื่องของสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัว ..ในการกระทำ รู้จักเวทนาที่มันเกิดขึ้น สุขหรือทุกข์ ที่เกิดขึ้นมาในกาย เจ็บปวด..อะไรต่างๆ
เรามีใช้เพียงสติ ..ควบคุมกิริยาในระหว่างที่ประพฤติปฏิบัติ ..ไม่มีอารมณ์นึกคิดอะไร มีสติที่จะรักษาจิต ..ไม่ไปนึกคิดทฤษฎี..อะไร ให้มาเป็นอัตตาให้อารมณ์นั้นปรุงแต่ง พอเราปฏิบัติธรรม เพื่อลดละขจัด เรื่องวราวของอารมณ์ออกไป ..เราปฏิบัติ..เพื่อให้จิต เราเข้าไปหาธรรม ..เราก็ดูรอยองค์พระสิทธัตถะ ..ท่านทิ้งวัตถุสิ่งของปัจจัย ยศฐานบรรดาศักดิ์
..เราก็มาฝึกหัดเดินตามรอยท่าน ..เมื่อปฏิบัติ เราก็มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ..ให้เหลือคำว่า จิตดวงเดียว ไม่มีอารมณ์นึกคิดอะไร ..นั่นก็คือ เราปฏิบัติให้จิตเป็นหนึ่ง ให้เป็นเอกกัตคตาจิตขึ้นมา ไม่ยึดถืออะไร ให้จิต..เมื่อเราปฏิบัติไปถึง..เอกกัตคตาจิตได้ .ก็มีเรื่องที่เราจะได้เรื่ยนรู้จักเรื่องของวิญญาณทั้งหก ..ที่เป็นเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนมาก ..วิญญาณทั้งหก ..ที่เราใช้นั่นไปยึด..อะไรเข้ามาสู่กายสู่จิต …
..เมื่อยึดเข้ามาแล้ว ..มีการแปรสภาพอย่างไร จิตก็ค่อยศึกษาเรื่องของวิญญาณหก ..ว่าสิ่งที่เราไปมอง ได้ยินเสียงอะไรต่างๆ นำพาอะไรเข้ามาสู่จิต จิตที่ออกไปยึดถือรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ..นั้นจิตเราเคลื่อนออกไปรับไปยึด ..เราก็ต้องไปเรียนรู้จัก ในสิ่งที่ไปยึดเข้ามา แล้วเราจะเอาสิ่งเหล่านี้ ออกไปเราจะต้องทำจิตของเราอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของการเรียนรู้ เพื่อจะสะสางกรรม สะสางจิตของตัวเอง หลีกเลี่ยงเรื่องกรรม ในขณะที่ใช้กายมนุษย์ชั่วขณะหนึ่ง
เรื่องของกาย อารมณ์นั่น มันไม่เที่ยงเลย ..เรื่องราวของขันธ์ห้า ก็ไม่เที่ยงเลย นั่นเป็นคำพูดที่ เค้าพูดกันให้ฟังไปทั่ว ..แต่จิตที่อาศัยอยู่ในเรือนกายนี้ ก็ต้องรู้จักจิตของตัวเองให้ได้เสียก่อน ว่าจิตของตัวเอง เป็นอย่างไร ..ทำอย่างไรจะรู้จักจิตของตัวเราเอง..เพื่อที่จิตจะได้เรียนรู้จัก เรื่องอารมณ์กรรม เรื่องราวของกรรม ..ที่มันมีเป็นหมวด ..โลกธรรม ขันธ์ทั้งห้าธาตุทั้งสี่ ความโลภโกรธหลง ..มันวนเวียนอยู่ในคำว่าทุกข์ เกิดๆตายๆ..มันหนีไม่ได้เลย ..
พอชีวิตเดินทางมาถึงวัยที่จะต้องเดินทางออกจากสังขาร กายที่เดินไปสู่สภาพเฒ่าชรา ..เรื่องที่เรียนรู้จักมา มันก็ค่อยหลงลืมไป .หรือไม่ได้เอามาใช้ มีแต่สภาพของกายที่จะปรากฏเสื่อมถอยลงไป ..ความเจ็บป่วยก็เข้ามา โรคนั้นโรคนี้ ของที่เคยชอบ ..ชอบกิน กลับกลายเป็นของแสลง ..มันเอาแน่นอนไม่ได้..ก็ได้แต่พยายามว่า ทำอย่างไร จิตจะจากโลกนี้ไปหาสถานที่ ..ที่มีความสุข พ้นอบายภูมิได้พอละ ..หากทำได้แค่นี้ แล้วเป็นไปได้ก็พอใจแล้ว
..เรื่องทฤษฎีหลักการอะไรมันเรื่องราวของโลก เมื่อจิตออกจากเรือนกาย มันไปแต่จิต ของๆโลก ก็ต้องทิ้งไว้ในโลก ..แบกเอาอะไรไปไม่ได้เลย
พอชีวิตผ่านมาถึงวัยนี้ความแก่ได้เกิดขึ้น เพราะกินข้าวมานาน .เราก็ได้เจอะเจอ ได้เห็นคนเก่ง คนที่มีอะไรดี ..เก่ง ..พอถึงคราวเจ็บป่วย ..เหมือนกรรมตาม ..เป็นเนื้องอกที่สมองบ้าง เส้นเลือดแตกตายไปบ้าง..ที่รอดไม่ตาย ก็ต้องนอนติดเตียง ช่วยตัวเองไม่ได้ ..บางที่เราก็มีคำในตัวเราเอง อุตส่าห์เรียนเก่ง ทำมาหากินได้ ร่ำรวยด้วยความรู้ต่างๆ ทำไมร่างกายต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ..แล้วแก้ไขอะไรไม่ได้
กายมันมีแต่เสื่อมไปเรื่อย รอความตาย รอให้หมดลม..แล้วจิตที่อาศัยในกายที่ติดเตียง ..มันไม่เหลือความเก่ง ..ที่เคยเป็นมาเลย ..เราจึงไม่ประมาทในชีวิตที่เค้าให้เราอาศัย ..เราก็ได้แต่เตือนสติตัวเอง ว่าอย่าประมาท ในเรื่องการสร้างบุญกุศลบารมี หนีเวรกรรม เราก็ได้แต่หมั่นกระทำ เพราะบุญกุศลเราต้องไขว่คว้า ทำด้วยตัวเราเอง
โฆษณา