26 ธ.ค. 2023 เวลา 03:28 • หนังสือ

นิมิตพิศวง

โดย อาจารย์ ไพศาล แสนชัย
¹๑.
ประวัติคุณไพศาล แสนไชย (โดยย่อ)
ไพศาล แสนไชย เป็นชายไทยทั้งเชื้อชาติและสัญชาติ นับถือศาสนาพุทธ เกิดในครอบครัวของชาวนา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2502 ที่เกิดและที่อยู่ปัจจุบัน คือ บ้านเลขที่ 119 บ้านท่ากองิ้ว หมู่ที่ 2 ต.ปากบ่อง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน บิดาชื่อ พ่อ สม แสนไชย มารดาชื่อ แม่น้อย แสนไชย มีพี่ชายร่วมสายโลหิตเพียงคนเดียวคือ นายศิริชัย แสนไชย
การศึกษา
ประถมศึกษาตอนต้นชั้น ป.4 ที่โรงเรียนวัดหนองสะลึก จ.ลำพูน
ประถมศึกษาตอนปลายชั้น ป.7 ที่โรงเรียนป่าซาง จ.ลำพูน
มัธยมศึกษาตอนปลายชั้น มศ.5 ที่โรงเรียนเมธีวุฒิกร จ.ลำพูน
อุดมศึกษา จบบริหารธุรกิจ แผนกบัญชี (บช.บ) จากวิทยาลัยเอกชน แห่งหนึ่งในกรุงเทพ
เนื่องจากมีผู้สนใจอยากทราบว่า คุณไพศาลศึกษาและปฏิบัติธรรมสำเร็จชั้น ไหน จึงได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นกันง่ายๆ จึงขอเรียนให้ทราบว่าในภพ นี้ภูมินี้ยังไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง จึงยังไม่มีธรรมชั้นไหนที่จะตอบว่า สำเร็จ
บุคลิกลักษณะ
คุณไพศาลก็เหมือนกับคนไทยทั่วไป รูปร่างสันทัด ผิวขาวเหลืองแบบคน เมืองเหนือ นิสัยร่าเริง ไม่ถือตัว ชอบการทำบุญสุนทานเป็นชีวิตจิตใจ มักใช้เวลา ว่างเดินทางไปแสวงบุญกับญาติธรรมตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั้งในจังหวัด และต่าง จังหวัด ด้วยเหตุนี้จึงดำรงความเป็นโสดอยู่จนถึงทุกวันนี้ ชีวิตส่วนตัวก็อยู่ง่าย กิน ง่าย ไม่ค่อย พิถีพิถันแม้กระทั่งการแต่งกาย ถือเอาความสะดวกสบายเป็นหลัก เป็น คนมีอัธยาศัยดี ต้อนรับผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนด้วยความเต็มใจเสมอกันทุกคน
ลักษณะการนิมิต (ฝัน) ของคุณไพศาล แสนไชย
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำเสนอต่อไปนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้โปรดทำใจ ให้
เป็นกลางไว้ก่อน อย่าด่วนตัดสินใจและปักใจเชื่อเรื่องราวเหล่านี้ทันที หรือแสดงการคัดค้านทันที
ขอให้ใช้การพินิจพิจารณาตามภูมิปัญญาของแต่ละท่านเอาเองเถิด ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ศึกษาและเก็บข้อมูล เพื่อบอกกล่าวให้ท่านทราบเท่านั้น เพราะเห็นเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและมีหลักฐานที่เพียงพอต่อการพิสูจน์ รวมทั้ง ยังเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อีกด้วย ดังนั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่จึงเป็นสิทธิของท่าน
บุคคลที่ข้าพเจ้าจะขอแนะนำต่อไปนี้ จะกล่าวว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ใช่ มนุษย์มหัศจรรย์ก็ไม่เชิง เขาเป็นเพียงชาวบ้านนอกคนหนึ่งที่มีนิสัยร่าเริง ชอบทำบุญ ทำทานและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เขามักจะพูดอยู่เสมอว่า “ผมไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่ร่างทรง และไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด” แต่เขาเป็นบุคคลที่ได้รับ การคัดเลือกจาก.. ให้มาทำหน้าที่สื่อกลางในการส่งข่าวสารข้ามมิติ ระหว่าง โลกมนุษย์กับโลกที่มองไม่เห็น (โลกวิญญาณ) เขามีมิติมหัศจรรย์มีนิมิต (ฝัน) ที่เป็นความจริง
ดังนั้นงานที่เขาทำจึงไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร เขาผู้นั้นคือ ไพศาล แสนไชย
ในคืนหนึ่งๆ คุณไพศาล แสนไชย จะมีนิมิต (ฝัน) ประมาณ 4-5 ราย เดือนละประมาณ 120 ราย ทุกครั้งจะมีบุคคล 2 ท่านลงมาจากแดนสัคคัง โลกังหรือแดนทิพย์แดนธรรมเข้าสู่มิติปัจจุบัน แล้วพากายทิพย์ของคุณไพศาลเข้าสู่ โลกอีกโลกหนึ่ง จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ไกลก็ไม่ไกล
บุคคลท่านหนึ่งเป็นพระภิกษุชราผู้ทรงธรรมฤทธิ์ มีอายุประมาณ 90 ปี มีชื่อว่าครูบาคัณธา คัณธาโล ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งในสมัยเจ้าแม่จามเทวี แต่ท่านไม่ได้อยู่ที่เมือง หริภุญชัย หลังจากที่ได้ติดตามเจ้าแม่จามเทวีมาจากเมือง ละโว้ถึงเมืองหริภุญชัยแล้ว ท่านก็ออกธุดงค์ ย้อนกลับไปอยู่ที่วัดเมืองสร้อย จังหวัดตาก และได้มรณะภาพที่นั้นนับเป็นเวลากว่า 1,000 ปีมาแล้ว
อีกท่านหนึ่งเป็นกษัตริย์โบราณสมัยโยนกนครเชียงแสน มีอายุประมาณ
50 ปี มีชื่อว่า ท่านพญาพิงคราช สมัยมีชีวิตอยู่ครองแคว้นโยนกนคร (จังหวัดเชียงราย)
และได้สิ้นบุญจากโลกมนุษย์มาแล้วเป็นเวลากว่า 800 ปี ปัจจุบันท่านมีตำแหน่ง
ในยมโลก มีหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบในเรื่องการทำบุญทำบาป และการเกิดการตาย
ของเหล่ามนุษย์และวิญญาณทั้งหลายท่านอาวุโสทั้งสองมีความผูกพันกับคุณไพศาล แสนไชย หนุ่มบ้านนอก ชาว ลำพูนมานานแสนนานนับเป็นพัน ๆ ปี ต่างคนก็ต่างเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อันยาวนานหาที่สุดไม่ได้ ท่านทั้งสองได้พบกับคุณไพศาลในนิมิตเมื่อ 10 กว่า ปีมาแล้ว คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524
(ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเริ่มต้นสัมผัสนิมิต ของคุณ ไพศาลได้จากประวัติฉบับสมบูรณ์) และได้ตกลงมอบหมายหน้าที่และ ภาระกิจอัน สำคัญและเป็นมหากุศล โดยให้คุณไพศาลทำหน้าที่เป็น บุรุษไปรษณีย์ระหว่างมิติ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ล่ามเมืองมนุษย์เพื่อจะได้ชี้หนทางธรรม หรือแสงสว่าง ให้กับมนุษย์ ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักการเวียนว่ายตายเกิด รู้จักกฎแห่งกรรมและเห็น ความสำคัญของพระรัตนตรัย
