4 ธ.ค. 2023 เวลา 02:24 • ประวัติศาสตร์

ความตายของ “กริกอรี รัสปูติน (Grigori Rasputin)”

“กริกอรี รัสปูติน (Grigori Rasputin)” เติบโตในหมู่บ้านเล็กๆ เงียบสงบในไซบีเรีย
เขาเกิดในครอบครัวชาวไร่เมื่อปีค.ศ.1869 (พ.ศ.2412) และใช้ชีวิตวัยเด็กวิ่งเล่นอยู่ในหมู่บ้านดังเช่นเด็กคนอื่นๆ โดยชีวิตวัยเด็กของรัสปูตินก็อบอุ่นและผูกพันกับธรรมชาติ หากแต่เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม หลายๆ อย่างก็เริ่มจะเปลี่ยนไป
ขณะออกเดินทางแสวงบุญเมื่ออายุ 28 ปี รัสปูตินก็เกิดรู้แจ้ง เห็นอะไรบางอย่างที่พิเศษ และประสบการณ์นี้คือสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
รัสปูตินเชื่อว่าตนนั้นมีสายสัมพันธ์พิเศษกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และความเชื่อนี้ก็ทำให้รัสปูตินเดินทางออกจากหมู่บ้านของตน ออกเดินทางไปยังจุดหมายใหม่ และในระหว่างทาง รัสปูตินก็ได้เผยแพร่ความเชื่อและคำสอนของตน
กริกอรี รัสปูติน (Grigori Rasputin)
หลายคนนั้นเชื่อถือในคำสอนและเกรงบารมีของรัสปูติน และชื่อเสียงถึงความเป็นผู้วิเศษของรัสปูตินก็โด่งดังไปในทุกๆ ที่ที่รัสปูตินย่างกรายไปถึง และด้วยทางเดินชีวิตใหม่นี้เอง จะนำพารัสปูตินไปสู่สังคมชั้นสูงของรัสเซีย
2
ในไม่ช้า ชื่อเสียงของรัสปูตินก็ดังไปไกลถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของรัสเซีย และเรื่องราวของรัสปูตินก็แพร่เข้าไปถึงวงสังคมชั้นสูงของรัสเซีย
1
บุคคลระดับสูงหลายคนต่างสนใจและต้องการจะพบกับรัสปูติน โดยรัสปูตินสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับบุคคลชั้นสูงมากมาย โดยรายที่สำคัญที่สุด ก็คือ “พระราชวงศ์รัสเซีย”
1
ในเวลานั้น “จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย (Nicholas II of Russia)” และ “จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา
แห่งรัสเซีย (Alexandra Feodorovna)” องค์เหนือหัวทั้งสองแห่งรัสเซีย กำลังทรงทุกข์พระราชหฤทัยเนื่องด้วยพระอาการประชวรของพระราชโอรส นั่นคือ “อเล็กเซย์ นีโคลาเยวิช ซาเรวิชแห่งรัสเซีย (Alexei Nikolaevich, Tsarevich of Russia)”
จักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย (Nicholas II of Russia) และ จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา แห่งรัสเซีย (Alexandra Feodorovna)
เจ้าชายอเล็กเซย์ทรงพระประชวรด้วยพระโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือโรคเลือดออกง่ายหยุดยาก เลือดไหลไม่หยุด
จักรพรรดินีอเล็กซานดราทรงเชื่อว่ารัสปูตินสามารถช่วยเหลือพระราชโอรสของพระองค์ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เจ้าชายอเล็กเซย์ทรงพระประชวรหรือได้รับบาดเจ็บ พระองค์จะทรงมีรับสั่งหารัสปูตินทุกครั้ง
แต่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดนี้เองก็ทำให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาไปทั่ววงสังคม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน การบริหารประเทศก็ผิดพลาด ทำให้รัสเซียต้องประสบความพ่ายแพ้ในสงคราม และความใกล้ชิดที่พระราชวงศ์มีต่อรัสปูตินก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายต่างๆ ในประเทศ
