16 ธ.ค. 2023 เวลา 08:27 • ประวัติศาสตร์

ความตายของ “วิลเลียม วอลเลซ (William Wallace)” และอิสรภาพของ “สก็อตแลนด์ (Scotland)”

หากใครได้เคยชมภาพยนตร์เรื่อง “Braveheart” ที่ออกฉายในปีค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) คงจำฉากการตายของตัวเอกอย่าง “วิลเลียม วอลเลซ (William Wallace)” ได้ดีว่าโหดร้ายและน่าสะเทือนใจเพียงใด
3
แต่ในประวัติศาสตร์จริงนั้น การตายของวอลเลซนั้นโหดร้ายกว่านั้นมาก
“วิลเลียม วอลเลซ (William Wallace)” เกิดที่สก็อตแลนด์เมื่อราวปีค.ศ.1270 (พ.ศ.1813) และมีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงสงครามเพื่อปลดปล่อยสก็อตแลนด์จากอำนาจของอังกฤษ
1
และอาจจะเป็นเพราะเลือดรักชาติที่รุนแรง บวกกับความแค้นที่ภรรยาต้องมาตายด้วยน้ำมือของทหารอังกฤษ วอลเลซจึงได้นำพากองทัพสก็อตเข้าสู้กับกองทัพอังกฤษ และได้รับรับชัยชนะใน “ยุทธการที่สะพานสเตอร์ลิง (Battle of Stirling Bridge)”
จากนั้น วอลเลซก็ได้รับแต่งตั้งเป็น “ผู้พิทักษ์อาณาจักรสก็อตแลนด์ (Guardian of the Kingdom of Scotland)” และวอลเลซก็ได้นำทัพบุกเข้าไปรุกรานถึงดินแดนอังกฤษ สร้างความพิโรธให้พระประมุขแห่งอังกฤษอย่าง “พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ (Edward I of England)” เป็นอย่างมาก
1
วิลเลียม วอลเลซ (William Wallace)
ทางอังกฤษก็ไม่อยู่เฉย ได้ทำการโต้กลับ ทำให้กองทัพสก็อตประสบกับความพ่ายแพ้
ความพ่ายแพ้ทำให้วอลเลซลาออกจากตำแหน่ง หากแต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 วอลเลซยังคงเป็นตัวอันตรายที่ต้องจัดการ
และแล้วในปีค.ศ.1305 (พ.ศ.1848) วอลเลซก็ได้ถูกสหายชาวสก็อตด้วยกันหักหลัง จับตัววอลเลซ และส่งให้อังกฤษ
วอลเลซถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดี และถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาจึงถูกลงโทษ ให้แก้ผ้า ให้ม้าลากไปเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ก่อนที่อังกฤษจะควักหัวใจ ปอด และอวัยวะภายในอื่นๆ ของวอลเลซออกมา และตัดหัวเสียบประจาน
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ (Edward I of England)
นี่ก็อาจจะเป็นประวัติคร่าวๆ ของวอลเลซ ซึ่งต้องบอกว่าประวัติส่วนใหญ่นั้นเขียนขึ้นหลังจากวอลเลซเสียชีวิตไปแล้วถึง 100 กว่าปี และคาดว่าเขาน่าจะเกิดในราวปีค.ศ.1270 (พ.ศ.1813)
สำหรับประวัติช่วงต้นชีวิตของวอลเลซนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เลยก็คือ วอลเลซนั้นเกลียดอังกฤษ
วอลเลซนั้นปฏิเสธที่จะลงนามในเอกสารยืนยันความภักดีต่อราชวงศ์อังกฤษ อีกทั้งวอลเลซยังถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกกฎหมาย เนื่องจากเขาได้สังหารชาวอังกฤษไปเป็นจำนวนมากก่อนที่จะมาต่อสู้เรียกร้องอิสรภาพ
ภายหลังจากเสียภรรยาเนื่องจากกองทัพอังกฤษ วอลเลซก็ยิ่งเกลียดชังอังกฤษ และนำกองทัพสก็อตบุกปราสาทลานาร์ก (Lanark Castle) และสังหารขุนนางอังกฤษ รวมทั้งทหารอังกฤษทุกนายที่พบ
อีกไม่กี่เดือนต่อมา กันยายน ค.ศ.1297 (พ.ศ.1840) วอลเลซได้ประจันหน้ากับพวกอังกฤษที่สะพานสเตอร์ลิง และนักบวชอังกฤษสองรูปก็ได้พยายามจะโน้มน้าวไม่ให้สู้กับอังกฤษ แต่วอลเลซก็ปฏิเสธ โดยกล่าวว่า
1
“จงกลับไปบอกสหายของท่าน บอกพวกเขาว่าพวกเรามาที่นี่โดยไม่มีเจตนาที่จะเป็นมิตร หากแต่พร้อมจะรบ ตั้งใจจะล้างแค้นและปลดปล่อยประเทศของเรา จงให้นายของท่านโจมตีพวกเรา พวกเราตั้งใจจะเผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่แล้ว”
ในการรบครั้งนี้ วอลเลซสามารถเอาชนะได้ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรสก็อตแลนด์ หากแต่ชัยชนะของวอลเลซนั้นก็สั้นนัก
หลังจากได้รับชัยชนะเพียงไม่ถึงหนึ่งปี กองทัพอังกฤษซึ่งนำโดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ก็ได้ปะทะกับกองทัพของวอลเลซอีกครั้งใน “ยุทธการที่ฟัลเคิร์ก (Battle of Falkirk)” เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ.1298 (พ.ศ.1841)