ครูบาคัณธา คัณธาโล และท่านพญาพิงคราช ได้กล่าวไว้ว่า งานนิมิต และตอบจดหมายของคุณไพศาลต่อไปจะเป็นงานหนัก งานใหญ่หลวงนัก หากคุณไพศาล แสนไชย สิ้นบุญไปแล้วก็คงไม่มีใครทำหน้าที่นี้แทนเขาได้ ก็ต้อง คอยดูและศึกษากันต่อไป
สำหรับงานในตำแหน่งบุรุษไปรษณีย์ ที่คุณไพศาลได้รับมอบหมายนั้น ถือว่า เป็นภารกิจที่หนักมาก เพราะต้องรับผิดชอบทั้งงานในโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ เป็นงานที่ไม่มีตำแหน่งและเงินเดือนรองรับ และเป็นงานที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน ใด ๆ จากผู้ที่เขาได้ช่วยเหลือ
งานที่รับผิดชอบในโลกมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งเข้านอน (ประมาณ 06.00 - 21.00 น.) ได้แก่ งานส่งจดหมาย ปัจจุบัน (2539) ส่งไปแล้ว ประมาณ 20,000 กว่าฉบับ ตามจำนวนผู้ถูกนิมิต, งานตอบจดหมาย, การต้อนรับแขก ผู้มาเยี่ยมเยียนและผู้ที่ได้รับจดหมาย, การบันทึกนิมิตพิเศษ, การเดินทาง ไปแสวงบุญกับญาติธรรมตามวัดวาอารามต่างๆ, การช่วยทำพิธีอโหสิกรรม, การช่วย ตามหาเจ้ากรรมนายเวร (ในกรณีที่จำเป็นและฉุกเฉิน), การไปร่วมทำบุญในงาน ต่างๆ รวมทั้งงาน อื่นๆ ทั่วไปตามแต่โอกาส
งานที่รับผิดชอบในโลกวิญญาณ เริ่มตั้งแต่เข้านอนจนกระทั่งตื่นนอน ตอน
เช้า (ประมาณ 21.00 - 06.00 น.) โดยครูบาคัณธาและพญาพิงคราชจะพากายทิพย์
ของคุณไพศาลไปยังโลกวิญญาณ แล้วนำเรื่องราวข่าวสารที่ได้รับทราบ นำมาแจ้งให้ ผู้ที่ถูกระบุชื่อว่าเป็นผู้รับข่าวสารนั้นๆ
การทำงานในโลกวิญญาณหรือเรียกอีกอย่างว่าการนิมิต (ฝัน) นั้น มีอยู่ 3 ลักษณะคือ
ลักษณะที่ 1) นิมิตเกี่ยวกับบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยครูบาคัณธาและ พญาพิงคราชจะพาคุณไพศาลไปพบกับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว วิญญาณ ดังกล่าวจะสั่งเรื่องราวต่างๆ ผ่านคุณไพศาลมาบอกกล่าวให้กับสามี ภรรยา ลูกหลาน ญาติพี่น้อง ที่อยู่ในโลกมนุษย์ ในกรณีเช่นนี้ส่วนใหญ่ผู้ตายจะได้รับความทุกข์ทรมาน
หรือตกอยู่ในที่ร้อน (อบายภูมิ) และต้องการให้ญาติพี่น้องที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ช่วยลดวิบากกรรมของตนเองให้เบาบางลง เช่น สั่งให้ทำบุญทำทาน ถวายสังฆทาน หรือนิมนต์พระมาเทศน์ธรรมแล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย เป็นต้น การนิมิตในลักษณะนี้ก็เพื่อจะให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ได้ช่วยเหลือผู้ที่ตาย ไปแล้วหรือเรียกง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งว่า นิมิตคนเป็นช่วยคนตาย
ลักษณะที่ 2) นิมิตเกี่ยวกับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ โดยครูบาคัณธา และพญาพิงคราชจะพาคุณไพศาลไปพบกับวิญญาณที่เฝ้ากองบุญกองกุศลวิญญาณ ดังกล่าวจะเล่าประวัติเจ้าของกองบุญกองกุศลผ่านคุณไพศาล ภายในโลกวิญญาณ จะมีกฎหรือเงื่อนไขอะไรบางอย่างนั้นก็คือมนุษย์ส่วนใหญ่ (ไม่ทุกคน) ในขณะ ที่มีชีวิตอยู่ จะมีคนเฝ้ากองบุญกองกุศล (จากการศึกษาข้อมูลที่ผ่านมา พบว่าผู้หญิง เฝ้าของผู้หญิง ผู้ชายเฝ้าของผู้ชาย)
เช่นกองบุญกองกุศลนี้เป็นของข้าพเจ้านายรักไทย ใจพระวิญญาณที่เฝ้าบุญกุศลก็จะเล่าถึงประวัติของข้าพเจ้า รวมถึงบุพกรรมทั้งที่เป็น ความดี ความชั่ว กรรมในอดีต กรรมในปัจจุบันและบุพกรรมที่จะมากระทบในชาตินี้ กุศลผลบุญที่ได้สะสมมีมากน้อยแค่ไหน ชาติก่อนเป็นอะไร ชาติหน้าจะเป็นใคร ภพชาติต่อไปมีชื่ออะไร แม้กระทั่งว่าเกิดวันที่อะไร เดือนอะไร พ.ศ.อะไร จะเสียชีวิต เมื่อไรเสียชีวิตเพราะอะไร และที่สำคัญวิญญาณที่เฝ้ากองบุญกุศลจะบอกแนวทาง หรือวิธีการแก้ไขวิบากกรรมให้ด้วยทุก ๆ รายไป
การนิมิตในลักษณะนี้ก็เพื่อ จะให้วิญญาณผู้ที่ตายไปแล้ว (วิญญาณที่เฝ้ากองบุญกุศล) ได้ช่วยเหลือผู้ที่มีชีวิต อยู่ในโลกมนุษย์ หรือเรียกง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งว่านิมิตคนตายช่วยคนเป็น
4
จากการพบปะวิญญาณทั้งหลายด้วยกายทิพย์ คุณไพศาลได้รับฝากข่าวสาร จากวิญญาณสั่งมาถึงผู้ที่เคยมีความเกี่ยวเนื่องกันในโลกมนุษย์ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ผู้รับข่าวสารมีทั่วสารทิศในประเทศไทย มีทุกชาติทุกศาสนา บางครั้งก็ส่งไปถึงต่าง ประเทศ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ชื่อ - นามสกุล บ้านเลขที่หรือที่ทำงาน ตำบล อำเภอ จังหวัดที่ส่งไปนั้นแทบไม่มีผิดพลาด (มีการผิดพลาดบ้างเหมือนกัน
เช่น บ้านเลขที่ 11 แต่ไปเขียนเป็น 17) ยิ่งไปกว่านั้นบางรายยังบอกรายละเอียดถึง เลขที่โฉนด เลขที่ทะเบียนปืน เลขทะเบียนรถที่ผู้ตายจากโลกมนุษย์ได้ทิ้งไว้ให้ลูกหลานอีกด้วย ลักษณะที่
3)
นิมิตบันทึกพิเศษ เป็นการนิมิตเพื่อย้อนอดีตของโบราณสถาน อันศักดิ์สิทธิ์ บุคคลสำคัญของบ้านเมือง และเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ บุคคลที่จะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้คุณไพศาลฟังมีทั้งเทพ พรหม และพระอริยบุคคล ซึ่งแต่ละท่านนอกจากจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
ในอดีตแล้วก็ยังได้สอดแทรกข้อคิด อรรถและธรรมอันเป็นสาระประโยชน์อย่างมหาศาล แล้วคุณไพศาลก็จดจำไว้ เมื่อมีเวลาก็ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นบันทึกพิเศษ ซึ่งก็ได้ทยอยออกไปแล้วหลายเรื่อง เช่น
พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน, พระธาตุดอยตุง จ. เชียงราย, พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ พระธาตุแหลมลี่ จ.แพร่, พระธาตุศรีสองรัก จ.เลย, พระธาตุปูแจ จ.แพร่ พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม, พระเจ้าตาเขียว จ.ลำพูน, พระพุทธมหามิ่งเมืองเรืองราช จ.เชียงใหม่, พระพุทธมหาธรรมราชา จ.เพชรบูรณ์, พระเจ้าตนหลวง จ.พะเยา, หลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา,
