10 ธ.ค. 2023 เวลา 02:51 • ความคิดเห็น
เรื่องราวมนุษย์ต่างดาว มันคล้ายเรื่องราวของคนธรรพ์ คนลับแล มันมีเรื่องเกี่ยวข้องกับมิติ ที่เรียกว่า รูปที่อาศัย ในคำว่า ขันธ์ทั้งห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในคำว่ารูป ก็มีรูปที่มองเห็นด้วยสายตารูปที่มองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์ เรื่องมนุษย์ต่างดาว เค้าก็เป็นจิตที่ไปอาศัยมีมนุษย์หน้ากลม หน้าสามเหลี่ยม หน้ารูปไข่ หน้าสี่เหลี่ยม ในคำว่าจิต..เวียนว่ายตายเกิด..ไปเกิดที่นั้นที่นี้ ตามภพภูมิตามสิ่งที่จิตดวงนั้น สะสมอะไรไว้ในจิต
เรื่องของกายมนุษย์ ..นั้น มันต้องอาศัยน้ำเลือดน้ำหนองของผู้อื่นมาหล่อเลี้ยงสังขารตน แม้แต่สัตว์ในโลกนี้ก็เหมือนกัน มันพัวพันคล้องเวรกรรมกันอยู่ในคำว่า ธาตุที่ประกอบเรือนกายชั่วขณะหนึ่ง ..เอาธาตุนอกมาเสริมมาพยุงธาตุภายใน ..มันมีเรื่องราวของคำว่าธาตุที่เป็นกรรมซ้อนเร้นอยู่ ..แล้วมันก็มีเรื่องราวที่เรียกว่า ของฟรีไม่หรอก ..มันจึงมีการผลัดกันไปเกิดเป็นสัตว์ .ตรงนี้ตรงนั้น ผลัดกันกินซึ่งกันและกัน .อุปถัมภ์กันด้วยเนื้อของกรรมหยาดเหงื่อแรงกายของผู้ที่มีกรรม ..
สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวเค้ามี เค้าก็คล้ายผู้ที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ ..เค้าไปไหนมาไหนได้ มากกว่าคนธรรพ์คนลับแล เค้ามีรูปร่างโปร่งใสโปร่งแสง จะให้เห็นก็ได้ไม่ให้เห็นก็ได้ ..แล้วเค้าก็เป็นจิตที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ..ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน
..ในส่วนที่เค้่ามาดูมนุษย์ ..เค้าก็ไปดูมนุษย์ ที่มีการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำไมมีแสงมีสีอะไรเกิด ..ยิ่งมีการสร้างบุญกุศล เกิดมีแสงรัตนะ เกิดขึ้นเค้าก็มาดู ว่าจิตที่กำลังประพฤติปฏิบัติธรรม มีแสงสีอะไรเกิดที่จิต ทำไมถึงเกิดขึ้น ทำไมแสงนี้กระจายไปได้ไกล ทำไมกระทบแสงของบุญกุศล อนุโมทนาบุญกุศลจิตเค้าก็มีความสุข เค้าก็มาศึกษา..ความเป็นไปในคำว่าบุญกุศลบารมีเหมือนกัน เพราะเค้าก็ต้องมาเกิดอาศัยกายมนุษย์เมื่อเค้าหมดบุญจากรูปที่อาศัยนั้น ..จิตก็ต้องไปหาที่อาศัยใหม่
เรื่องราวพวกนี้ ..เค้าเป็นเรื่องของมิติ ที่วิญญาณที้งหกของมนุษย์กายมนุษย์ เข้าไปสัมผัส รับรู้ไม่ได้ แล้ววิญญาณทั้งหกของมนุษย์ก็ถูกปกปิดด้วยอารมณ์ต่างๆที่สะสมกันมากมาย แล้วก็ปกปิดจิตที่อาศัยกายมนุษย์ ให้มืดสนิทเป็นสีดำๆ มีผู้บอกว่า ส่งยานอะไรไปก็ไม่เห็นเค้าหรอก เพราะมันต่างมิติกัน มิติที่เป็นเรื่องธาตุดินน้ำลมไฟเหมือนกัน