ยุทธการที่ฟัลเคิร์ก (Battle of Falkirk)
กองทัพอังกฤษนั้นมีกำลังพลมากกว่ากองทัพวอลเลซกว่าสองเท่า เพียบพร้อมด้วยสรรพาวุธ ทำให้สามารถบดขยี้กองทัพสก็อตลงได้ โดยทหารของวอลเลซนั้นถูกฆ่าไปกว่า 1 ใน 3
ความพ่ายแพ้นี้ทำให้ชื่อเสียงของวอลเลซนั้นย่อยยับ และทำให้เขาต้องลาออกจากตำแหน่ง แต่แค่นี้ยังไม่พอ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ทรงมีพระราชประสงค์จะลงโทษพวกกบฏให้หนัก และในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1305 (พ.ศ.1848) โอกาสก็มาถึง
2
3 สิงหาคม ค.ศ.1305 (พ.ศ.1348) วอลเลซถูกทหารอังกฤษจับตัวได้ เนื่องจากสหายของวอลเลซนั้นภักดีต่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 และได้หักหลังวอลเลซ
1
วอลเลซถูกใส่โซ่ตรวน และถูกส่งให้เดินทางไกลไปยังลอนดอน เป็นระยะทางกว่า 17 วัน
ที่ลอนดอน วอลเลซถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีข้อหากบฏและอีกหลายข้อหา โดยวอลเลซยอมรับว่าตนนั้นสังหารชาวอังกฤษและไม่ยอมรับองค์กษัตริย์แห่งอังกฤษ หากแต่ตนไม่ยอมรับข้อหากบฏ โดยเขาได้กล่าวว่า
“ข้าไม่สามารถจะเป็นคนทรยศได้ เนื่องจากข้าไม่ได้ปฏิญาณว่าจะภักดีต่อกษัตริย์อังกฤษ เขาไม่ใช่กษัตริย์ของข้า เขาไม่เคยได้รับความภักดีจากข้า และถึงแม้ชีวิตจะอยู่ในร่างที่บอบช้ำนี้ แต่เขาก็จะไม่มีวันได้มัน”
สุดท้าย ศาลตัดสินให้ประหารชีวิตวอลเลซในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1305 (พ.ศ.1848) และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ก็ทรงมีพระราชประสงค์จะให้การตายของวอลเลซเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆ ที่คิดจะทำตามและท้าทายพระบารมีของพระองค์
วอลเลซถูกจับแก้ผ้า ก่อนจะถูกมัดเข้ากับม้าสองตัว และถูกลากไปเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรโดยมีเหล่าประชาชนคอยขว้างปาสิ่งของใส่และโห่ไล่
จากนั้นวอลเลซก็ถูกแขวนคอแต่ไม่ถึงกับตาย ก่อนที่เพชฌฆาตจะตัดอวัยวะเพศและลูกอัณฑะของวอลเลซ และเผามันต่อหน้าวอลเลซ จากนั้นก็ควักหัวใจของวอลเลซออกมา ซึ่งถึงแม้จะแน่ชัดว่าวอลเลซเสียชีวิตแล้ว แต่หัวของวอลเลซก็ยังถูกตัดออกมา
ร่างของวอลเลซถูกหั่นเป็นส่วนๆ และนำไปแสดงยังจุดต่างๆ ส่วนหัวของวอลเลซก็ถูกเสียบประจานไว้ที่สะพานลอนดอน
1
แต่ถึงแม้วอลเลซจะตาย แต่ชื่อเสียงและสิ่งที่วอลเลซทำมายังคงอยู่ ทำให้ในทุกวันนี้ เขาได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษของสก็อตแลนด์
1
ภายหลังจากวอลเลซเสียชีวิตได้ราวหนึ่งปี “โรเบิร์ตเดอะบรูซ (Robert the Bruce)” สหายของวอลเลซ และในภายหลังก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสก็อตแลนด์ ก็ได้นำผู้คนก่อกบฏ ซึ่งการนำการกบฏครั้งนี้ บวกกับความตายของวอลเลซก็ได้ทำให้ชาวสก็อตต่างลุกฮือขึ้นต่อต้านอังกฤษ และความต้องการอิสรภาพก็ยังคงฝังรากลึกอยู่กับชาวสก็อตจนถึงทุกวันนี้
1
โรเบิร์ตเดอะบรูซ (Robert the Bruce)
นับวัน เสียงเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษของสก็อตแลนด์ก็มีแต่จะดังขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีค.ศ.2014 (พ.ศ.2557) มีการให้โหวตว่าสก็อตแลนด์จะยังอยู่กับอังกฤษหรือไม่ และผลโหวตก็คือชาวสก็อตจำนวน 55% โหวตให้อยู่กับอังกฤษต่อ ส่วนที่โหวตให้เป็นอิสระนั้นมีจำนวน 45%
ถึงแม้ว่าจำนวนผู้โหวตให้เป็นอิสระจะน้อยกว่า แต่ก็ใกล้เคียงกับจำนวนผู้ที่ต้องการให้อยู่กับอังกฤษ เรียกได้ว่าชาวสก็อตเกือบครึ่งหนึ่งไม่ต้องการจะอยู่กับอังกฤษอีกต่อไป
วอลเลซนั้นเสียชีวิตมากว่า 700 ปีแล้ว แต่วีรกรรมของวอลเลซก็ยังคงเป็นเงาทอดทับสก็อตแลนด์มาจนถึงปัจจุบัน และเป็นส่วนสำคัญของอนาคตสก็อตแลนด์ในวันข้างหน้า
โฆษณา