วัดร้องซุ้ม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่, วัดพระธาตุช้างค้า วรวิหาร จ.น่าน, วัดสันป่ายางหลวง จ.ลำพูน, ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์, เวียงกุมกาม อ.สารภี จ.เชียงใหม่, โยนกนคร จ.เชียงราย, หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำ ทะเลจืด) หลวงปู่เทพโลกอุดร, พระเจ้าติโลกราช จ.เชียงใหม่, เจ้าแม่จามเทวี การสร้างเมืองหริภุญชัย, บ้องไฟพญานาค, กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ จ.ยโสธร, ศึกบางระจัน จ.สิงห์บุรี, วิญญาณรอคอยที่ศรีชุม จ.ลำพูน และธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาน่าน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับจดหมายนิมิตจากคุณไพศาล แสนไชยก็อย่าได้ตกใจ
หรืออย่าได้คิดว่าเป็นจดหมายเวียนที่เขียนขึ้นมาเพื่อหลอกคนเล่น ๆ เพราะ
จดหมายเวียนหรือจดหมายลูกโซ่นั้นแตกต่างจากจดหมายของคุณไพศาล เพราะ
5
ในจดหมายของคุณไพศาลไม่ได้ระบุว่าให้ส่งต่อไปยังผู้ใดอีก นอกจากนั้นยังมีรายชื่อ ของคุณไพศาล แสนไชย และบุคคลที่สามารถติดต่อกลับมาได้อีกด้วย บุคคลใดก็ตาม เมื่อมีจดหมายนิมิตไปถึง ก็นับได้ว่าท่านนั้นโชคดีเป็นที่สุดแล้วที่เทพเบื้องบนยังมี เมตตาพาคุณไพศาลไปพบกองบุญกองกุศลของท่าน
เมื่อมีกองบุญกองกุศลน้อย มีบ้านหลังน้อย ก็ให้หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ให้มากกว่าเดิม
เมื่อมีกองบุญกองกุศลมาก มีบ้านหลังใหญ่ก็ให้หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลต่อไป เช่นเดียวกัน
ดังนั้น ผู้ที่ได้รับจดหมายนิมิตหรือที่ได้ติดตามนิมิตพิเศษของคุณไพศาล แสนไชยแล้วละก็รับรองว่า มีแต่ได้ ไม่มีเสียครับ
สัมผัสที่ 6
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไพศาลเป็นบุคคลพิเศษหาได้ยาก คือความสามารถ ในการติดต่อกับโลกวิญญาณ ด้วยการถอดกายทิพย์ออกท่องเที่ยวไปตามภพต่างๆ เพื่อพบปะพูดคุยกับวิญญาณที่อยู่ในภพนั้นๆ ทั้งเทวโลกและนรกโลก
ซึ่งไพศาลเอง เรียกว่า “ที่ร้อน” กับ “ที่เย็น” ในแต่ละที่ก็มีการแบ่งขั้นของความร้อนมากไปจนกระทั่ง ร้อนน้อย ที่เย็นก็มีชั้นตั้งแต่ที่อยู่และการแต่งกายธรรมดาเหมือนมนุษย์ไปจน ถึงวิมานใหญ่โตแพรวพราว และการแต่งกายก็สวยงามต่างกันแต่ก็มีข้อสังเกตว่า ในแต่ละชั้นจะมีสภาพที่อยู่อาศัย การแต่งกายเหมือนกันหมด พูดง่าย ๆ ก็คือมีบ้าน ที่มีขนาดรูปร่าง สีสันเหมือนกันเท่ากัน
การแต่งกายแบบเดียวกัน สีเดียวกัน จากการพบปะวิญญาณทั้งหลายด้วยกายทิพย์ไพศาล ได้รับฝากข่าวสารจากวิญญาณ สั่งมาถึงผู้ที่เคยมีความเกี่ยวเนื่องกันในโลกมนุษย์ ทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ตลอดจน วิธีการที่จะปฏิบัติตนให้พ้นจากวิบากกกรรมผู้รับข่าวสารอยู่ทั่วทุกสารทิศทั้งใน ประเทศไทยมีทุกศาสนาบางครั้งก็ส่งไปถึงต่างประเทศด้วยซ้ำไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ ว่าชื่อ นามสกุล บ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ จังหวัด ที่ส่งไปนั้นไม่ผิดพลาด ยิ่งไปกว่านั้น บางรายยังบอกรายละเอียดถึงเบอร์โทรศัพท์ เลขที่โฉนด เลขทะเบียนปืน ที่ผู้ตาย
จากโลกมนุษย์ได้ทิ้งไว้ให้กับลูกหลานการติดต่อนั้นมีประจำทุกวัน วันละประมาณ 3-
6
4 ราย ในการทำงานนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคนานาประการ ข้อแรกคือตัวของ ไพศาลเอง ต้องอุทิศตัวเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ไม่ได้ประกอบอาชีพหารายได้ตามที่ได้ศึกษามาจึง เกิดความไม่พร้อมทั้งวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็ได้อาศัย ผู้รับข่าวที่มีศรัทธาได้ ช่วยบ้าง
จึงทำให้งานดำเนินไปไม่ขาดสายทำไมต้องมาทำงานนี้เป็นคำถามที่ต้องหา รายละเอียดต่อไปในเรื่องอันพิลึกพิลั่นเหนือเหตุผล และเหนือ กฎเกณฑ์ของโลก มนุษย์ซึ่งท่านผู้สนใจพึงทำใจเป็นกลาง ใช้วิจารณาญาณวิเคราะห์เอาเองว่า น่าจะเป็น ไปได้หรือไม่ได้เพราะโลกมนุษย์เรายังมีอะไรหลายอย่างที่ไม่อาจ หาเหตุผลและ คำตอบชี้แจงได้ เช่น สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นต้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นใน บ้านเมืองเรา สมควรที่คนไทยจะรับทราบ
เริ่มสัมผัสมิติเร้นลับ
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาที่วิทยาลัย แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เช่าบ้านพักอยู่ที่บางแค เวลา 14.00 น. ขณะที่ฟังบรรยายอยู่ที่ วิทยาลัยก็เกิดอาการอ่อนเพลียอย่างมาก คล้ายคนเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง อยากจะ พักผ่อนนอนหลับ หูอื้อตาพร่ามัว อาคารทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อดทนไม่ได้
จึงขอ อาจารย์กลับที่พักโดยขึ้นรถเมล์สาย 84 (คลองสาน - อ้อมใหญ่) มาลงที่ปากซอย เข้าบ้านพักรู้สึกวาบหวิวคล้ายจะเป็นลม ได้พยายามพยุงร่างเดินไปจนถึงบ้านพัก พอให้ถึง ก็คิดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรสักอย่างถึงได้มีอาการอ่อนเพลียอย่างนี้ ความคิด ว่าไปตรวจร่างกายที่คลีนิคจึงได้แข็งใจอาบน้ำและจัดการแต่งตัวเมื่อสวมเสื้อได้เพียง แขนเดียวก็หมดแรงลมล้มฟุบบนที่นอน หมดความรู้สึกนิมิตว่าตัวเองไปยืนอยู่ที่ สนามวิทยาลัยที่เรียนอยู่ได้มีชายชราอายุประมาณ 90 ปี
สะพายย่ามตัดเย็บด้วยผ้าดิบ สีขาวที่ทางภาคเหนือใช้ห่อข้าวอาหาร หมาก เมี่ยง บุหรี่ ให้คนสะพายนำหน้าศพ พร้อมกับตุงสามหางไปป่าช้าโดยเชื่อกันว่าเพื่อให้ผู้ตายได้ใช้เป็นเสบียงเดินทางไปสู่ ปรโลก เมื่อชายชราเข้ามาใกล้ไพศาลก็จำได้ว่า คือ พ่ออุ้ยโกน คำสม เป็นคน บ้านหนองสลึก (อยู่ติดกับบ้านท่าอจิ๋ว บ้านของไพศาล) พ่ออุ้นโกน ได้เสียชีวิต ไปประมาณ 10 ปี เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีอาชีพเป็นช่างเหล็กและช่วยเหลือชาวบ้าน