หลายคนรู้สึกว่ารัสปูตินมีอิทธิพลเหนือองค์จักรพรรดิและองค์ราชินี และอิทธิพลเหนือราชสำนักนี้เองทำให้การตัดสินใจเรื่องสงครามของประเทศเป็นไปในทิศทางที่ผิด
ด้วยความเชื่อนี้เอง ประกอบกับความเหนื่อยหน่ายในช่วงสงครามของผู้คน ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกโกรธแค้นและเกิดจลาจล
ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง และดูเหมือนว่ารัสปูตินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความผิดพลาดทุกอย่างในรัสเซียเวลานั้น
มีข่าวลือว่ารัสปูตินแอบทำดีลลับกับฝ่ายเยอรมนีเพื่อให้สงครามสงบ และหลายคนก็เชื่อว่าแผนการของรัสปูตินอาจจะทำให้ประเทศรัสเซียล่มสลายได้
ดังนั้นจึงเกิดแผนการที่จะหยุดรัสปูตินและกำจัดรัสปูตินให้พ้นทาง
“เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูปอฟ (Prince Felix Yusupov)” หนึ่งในพระราชวงศ์รัสเซีย ได้ทรงวางแผนกำจัดรัสปูติน โดยพระองค์และ “แกรนด์ดยุก ดมิทรี ปาฟโลวิชแห่งรัสเซีย (Grand Duke Dmitri Pavlovich of Russia)” ได้เชิญรัสปูตินมายังวังยูซูปอฟ
ทั้งสองพระองค์ตรัสว่านี่เป็นการชวนมาพูดคุย กินดื่มกันอย่างมิตรสหาย หากแต่อันที่จริง เจ้าชายเฟลิกซ์และเจ้าชายดมิทรีต่างมีแผนการ และแผนการนั้นคือการกำจัดรัสปูตินให้สิ้น
เมื่อรัสปูตินเดินทางมาถึงวัง ทั้งสองพระองค์ก็ได้ประทานอาหารและไวน์ให้แก่รัสปูติน หากแต่ทั้งอาหารและไวน์นั้นใส่ยาพิษ
รัสปูตินกินอาหารและดื่มไวน์ หากแต่ไม่เป็นอะไรเลย ยาพิษไม่สามารถทำอะไรรัสปูตินได้ เขากินดื่มอย่างปกติ ทำให้ทั้งเจ้าชายเฟลิกซ์และเจ้าชายดมิทรีตกพระทัย และตัดสินพระทัยที่จะยิงรัสปูตินให้ตาย
หากแต่ถึงจะถูกยิง รัสปูตินก็ยังไม่ตาย ยังคงพยายามหลบหนีออกมาด้านนอก ทำให้ทั้งสองพระองค์ตัดสินพระทัยยิงซ้ำ ก่อนจะซ้อม และมัดร่างของรัสปูตินไว้แน่น
แต่ถึงจะถูกมัดไว้แน่นและร่างกายบอบช้ำ แต่รัสปูตินก็ยังคงมีลมหายใจอยู่ เจ้าชายทั้งสองพระองค์จึงมีพระประสงค์ที่จะให้รัสปูตินตายให้สนิท จึงพาร่างของรัสปูตินไปโยนลงแม่น้ำที่เย็นเฉียบ และกระแสน้ำก็ได้พัดพาร่างของรัสปูตินออกไปห่างไกล
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชาวเมืองก็พบร่างไร้วิญญาณของรัสปูตินในแม่น้ำ และตำนานเรื่องคืนสุดท้ายของรัสปูตินก็ได้กระจายไปทั่วรัสเซีย โดยเฉพาะเรื่องแปลกประหลาดที่รัสปูตินสามารถอดทนต่อทั้งยาพิษและการทำร้ายได้โดยไม่ตาย ก็ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้วิเศษของรัสปูติน
แต่หลังจากรัสปูตินตาย สถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นเลย
ชาวรัสเซียต่างหงุดหงิดและไม่พอใจมาก่อนแล้ว และหลายคนก็คาดหวังว่าหลังจากรัสปูตินตาย สถานการณ์น่าจะดีขึ้น แต่ตรงกันข้าม พระราชวงศ์รัสเซียกลับยังมีปัญหาหลายๆ อย่างที่แก้ไม่ได้
และวาระสุดท้ายของพระราชวงศ์รัสเซียก็มาถึงในที่สุดอย่างที่หลายๆ ท่านน่าจะทราบ
โฆษณา