เหมือนที่เค้าว่า ตรงบริเวณเขาลูกนี้มีคนธรรพ์ คนลับแลอยู่ เราก็มองเห็นแต่ภูเขา ..แต่ความจริงที่คนธรรพ์ คนลับแลอยู่ บริเวณนั้น เป็นบ้านเมืองของเขา ไม่มีมิติภูเขา ไม่มีต้นไม้ มันเป็นที่โล่ง สำหรับเขา แล้วมันก็ยากจะคาดเดา ในเรื่องของมิติ ที่สลับซ้อนทับกันอยู่ แล้วเรื่องราวของคนธรรพ์คนลับแล เค้าก็ชอบเรื่องบุญกุศล
..นั่นจึงเป็นเรื่องราวของผู้ทีีท่านประพฤติปฏิบัติธรรม..ได้เจอะเจอ ที่เค้าก็มาร่วมอนุโมทนา หรือ ว่าเอาอาหารมาถวาย ..พระท่านเล่าให้ฟังว่า เวลาเค้าเอาอาหารมาถวาย ก็มองเห็นได้ ชั่วขณะหนึ่ง .แล้วพาะนั่นก็หายไป แล้วก็ร่างกายเราก็จะมีพละกำลัง สดชื่นขึ้น แล้วเรื่องราวของคนธรรพ์ คนลับแล เค้่าก็รู้จักคำว่าพระ เค้ามองเห็น เข้าไปที่จิตภายใน ..จิตเป็นพระ หรือ ว่ามีบุญกุศล เมื่อสร้างบุญกุศลดีๆ สวดมนต์ดีๆ เค้าก็มาร่วมด้วย ..แต่เค้าก็ไม่คนเห็นเค้า เพราะกลัวจะไปทำให้คนเค้าหลงใหล..
เราคงไม่ต้องไปไกลถึงมนุษย์ต่างดาว เอาแค่มิติ ..โอปปาติกะ ที่ร่องรอยในสถานที่ต่างๆ ที่ที่มีมากมาย เช่น ตามโรงพยาบาล ก็มีอยู่หนาแน่น คล้ายทัณฑสถานกักขังจิตวิญญาณ ..เราเรียนรู้ตรงนี้ได้ ..สัมผัสตรงนี้ได้ เรียนรู้จักเรื่องเจ้ากรรม ที่เค้ามาท้วงมาทุบกัน .ทำให้คนป่วยคนมีกรรม..เจ็บปวดทุกข์ทรมาน ..นี่ก็เป็นมิติที่อยู่ใกล้ตัวเรารอบตัวเรา แต่ก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลย พอใครพูดเรื่องนี้ เค้าเรียกว่า ผิดปกติมนุษย์ ถึงขั้นเค้าว่าบ้า..เค้าจึงบอก ว่ารู้แล้วละ .อย่าไปยึดถือ..ก็อยู่เฉย.ๆ ดีที่สุด ..
เรื่องราวอย่างนี้ คนที่ว่านี่มันยุควิทยาศาสตร์ แล้วนักวิทยาศาสตร์ นักทดลองอะไรนี่ เค้าปฏิบัติธรรมมั้ย สวดมนต์มั้ย ..สร้างบุญกุศลมั้ย ..เค้ามีการกระทำตามรอยพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั้ย ..เมื่อเค้าไม่กระทำ เค้าก็ย่อมไม่สามารถ ไปรับรู้ในเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย เค้ามีแต่จะว่างมงายเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ..เราเจอคนที่เค้า ..ว่านี่มันยุควิทยาศาสตร์ เราก็อยู่เงียบๆ ปิดปากปิดหู ..เดินถอยออกมาเงียบ..ดีกว่า ..จะได้ไม่ไปคล้องเวรกรรมด้วยทิฐิความคิดเห็น .ยุติธรรม ทางใคร..ทางมัน เค้าเลือกของเค้า เราก็เลือกทางของเรา เพราะเราจะเดินตามรอยที่พระท่านสอนให่ฝึกหัดปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศลขึ้นมาด้วยจิตของเราเอง..ใครก็ทำให้เราไม่ได้ ..
โฆษณา