ในการเผาศพเป็นประจำ เพราะหมู่บ้านทางภาคเหนือไม่มีสัปเหร่อประจำ ก็ได้อาศัย
7
ชาวบ้านด้วยกันทำหน้าที่สัปเหร่อ “มาเยียะหยังนี้ (มาทำอะไรที่นี่) อุ้ยโกน” (มาทำ อะไร)" ไพศาลทักทายไป "มาหาถึงก่าเอานี่มาฮอตวยอักษาไว้ซื้อเมินแล้ว (มาหาเจ้าน่ะ ซิเอานี่มาให้เจ้าด้วยรักษาไว้ให้นานแล้ว) พ่ออุ้ยโกนตอบ พร้อมกับ ล้วงลงไปในย่าม หยิบเอาข้าวเหนียวปั้นหนึ่งมีสีดำๆ ต่างๆ ออกมายื่นให้ “เอ๊า... กินเทีย" (กินเสีย)
อุ้ยโกน คำสม
บุคคลที่ไพศาลพบในนิมิตคนแรก
“อะหยั่งนั่น....เฮาบ่กิน” (อะไรนั่นผมไม่กิน) ไพศาลรีบตอบปฏิเสธ พ่ออุ้ย ได้ยัดเยียดก้อนข้าวใส่มือไพศาลพร้อมกับสำทับว่า “กินเทียเตอะ ฮักษาไว้ซื้อเมินแล้ว" (กินเสียเถอะรักษาไว้ให้นานแล้ว) เมื่อไพศาลรับไว้แล้วอุ้ยโกนก็ขยันขะยอ
ให้รับประทานไพศาลยกก้อนข้างในมือมาดูมันมีลักษณะเป็นข้าวคลุกงาที่คนภาคเหนือ นิยมรับประทานกันเป็นของว่าง มีกลิ่นหอมชวนกิน จึงลองกัดกินดูปรากฏว่า มีรสอร่อยมากจึงกินต่อไปจนหมดก้อนอุ้ยโกนมองไพศาลกินข้าวก้อนนั้นด้วยความ พออกพอใจ และบอกว่า “เอาละ... กูจะไปแล้ว” (ข้าจะไปแล้ว) ว่าแล้วอุ้ยโกน ก็หมุนตัวกลับไป
“อุ้ยโกน เดี๋ยวก่อน อย่าฟังไปเตือ” (อย่าเพิ่งไป) ไพศาลตะโกนเรียก แต่อุ้ยโกนไม่ยอมเหลียวกลับ พอเดินไปสัก 3 ก้าว ร่างอุ้ยโคนก็หายวับ ไพศาล สะดุ้งตื่นด้วยจิตอันระทึกต่อเรื่องราวนิมิตที่พึ่งผ่านไปหยกๆ นึกทบทวนเหตุการณ์ ต่างดูไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
คงเป็นการฝันปกติธรรมดาของคนทั่วไป แต่ก็จำ เรื่องราวเหล่านั้นแม่นยำเสมือนหนึ่งว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ครั้นกลับมาสำรวจ ตัวเองก็พบว่ายังคงนอนฟุบอยู่บนที่นอน โดยสวมเสื้อเพียงข้างเดียวจึงพยุงกายลุกขึ้น ปรากฏว่าความอ่อนเพลียได้หายไป ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉงเป็นปกติ ทุกอย่าง จึงล้มเลิกความคิดที่จะไปตรวจร่างกาย จัดแจงกางมุ้งแล้วเข้านอน คืนนั้นได้หลับสบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหตุการณ์ประหลาด
เช้าตรู่ของวันที่ 8 พฤศจิกายน 2524 ไพศาลรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นจิตใจแจ่มใส
เบิกบาน ที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน ทั้งๆ ที่ต้อง
ไปเรียนหนังสือตามปกติ แต่ก็ไม่ดื่มน้ำไม่รับประทานอาหาร จนกระทั่งวันที่ 4 ของ
8
เหตุการณ์ประหลาดนั้นคือวันที่ 11 พฤศจิกายน 2524 จึงเริ่มรู้สึกหิวและกระหายน้ำ ก็ได้ดื่มน้ำและกินอาหาร
พบเทพนิมิต
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2524 วันนี้เกิดอาการอ่อนเพลียคล้ายคนทำงานหนัก มาตลอดวัน และต้องการพักผ่อน คืนนั้นจึงเข้านอนแต่หัวค่ำและเกิดนิมิตว่าตนเอง กลับจากงานบุญที่ไหนสักแห่ง มีความปิติยินดีในผลบุญเป็นอันมาก ขณะที่กำลัง เดินขึ้นระเบียงบ้าน
ก็ต้องสะดุ้งกลัวเป็นที่สุดเพราะที่ระเบียงบ้านนั้นบุรุษหนึ่งอายุ 50 ปีกว่า รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยชุดนักรบทางภาคเหนือสมัยโบราณ สวมกางเกง รัดรูปสีเทา ยาวเลยเข่า ลงทานิดหน่อย เสื้อคอกลมสีเทาผ่าอก แขนสั้นแค่ศอก ปลายแขนเสื้อพันด้วยเชือกกระชับติดกับลำแขน คาดเอวด้วยผ้าสีฟ้า ศีรษะ สวมครอบมวยผม กลางกระหม่อมคลุมถึงหู
ด้วยโลหะสีทองมีลวดลายมือขวา ถือดาบฝึกฝังลายทอง ดาบมีบายสีทองถือกระชับแนบติดเอว ชูปลายดาบขึ้น ในลักษณะเตรียมพร้อม ใบหน้าแลดวงตาขึงขังดุดัน บุรุษแปลกหน้าดังกล่าว ยืนรอไพศาลอยู่ตรงระเบียงบ้าน กำลังจ้องดูไพศาลอย่างพินิจพิเคราะห์ ด้วยท่าทาง จึงขังของบุรุษนั้น ทำให้ไพศาลเกิดอาการตกใจและเกรงกลัวแต่ก็แข็งใจถามไป ด้วยเสียงค่อนข้างสั่น
“พ่อลุงมาหาไผ (พ่อลุงมาหาใคร)” ไพศาลถาม “มาหาสู่ค่า (มาหาเอ็งน่ะซิ” บุรุษผู้นั้นตอบเสาะหามาเมินแล้ว(ตามหามานานแล้ว) ไปหาที่บ้าน หลายเตือ ก็ บ ปะ (ไปหาที่บ้านหลายครั้งแล้วก็ไม่พบ) กำลังมาปะ (พบ) ที่นี่ล่ะ” “มาเยียะหยัง รู้จักเฮากา (มาพบทำไม รู้จักเราหรือ)" ไพศาลถามรู้จักก่า...เอ...นี่จำกันบ่ ได้กา บ่รู้จักข้ากา (รู้จักซิเอ...นี่ จำกันไม่ได้หรือ)”
บุรุษแปลกหน้าตอบด้วยน้ำเสียง แสดงความเป็นกันเอง จึงทำให้ไพศาลใจชื้นขึ้น แต่ก็สั่นหัวปฏิเสธและตอบว่า “เฮาจำบ่ได้ บ่เกยรู้จัก (ผมจำไม่ได้ ไม่เคยรู้จัก)" บุรุษแปลกหน้าอมยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ อุทานออกมาว่า" เออ! แต้ก่า...ข้าลืมไป เฮาปัดกันมาเมินแล้ว ข้าจะเล่าซื้อสูฟังก่อน ฟังหอดีเน้อ (เออ ! ใช่สิ ข้าลืมไป เราจากกันมานาน และข้าจะเล่าให้เจ้าฟังก่อน ฟังให้ดีนะ)” และบุรุษแปลกหน้าผู้สง่าน่าเกรงขามได้เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ ใน
9
อดีตอันยาวนาน ด้วยน้ำเสียงแสดงความคุ้นเคยเป็นอย่างดีให้ไพศาลฟังว่า ในอดีต ที่ผ่านมาประมาณพันกว่าปี ตัวข้านี้ได้เกิดในเมืองมนุษย์ เป็นเจ้าผู้ครองนครโยนก เชียงแสน มีชื่อว่า
พญาพิงคราชตัวเจ้าก็เกิดมาเป็นเสี่ยว(เพื่อน) รักกันเป็นแม่ทัพคู่ใจ ข้าเฮาเคยได้ร่วมรบทัพจับศึกมาด้วนกันอย่างโชกโชนเคยร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมกิน (ร่วมกิน) ร่วมแอ่ว(ร่วมเที่ยว) ตวยกัน (ด้วยกัน) ตัวเจ้ามีชื่อว่า พญาสิงหวิรา มียศศักดิ์ ยิ่งใหญ่ในนครโยนกเชียงแสน รองจากข้าเมื่อเลี้ยงจิต (ตาย) จากโลกมนุษย์นั้นแล้ว ต่างคนก็ต่างไปตามบุญตามกรรมที่ได้กระทำมาชาตินี้สูเจ้าก็จะหมดกรรมเวรที่ต้อง สอบสาย(ต้องใช้)แล้ว ข้าจึงเสาะหา (ตามหา) สูเจ้าจนปะ(พบ) นี่ล่ะ เพื่อจะชวนเจ้า ไปผ่อ(ดู)ที่แห่งหนึ่ง”
“ไปผ่ออะยัง (ไปดูอะไร) ที่ไหน” ไพศาลถาม "ไปผ่อ(ดู) โลกหน้า คนที่ตาย(ตาย) จากโลกมนุษย์แล้วเข้าไปอยู่กัน (กัน)” พญาพิงคราชตอบ “โอ๊ะ..เฮาบ่ ไป(ผมไม่ไป) เฮายังบ่ ไปเตือ (ผมยังไม่ไป) ยังต้องเรียนหนังสือแล้วทำงาน หาเลี้ยงตัวเองและพ่อแม่อยู่ เฮาบไป (เราไม่ไป) ไพศาลรีบตอบปฏิเสธทันที “เอาล่ะ... วันนี้บ่ ไปก็บ่ เป็นหยัง” (วันนี้ไม่ไปก็ไม่เป็นไร) พญาพิงคราชตอบด้วยเสียงปกติ
พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “เดี๋ยวเวลาก็ใกล้แจ้ง (ใกล้สว่าง) แล้ว จิตของเจ้าควรกลับคืนร่างเอาไว้อีก 7 วัน ในโลกมนุษย์ข้าจะปิ๊ก (กลับ) มาหาเจ้าใหม่ เนื้อ (นะ)” พูดแล้วก็ยิ้มให้อย่างมีไมตรีและก้าวเดินไปประมาณ 3 ก้าว ร่างของ พญาพิงคราชก็หายวับไป
พบกันครั้งที่ 2
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2524 วันนี้ไพศาลมีอาการอ่อนเพลียคล้ายวันก่อน
ร่างกายต้องการพักผ่อนเป็นอย่างมาก เมื่อปฏิบัติภารกิจประจำวันแล้ว ก็เข้านอน
ประมาณ 2 ทุ่ม และก็หลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว นิมิตว่าตนเองเดินออกมาที่ระเบียง
บ้านพักและพบพญาพิงคราช ซึ่งมายืนรออยู่ก่อนแล้วแต่ในนิมิตครั้งนี้ พญาพิงคราช
ไม่ถือดาบมาด้วย มือขวาหัวย่ามสีขาวหม่นๆ ทำด้วยผ้าทอที่มีหุ่นประดับสวยงาม
แบบถุงย่ามของคนทางเหนือใช้กันมาแต่โบราณ พอพบกันต่างยิ้มแย้มทักทาย
กันอย่างคุ้นเคย “มาปะกั้น (พบกัน) วันนี้ก็ดีแล้ว มีของมาซื้อ(มาฝาก)" พญาพิงคราช
10
พูดยิ้ม ๆ พร้อมกับล้วงลงไปในย่ามหยิบเอาของสิ่งหนึ่งติดมือมาด้วย มีขนาดเท่านิ้วชี้ สีคลำๆ แล้วยื่นให้ไพศาล "อะหยังนะ (อะไรนั่น)" ไพศาล อุทาน "เอ้า...งับไว้เถอะ (รับไว้เถอะ) แล้วก็คืนเทีย (กินเสีย)” พญาพิงคราชยื่นของชิ้นนั้นส่งให้ไพศาลรับไว้ ไพศาลได้พิจารณาดูสิ่งนั้นเห็นว่ามีลักษณะคล้ายเปลือกคล้ำ แต่ไม่แข็งกระด้าง มีความนุ่มนิ่ม
เมื่อจับดูจึงลองดมดู รู้สึกมีกลิ่นชวนกินลองกัดกินดู ปรากฏว่า มีรสหวานมันอร่อยมาก จึงได้กินเข้าไปจนหมด พญาพิงคราชมองดูไพศาลด้วย ความพอใจ หัวเราะห์ ๆ พร้อมกับใช้มือตบหลังไพศาลเบาๆ 3 ครั้ง แล้วพูดว่า “สหายเก่า...เฮาเคยค่อยขอดกันที่ก้องเฟือง วันนี้จะชวนไปแถมจะไปก่อ (เพื่อนรัก เราเคยยั่วเย้ากันที่ข้างกองฟาง วันนี้จะพาไปอีกจะไปไหม) “ไปไหน จะปาบิ๊กบ้านกา (กลับบ้านหรือ) เฮาอยากปิ๊กบ้าน" ไพศาลตอบ
เพราะตอนนี้การสอบปลายปี กำลังจะสิ้นสุดลง นักศึกษาต่างก็กำลังเตรียมตัวจะกลับบ้านกัน พญาพิงคราชหัวเราะ “บ่อได้ปักบ้าน บิ๊กไปหยังบ้าน ข้าจะนำไปผ่อโลกหน้า” (ไม่ใช่กลับบ้าน กลับไปทำไม ข้าจะพาไปดูโลกหน้า) “เฮาบ่ไป...เฮายังบ่ไปเตือ” (เราไม่ไป...เรายังไม่ไป) ไพศาล ตอบยืนยันเหมือนครั้งก่อน “นั่งลง...ผู้กันก่อนเน้อ (พูดกันก่อนนะ)”
พญาพิงคราช หยิบเก้าอี้ที่ประดับลวดลายฝังมุกอย่างสวยงามมานั่ง ซึ่งตั้งนี้ไม่มีอยู่ที่บ้านพัก จึงทำให้ไพศาลสงสัยถามไปว่า “เอาตั้งนี้ที่ไหนมา เป็นของไผ” (เอาเก้าอี้ที่ไหนมาเป็น ของใคร)พญาพิงคราชยิ้มตอบรับว่า “ของข้าค่า ข้าเอามาตวย (ของข้าสิ ข้าเอามาด้วย) เอ้านั่งลงก่อน”
เมื่อไพศาลนั่งลงกับพื้นเรียบร้อยแล้วพญาพิงคราชก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เคยสัมพันธ์กันมาอย่างใกล้ชิดในอดีตกาลให้ไพศาลฟังเพิ่มเติมจากที่เคย บอกเล่ามาแล้ว และสุดท้ายได้เสริมว่า “ที่ข้าเสาะหาสูเจ้า (ตามหาตัวเจ้า) ก็เพื่อจะพา ไปผ่อ (ดู) โลกหน้า สูเจ้าจะได้รู้ได้เห็นไว้เพื่อตัวเจ้าเองและชาวมนุษย์โลกสูจะไปเก่า (จะไปไหม)” แต่ไพศาลคงยืนยันปฏิเสธไม่ไปด้วยเหตุผลเดิมคือต้องเรียนและ ทำงานหาเลี้ยงตัวและบิดามารดา พญาพิงคราชก็ไม่ได้โต้แย้งแต่ประการใด
11
จนได้เวลาพอสมควร พญาพิงคราชก็ขอตัวกลับและกำชับไว้ว่าจะกลับมาเยี่ยมไพศาล ในโอกาสต่อไป
พบกันครั้งที่ 3
วันที่ 3 ธันวาคม 2524 วันนี้ไพศาลมีการอ่อนเพลียเหมือนที่เคยเป็นจึงหายา มารับประทาน แต่อาการไม่ดีขึ้น กลับมีความรู้สึกง่วงนอนอย่างมากจึงเข้านอนในเวลา 2 ทุ่ม เกิดนิมิตว่า ตัวเองเดินออกมาที่ระเบียงบ้านพัก ได้พบพญาพิงคราชยืนรออยู่ พร้อมด้วยพระภิกษุชราภาพอายุประมาณ 90 รูปร่างผอมสูง มีสง่า น่าเคารพ ครองผ้าสีกรัก คาดรัดประคดสีเดียวกัน ไพศาลจึงรีบยกมือไหว้ถามว่า “ครูบา ชื่ออะหยัง” (อะไร) มาจากไหน” พระภิกษุชรายิ้มด้วยความเมตตา
และตอบด้วย น้ำเสียงนุ่มนวล ตอบแบบอย่างผู้ทรงศีล “อาตมาชื่อว่า “คัณธา คัณธาโล เมื่อยังมี ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ได้อยู่ที่วัดเมืองสร้อยเมืองระแหง จังหวัดตาก ได้เสียงจิต (ตาย) จากโลกมนุษย์มาแล้วเป็นเวลาพันกว่าปี เดี๋ยวนี้ได้อยู่ในแดนสักคั่ง (แดนทิพย์) ซึ่งไกลจากที่นี่มาก ที่มานี่ก็เพราะพญาพิงคราชนิมนต์มาเพื่อจะพาเอาไพศาล ไปดูโลก หน้าว่ามนุษย์ตายจากโลกมนุษย์แล้วไปอยู่ที่ไหนจะไปก่อ (จะไปไหน) ด้วยความเคารพ และเกรงใจพระครูบาผู้อาวุโส
ไพศาลตอบอย่างนอบน้อมว่า “ไหว้สาครูบาเจ้า ถ้าครูบาไปตวย (ไปด้วย) ผมก็จะไป "ไปก่า..” (ไปซิ) ครูบารับคำ “ครูบาก็จะไปตวย (ไปด้วย) จะพาไปผ่อ (ดู) หมู่มนุษย์ที่เลี้ยงชีวิต (ตาย) แล้วว่าเขามารับกรรมดี กรรมอ้าย (กรรมร้าย)
อย่างไร ตามแต่กรรมที่เขาได้สร้างไว้ยังเมืองมนุษย์ บางคน ก็อยู่เย็นเป็นสุขในปราสาทวิมาน บางคนก็ตกระกำลำบากอยู่ในที่ร้อน บ่มีที่อยู่ อาศัย (ไม่มีที่อยู่อาศัย) ขาดเครื่องนุ่งห่ม หิว อยากอาหารก็บ่มีถิ่น (ไม่มีกิน) ทั้งหลาย เล่านั้นอยากจะสั่งเสียมายังลูกหลาน ญาติพี่น้องทั้งหลายที่ยังคงอยู่เมืองมนุษย์ซื้อ ได้รู้จัก (ได้รู้จัก) ผลแห่งกรรมเพื่อที่จะได้ประพฤติอยู่ในศีลธรรมเพราะเขาทั้งหลาย เหล่านั้นได้มาประสบแล้วว่า บาปมีจริง บุญมีจริงเพื่อบรรดาลูกหลาน ญาติมิตรจะได้
ไม่ประมาท “งานนี้ยังผ่อบ่หันไผ (มองไม่เห็นใคร) ที่สมควรทำนอกจากไพศาล
12
เท่านั้น” พญาพิงคราชพูดเสริมขึ้น “และงานนี้ต่อไปภายหน้ามันจะเป็น (เป็น) งาน ใหญ่หลวงนัก ข้าจึงได้ไหว้สาครูบาเจ้ามาช่วย” “ได้ก่า...(ได้สิ) เมื่อพญาพิงคราช มาข้อข้าจะช่วย ตามปกติธรรมแล้ว ข้าบ่ไปไหน (ไม่ไปไหน) ถ้าบ่จำเป็น (ไม่จำเป็น) ข้าจะสงบอยู่ในที่แดนสักกิ่ง" "ไหว้สาครูบาเจ้า ผมตกลงจะไปถ้าครูบาเจ้าไปดวย (ไปด้วย)”
ไพศาลพูดกับครูบาคัณธาและพญาพิงคราชด้วยความนอบน้อม แต่ก็แสดงถึงการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ดีละ” ครูบาคัณธาตอบรับ “แล้วจ้าก็จะ ได้ไปเห็นบุญเห็นบาปว่ามันมีผลตอบสนองผู้ที่ทำบุญทำบาปอย่างไร และเขาเหล่านั้น ก็จะได้อาศัยเจ้าช่วยเป็นล่าม นำข่าวดีข่าวร้ายมาบอกกล่าวลูกหลานญาติมิตร พี่น้องที่โลกมนุษย์ การงานอันนี้ก็จะเป็นกุศลแก่เจ้าตวย (ด้วย)แล้วเจ้าก็จะต้องรู้เอง
“จะไปเมื่อใด” (จะไปเมื่อไหร่) ไพศาลถาม “ยังบ่เดี๋ยวนี้ ยังบไปเตือ” (ตอนนี้ยังไม่ไป) พญาพิงคราชตอบ “วันหน้าข้ากับครูบาจะมาฮับ (รับ) พญาพิงคราชมองไพศาล แล้วก็หัวเราะ บอกว่า “ต่อไปนี้ถ้ามันอ่อนเพลียก็ไม่ต้องกินยานะ ถึงอย่างไร ก็ไม่หายไปหลับเสีย เอาละวันนี้ข้ากับครูบาเจ้าก็จะปิ๊ก (กลับ)ไปก่อนวันหน้าจะมาฮับ (มารับ) ไป" ว่าแล้วพญาพิงคราชและครูบาคัณธาก็หมุนตัวกลับก้าวเดินไปประมาณ 3 ก้าวร่างทั้งสองก็หายวับไป
เริ่มเข้าสู่โลกวิญญาณ
หลังจากวันที่ 3 ธันวาคม 2524 วันที่พบกับพญาพิงคราชและครูบาคัณธาแล้ว เหตุการณ์ทั้งหลายในชีวิตก็คงดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งวันที่ 15 ธันวาคม 2524 ก็เกิดอาการอ่อนเพลียอยากพักผ่อนนอนหลับอีก ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ไพศาลรู้แล้วว่ามันบันดาลให้เกิดขึ้น ครั้งนี้
ไพศาลเริ่มรู้แล้วว่ามันบันดาลให้เกิดขึ้น จึงไม่มีอาการตกใจได้อาบน้ำ ชำระร่างกายสวดมนต์ไหว้พระและเข้านอน และร่างกายก็หมดความรู้สึกอย่างรวดเร็วได้นิมิตต่อไปว่าตนเองเดินออกมาที่ระเบียง บ้านพักและพญาพิงคราช กับครูบาคัณธา ยืนรออยู่แล้ว คืนนี้พญาพิงคราช
ได้เปลี่ยนเครื่องทรงใหม่เป็นกางเกงแนบเนื้อยาวถึงข้อเท้าสีชมพู เสื้อรัดรูป
แขนยาวถึงข้อมือสีชมพูทั้งเสื้อและกางเกงปักดิ้นเงินและลวดลายสวยงามระยิบระยับ
13
คาดทับด้วยผ้ารัดเอวสีเหลืองอ่อน บนศีรษะสวมครอบมุ่นมวยผมยาวมาถึงแผงอก มี ประกายวูบวาบคล้ายเพชร ใส่รองเท้าปลายงอนปักลายทองสวยงาม กริยาท่าทางของ พญาพิงคราชก็นุ่มนวลน่ารัก ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวแบบนักรบ ไพศาลมองดู พญาพิง คราชด้วยความตกตะลึงในความวิจิตรอย่างไม่เคยพบเห็นในโลกมนุษย์แล้วยิ่งตกตลึง
มากขึ้น เมื่อนึกถึงตัวเองและก้มสำรวจดูอะไรนี่! เสื้อผ้าที่สวมใส่ อยู่มันผิดไปจาก พญาพิงคราชทรงอยู่ทุกอย่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าจึงทำให้งงจนไม่รู้จะพูดจะทำอะไร พญาพิงคราชและครูบาคัณธายืนดูไพศาลด้วยความพอใจและยิ้มแย้ม ครูบามือไปที่ กายเนื้อของไพศาลซึ่งนอนอยู่ในที่นอน แล้วถามไพศาลว่า
“นั่นใคร?” ไพศาลหัน ไปมอง แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวที่เห็นเนื้อตัวเองนอนอยู่รีบตอบไปว่า “ตัวผมเองครับ... ผมจะกลับแล้ว” พร้อมกับผวาเข้าหาร่างเดิม แต่ครูบาคว้ามือ ไปปลอบว่า "ปล่อยร่าง นั้นไว้ก่อนเถอะไม่ต้องห่วงเราจะไปดูโลกหน้ากัน” แล้วถึงกายทิพย์ของไพศาลออก เดินไปพร้อมกับพญาพิงคราชซึ่งคอยอยู่แล้ว ไพศาลก็รู้สึกว่าถูกดึงให้ก้าวไปประมาณ 3 ก้าวก็รู้สึกว่า ทั้งครูบาคัณธาและ พญาพิงคราชและตัวไพศาลเองอยู่ในสภาพไร้ น้ำหนัก ปลิวไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่า ไปทางทิศทางใด
โลกวิญญาณเป็นอย่างไร
และตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2524 เป็นต้นมา ครูบาคัณธากับพญาพิงคราช ก็มารับกายทิพย์ของไพศาลท่องเที่ยวไปในโลกหน้าหรือโลกวิญญาณเป็นประจำ จะมีเว้นบ้างเป็นบางโอกาส การไปก็ไปในลักษณะปลิวไปอย่างไร้น้ำหนัก
โดย ไพศาลเองไม่รู้ทิศทางที่ไปพอไปถึงจุดที่ท่านทั้งสองต้องการจะให้ดูหรือพบปะ วิญญาณใด ก็จะหยุด ณ ที่แห่งนั้น เพื่อให้ไพศาลได้ดูสถานที่หรือพบปะพูดคุย กับวิญญาณที่รอคอยพบอยู่สถานที่ไพศาลได้พบ แบ่งออกเป็นสองอย่างคือ ที่ร้อน และที่เย็น มีตั้งแต่ร้อนน้อยหมู่คนตายจากโลกมนุษย์ ที่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้
ต่างก็นั่งจับเจ่าหน้าแสดงความเป็นทุกข์ แม้ตัวไพศาลเองเมื่อเข้ามาสถานที่นี้ก็รู้สึก ร้อนเหมือนอยู่กลางแดดจัดในฤดูร้อน ไม่มีร่มเงาใดๆ ที่ร้อนมากขึ้นกว่านี้ก็อยู่ อีกเขตหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าห่างกันแค่ไหน อยู่ทิศทางใด ในที่ที่ร้อนที่สุดไพศาลเอง ก็เข้าไปไม่ได้ ได้แต่ยืนรออยู่รอบๆ บริเวณ บรรดาวิญญาณที่อยู่ในที่นั้น ต่างก็กระวน
14
กระวายพลุกพล่าน ส่งเสียงกรีดร้องๆ โหยหวนไม่ขาดสาย จะมีการสงบเป็นครั้งคราว และพระสุปฏิปัณโณในโลกมนุษย์ ได้แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะบังเกิด หมอกครีมปกคลุมในที่ร้อนทำให้ลดความร้อนแรงลง สรรพสัตว์ที่อยู่ในที่นั้นก็จะได้ รับความสุขความสบายชั่วคราว พระสุปฏิปัณโณ ผู้มีบารมีเช่นนี้ยังคงมีอยู่หลายองค์ ในโลกมนุษย์ (ตามรายชื่อ)
ครูบาคัณธาอธิบายให้ฟังว่าบรรดาวิญญาณที่อยู่ในเขตนี้ ถ้าทนไม่ได้ก็จะหลบลงมาอยู่ใน โลกมนุษย์แต่ก็มาอยู่ได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องกลับมายังที่ เดิม น่าสังเกตว่า ที่ร้อนเหล่านี้ ไม่มีผู้คุมแต่วิญญาณที่อยู่นั้น ก็ไม่อาจเล็ดลอดออกไป ได้วิญญาณที่ร้อนบางวิญญาณ ก็มีโอกาสเล่าความเป็นมาของตนให้ไพศาลฟัง และ ขอร้องให้บอกลูกหลาน ญาติพี่น้องให้ช่วยเหลือ โดยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้าง ครูบาคัณธาชี้แจงว่า
ในที่ร้อนมากนั้นวิญญาณเหล่านั้น ไม่อาจรับกุศลและบุญที่บรรดา มนุษย์อุทิศให้ได้ต้องใช้กรรมให้หมดก่อนถึงจะพ้นจากที่ร้อนและจะได้ให้รับผลบุญ ที่ญาติพี่น้องอุทิศ ให้ภายหลัง
ทำอย่างไรจึงจะได้รับการนิมิตจากคุณไพศาล?
ปัจจุบันได้มีบุคคลเป็นจำนวนมาก ทุกสาขาอาชีพ อาทิ เช่น นายแพทย์ ตำรวจ ทหาร นายธนาคาร ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ นักวิทยาศาสตร์ ดารานักแสดง นักร้อง ตลอดจนชาวบ้าน ทั่ว ไป ทั้งในจังหวัดลำพูนและต่างจังหวัดได้เดินทางมาพบ กับคุณไพศาล แสนไชย กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มบุคคลที่คุณไพศาลได้นิมิตถึง
เป็นกลุ่มบุคคลที่คุณไพศาล ได้เขียนจดหมายหรือส่งข่าวไปบอกและมีความ สงสัยสนใจอยากจะรู้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวที่ตนได้รับจากการนิมิต ของคุณไพศาล
2. กลุ่มบุคคลที่มาเยี่ยมเยือนและมาช่วยเหลืองาน
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่คยได้รับการนิมิตจากคุณไพศาลหรือมาศึกษาเกี่ยว
กับเรื่องนิมิตของคุณไพศาล และเมื่อได้มาสัมผัส มาพูดคุย มาเห็นความจริงว่าสิ่งที่
คุณไพศาล นิมิตไปนับหมื่นๆ รายทั่วประเทศ มีจดหมายทั้งตอบทั้งรับนั้นเป็นความ
15
จริงเพียงใด ความสงสัยความคลางแคลงใจที่เคยมีในจิตใจของเขาเหล่านั้น ก็หายไป เหลือแต่ความยินดี หรือความดีใจ อัศจรรย์ใจอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน และเมื่อมี เวลาว่างหรือเสร็จจากธุระการงานเมื่อใดก็ได้สละเวลาผลัดเปลี่ยนกัน มาเยี่ยมเยือน และช่วยเหลืองานกันเป็นประจำโดยเฉพาะในวันเสาร์และวันอาทิตย์
3. กลุ่มบุคคลที่มาขอให้คุณไพศาลช่วยนิมิตให้
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความทุกข์ทางโลก คือทุกข์ทางกายและจิตใจ กลุ่มบุคคลประเภทนี้จะมีปัญหาที่แตกต่างกันไป มีทั้งปัญหาทางด้านครอบครัว, ด้านการงาน, ด้านความรัก หรือความเจ็บป่วยต่างๆ อาทิ เช่น ลูกไม่อยู่ในโอวาท สามีไปมีเมียน้อย อยากมีสามีใหม่ อยากร่ำรวย อยากเลื่อนตำแหน่ง ขายที่ดินไม่ได้ ถูกโกงบ้าง ดอกเบี้ยกู้เขามาส่งดอกไม่ทันบ้าง
คนนั้นป่วย คนนี้เจ็บ ขอให้คุณไพศาล ช่วยนิมิตให้ด้วย บางคนก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไรมากนักแต่อยากรู้อดีตชาติ และบุพกรรม หนักไปถึงขนาดกลุ่มคนที่มีปัญหาหัวใจเช่น คนหนุ่มสาวที่มีความรัก แต่พ่อแม่กีดกันก็มาขอสาบานความรักที่คุณไพศาล บางคนแต่งงานไม่มีลูกก็มา ขอลูกจากคุณไพศาล
ซึ่งประเด็นหลังนี้คุณไพศาลต้องตอบปฏิเสธไป เพราะไม่สามารถจะดลบันดาลให้เขามีลูกอย่างใจนึกได้ กลุ่มบุคคลที่มาขอให้ คุณไพศาลช่วยนิมิตนี้ยังรวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่ได้ส่งจดหมายมาอีกเป็นจำนวน มากมาย ปัจจุบันถ้าจะนับก็เป็นพันกว่าฉบับ ดังนั้นภาระกิจที่คุณไพศาลได้รับ ในทุกๆ วันนี้จึงหนักมาก และคุณไพศาลก็ไม่มีสำนักงานหรือพนักงานที่จะมาช่วย ทำหน้าที่เหล่านี้ ก็คงอาศัยแต่ศรัทธาของญาติธรรมทั้งหลายที่ได้สละเวลา
มาช่วยเหลืองานเท่านั้นเอง
กลุ่มบุคคลต่าง ๆ ดังได้กล่าวมานั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาประวัติของ คุณไพศาลมาก่อน แต่จะได้รับรู้รับฟังจากคำบอกเล่าเสียมากกว่า จึงทำให้คิด ว่าคุณไพศาลเป็นหมอดูบ้าง เป็นร่างทรงบ้าง หรือเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์ หยั่งรู้ดินฟ้า อากาศ แท้จริงแล้วคุณไพศาลไม่ได้มีคุณสมบัติอย่างที่คนอื่นเข้าใจกัน เขาเป็นเพียง ชาวบ้านเดินดิน กินข้าวแกง ถือศีล 5 ธรรมดาๆ นี่แหละ (บางครั้งก็น้อยกว่า) รู้ทุกข์ รู้สึกร้อนหนาว เมื่อถูกด่าก็ร้อนใจ เมื่อถูกชมก็ดีใจเป็นธรรมดาที่มีอยู่ในปุถุชน คนสามัญ
16
อย่างไรก็ตามกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ที่ได้มาขอให้คุณไพศาลช่วยนิมิตให้ไม่ว่า จะเดินทางมาที่บ้านหรือส่งจดหมายมาก็ตาม มักจะได้รับคำตอบจากคุณไพศาล เหมือน ๆ กันดังข้อความต่อไปนี้
“ผมต้องขอโทษด้วย ที่ไม่สามารถบอกเล่าบุพกรรมต่างๆ ของคุณให้ทราบได้ เพราะการที่ผมจะเล่าให้ใครได้นั้น ผมต้องนิมิตก่อน ส่วนการจะนิมิตให้ใครบ้างนั้น
ผมกำหนดเองไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเบื้องบนและกุศลผลบุญของผู้ถูกนิมิต ที่ได้กระทำไว้เท่านั้น ถ้าคุณอยากให้ผมนิมิตให้ก็ขอให้หมั่นสร้างสมความดีโดยการ ทำบุญทำทานและรักษาศีล ภาวนาไปเรื่อย ๆ ผมมีนิมิตถึงเมื่อไหร่ ผมจะแจ้ง มาให้คุณทราบทันที หวังว่าคงเข้าใจนะครับ” (ปล. การทำบุญจะมากหรือน้อย ไม่สำคัญ สำคัญที่ตั้งใจ และมีศรัทธาและขอให้พยายามทำบ่อย ๆ หรือตามแต่ โอกาสจะอำนวย)
จากข้อความดังกล่าวข้างต้น ทำให้บุคคลบางท่านถึงกับผิดหวัง บางท่านก็คิด ในใจว่าคงเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะถ้าเป็นจริงคงจะต้องนิมิตให้ได้ทันที แต่บางท่าน กลับเข้าใจและเห็นใจคุณไพศาลที่ต้องทำงานหนัก เพราะนิมิต (ฝัน) คืนหนึ่ง ประมาณ 4-5 ราย แต่คนมาขอให้นิมิตวันหนึ่งๆ ประมาณ 10-20 ราย
ยิ่งนานวัน เข้าก็กลายเป็นหลายร้อยหลายพันราย บางท่านมาจ้างคุณไพศาลให้นิมิตเป็นเงิน หลายหมื่นหลายพันบาท (มีเศรษฐีท่านหนึ่งมาจ้างคุณไพศาลให้นิมิตเป็นเงิน หนึ่งล้านบาท) แต่คุณไพศาลก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้เขาสมความปรารถนาได้ บางท่านมาช่วยเหลืองานคุณไพศาลเป็นประจำก็ยังไม่ได้รับการนิมิตเลย แต่บุคคล
ดังกล่าวก็มาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ โดยไม่ได้หวังว่า คุณไพศาลจะนิมิตให้หรือไม่
ทำไมจึงต้องขึ้นอยู่กับเบื้องบน (โลกทิพย์) ?
วัตถุประสงค์ที่สำคัญของโลกทิพย์ประการหนึ่งก็คือ ต้องการช่วยเหลือ
เหล่าวิญญาณที่กำลังได้รับความทุกข์ทรมาน คือตกอยู่ในอบายภูมิหรือที่ร้อน อันเนื่อง
มาจากในขณะที่เป็นมนุษย์นั้นได้ถูกโลกามิสหรือกิเลสครอบงำทำให้ไม่ค่อยได้มี
โอกาสทำบุญทำทาน เพราะมีหน้าที่การงานรัดตัว หลงยศหลงตำแหน่ง ไม่สนใจ
ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ กรรมเวร การเวียนว่ายตายเกิด เห็นว่าเป็นสิ่งเหลวไหล
17
ไร้สาระ วิญญาณเหล่านี้ต่างก็รอคอยคณะของคุณไพศาล (อันประกอบด้วย ครูบาคัณ ธา ท่าพญาพิงคราช และคุณไพศาล) เพื่อต้องการบอกข่าวคราวไปยังญาติ พี่น้อง ที่ มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ให้ช่วยเหลือ โดยการทำบุญตามที่วิญญาณเหล่านั้น ต้องการ เพื่อ จะได้พ้นจากอบายภูมิหรือที่ร้อน
นอกจากนี้ยังมีวิญญาณของผู้เฝ้า กองบุญกองกุศล อีกเป็นจำนวนมากที่ต่างก็รอคอยคณะของคุณไพศาล เพื่อนำข่าวคราวไปบอกกล่าว แก่เจ้าของส่วนบุญในโลกมนุษย์ ซึ่งกำลังจะได้รับอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต วิญญาณต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมานั้นต่างก็ได้รับการจัดลำดับตามความจำเป็นจากโลกทิพย์ไว้แล้ว
ดังนั้นคุณไพศาลจึงไม่สามารถที่จะนิมิต (ฝัน) ตามความต้องการของตนเอง และผู้อื่นได้ แต่จะต้องเป็นไปตามที่เบื้องบนได้กำหนดมา โดยครูบาคัณธา และท่าน พญาพิงคราชจะเป็นผู้นำพา กายทิพย์ของคุณไพศาลไปพบกับวิญญาณต่าง ๆ เหล่า นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังแห่งความเมตตากรุณาของครูบาคัณธา คัณธาโร ท่านพญา พิงคราช และคุณไพศาล ทางโลกทิพย์จึงได้เปิดโอกาสให้มีการนิมิต ( (ฝัน) เป็นกรณีพิเศษขึ้น เพื่อต้องการช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน โดยให้นิมิตเฉพาะวันสำคัญทางพุทธศาสนาหรือวันพระเท่านั้น ส่วนบุคคที่ได้รับ การนิมิตเป็นกรณีพิเศษนั้นอย่างน้อยจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการพิจารณา (นิมิต) เป็นกรณีพิเศษ
1. เป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องด่วน ในกรณีเช่นนี้บุคคลผู้นั้นหรือญาติพี่น้อง อาจจะได้รับอุบัติเหตุอย่างกะทันหัน, ป่วยหนัก, ป่วยมานานรักษาไม่หาย, ครอบครัว มีปัญหาอย่างรุนแรง หรือธุรกิจกำลังจะล้มละลาย เป็นต้น
2. มีศรัทธา มีความเลื่อมใสศรัทธาในคุณพระศรีรัตนตรัย เชื่อในคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้า มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็น
ของ ๆ ตน ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว โลกนี้มีจริง โลกหน้ามีจริง บุญบาปมีจริง นรกสวรรค์
มีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง มรรค ผล นิพพานมีจริง อย่างนี้เป็นต้น
3. มีความประพฤติที่ถูกต้อง มีความประพฤติที่ดี มีศีลธรรมชอบทำบุญ
ทำทานชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย หรือได้ปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ
18
โดยเฉพาะการไหว้พระสวดมนต์นี้คุณไพศาลจะเน้นมากและจะถามอยู่เสมอ เพราะ บางท่านมาขอให้คุณไพศาลช่วยนิมิตแต่ยังไหว้พระสวดมนต์ไม่เป็นเลยก็มี
4. มีความจริงใจ เป็นผู้ที่มีสัจจะ มีความรู้สึกสำนึกผิด คิดกลับใจที่จะทำความ ดีให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และอธิษฐานจิต ด้วย ความจริงใจต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง (โดยเฉพาะพระพุทธรูปพระเจ้าตาเขียว วัดบ้านเหล่า ต.บ้านเรือน อ.ป่าซาง จ.ลำพูน)
บุคคลท่านใดที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมานี้ข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งหมดก็มีโอกาส ที่จะได้รับการช่วยเหลือ หรือได้รับการนิมิตจากคุณไพศาล ส่วนใครจะได้รับ การนิมิตก่อนหรือหลังเร็วหรือช้านั้นก็ขึ้นอยู่กับกุศลผลบุญของผู้นั้นอีกทีหนึ่ง
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายที่มาขอให้คุณไพศาลช่วยนิมิตให้นั้น จงหมั่น สร้างสมความดี ทำบุญทำทาน รักษาศีล ภาวนาอยู่เสมอ โดยเฉพาะการทำบุญ กับพระสุปฏิปัณโณ (สามารถสอบถามได้จากคุณไพศาล) และการทำความดีนั้นไม่ใช่ ทำเพียงแค่วันสองวันเท่านั้น หากแต่จะต้องทำไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การปฏิบัติได้เช่นนี้แม้เทพเทวดาก็ยังอนุโมทนาด้วย และถึงแม้ว่าโชคชะตาถึงคราว เคราะห์ก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ที่เบาก็จะถูกอำนาจแห่งบุญกุศลบดบังเสีย นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดสิริมงคลขึ้นกับตนเองและครอบครัวอีกด้วยนะครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม
นิมิต (ฝัน) เป็นคำกลางๆ ที่ใช้พูดกันเพื่อให้เข้าใจง่าย มักจะพูดกันในกลุ่ม ของชาวบ้านหรือบุคคลทั่วๆ ไป แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมหรือผู้ที่ศึกษาในเรื่อง ของจิตวิญญาณแล้ว จะทราบดีว่าไม่ใช่เป็นความฝันแต่เป็นการแยกกายอีกกายหนึ่ง ออกจากกายเนื้อ (ถอดกายทิพย์) ซึ่งในเรื่องนี้คุณไพศาลเองก็ไม่สามารถพูดได้ เพราะ
จะเป็นการไม่ดีต่อตัวคุณไพศาล ดังนั้นผู้ที่สนใจศึกษาควรจะพิจารณากันเอาเอง
อย่างไรก็ตาม การถอดกายทิพย์ในกรณีของคุณไพศาลนี้ ไม่ใช่เกิดขึ้นจาก
การปฏิบัติธรรมในชาตินี้แต่อย่างไร แต่เป็นไปตามอำนาจแห่งโลกทิพย์ (อำนาจ
ของเทพเทวา ผู้ที่มีหน้าที่ในโลกวิญญาณดลบันดาลให้เกิดขึ้น) รวมทั้งอำนาจ
19กุศลกรรม (บารมี) ที่คุณไพศาลได้เคยปฏิบัติมาแล้วในอดีตชาติ หลายชาติ บันดาล ให้เป็นไปและเกิดขึ้น
บุรุษไปรษณีย์ระหว่างมิติหรือบุรุษไปรษณีย์แห่งโลกทิพย์ เป็นสมญาที่ได้รับ จากญาติธรรม เป็นชื่อเรียกตามลักษณะของการทำงาน คือ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ในการจดจำข่าวสารจากโลกวิญญาณ แล้วนำเอาข่าวสารข้อมูลที่ได้รับรู้รับทราบจาก โลกวิญญาณมาแจ้ง(ทางจดหมาย) ให้ผู้ที่ถูกระบุชื่อว่าเป็นผู้รับข่าวสารนั้น ๆ ในโลกมนุษย์
ทูตแห่งสวรรค์ เป็นสมญาที่ได้รับจากท่านพระครูปัญญาธรรมวัฒน์ วัดสันป่ายางหลวง อ.เมือง จ.ลำพูน เพราะเป็นผู้ที่บอกทางสวรรค์ให้กับมนุษย์ คือให้ละความชั่ว ทำแต่ความดี และให้มีความดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงพระนิพพาน เป็นที่สุด
ล่ามเมืองมนุษย์ เป็นสมญาที่ได้รับจากครูบาอาจารย์ (พระสงฆ์) ในแดนทิพย์แดนธรรม และนามนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิญญาณ
ถามผู้ไม่มีเบี้ยจ่าย เป็นสมญาที่ได้รับจากครูบาคัณธา คัณธาโล หมายถึง บุคคลที่ทำงานโดยไม่มีเงินเดือนรองรับและไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ จาก ผู้ที่เขาได้ช่วยเหลือ
สำหรับข้อความข้างต้นเป็นข้อความเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเรื่องนิมิตพิศวงโดยอาจารย์ไพศาลแสนชัยที่ผู้เขียนได้คัดลอกบทความมาไว้ในนี้หากผู้ใดสนใจและอยากอ่านต่อขอหัวใจคนละดวงและ comment ไว้ได้ผู้เขียนจะนำบทความในตอนถัดไปในหนังสือนิมิตรพิศวงของอาจารย์ไพศาลแสนชัยมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อไปค่ะ
โฆษณา