30 ธ.ค. 2023 เวลา 18:03 • ไลฟ์สไตล์

”สุขนิยม“ การแบ่งปันความสุข ยิ่งให้ไปยิ่งได้กลับมา

ความสุขเป็นสิ่งที่เราๆทุกท่าน
ต่างตามหาและอยากจะให้มันอยู่กับเราไปนานๆ
การที่เราจะทำตัวเองให้เป็นคนที่มีความสุขนั้น
ต้องใช้พลังงานมากๆ เลยทีเดียว
โดยเฉพาะมือใหม่นัก ”สุขนิยม“อย่างเรา
แต่ทุกครั้งที่เรามีความสุข
เมื่อเราไปเจอกับเพื่อนที่มีความทุกข์ใจ
เรารับฟังเรื่องราวของเขา
ให้เขาได้ระบายความทุกข์ใจ
ก็ทำให้เขาได้สบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง
และเราเติมพลังบวก และพลังแห่งความสุขให้กับเขา
จะทำให้เขาสามารถเลิกกังวลและมีพลังในการแก้ปัญหาได้
อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อและเราเองได้ทดลองมาแล้ว
จะขออนุญาตนำเรื่องราวที่เรา
ได้คุยกับเพื่อนๆที่มีความทุกข์ใจ
มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่านกันนะคะ
ครั้งหนึ่งที่เราไปกลับไปหาเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานเก่า
หลังจากที่พูดคุยกัน 2-3 ชัวโมงก็จะเป็นเวลาที่จะแยกย้ายกัน
สักครู่ก็มีเสียงโทรศัพท์มาจากเพื่อนที่ทำงานอีกคนหนึ่ง
โทรมาหาเพื่อนรุ่นพี่ด้วยเสียงที่เศร้ามาก
และได้ยินเสียงร้องไห้ออกมาตามสาย
เราจึงคิดว่าน่าจะต้องแยกตัวกลับแล้ว
เพราะอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาอยากจะคุยกัน
จึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนจะกลับ
เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เพื่อนที่โทรมาก็ได้มานั่งคุยกับรุ่นพี่
ที่โต๊ะที่เราวางกระเป๋าไว้ จึงเดินมานั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น
เพื่อนรุ่นพี่จึงโยงกลับมาให้เรา
ว่าสิ่งที่เพื่อนคนนั้นกำลังเผชิญอยู่นั้น
เราได้ผ่านมันมาแล้ว เลยอยากจะให้เราแชร์ประสบการณ์
เราสอบถามกับเพื่อนคนนั้นสองสามคำถาม
คืออะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ
เรื่องมีอยู่ว่า หัวหน้างานคนใหม่ไม่พอใจในการทำงาน
และกดดันให้เพื่อนคนนั้น ไม่สามารถทำงานได้
ในแบบของตัวเอง เพราะเกร็งจากการถูกจับผิด
ซึ่งเราเคยร่วมงานกับคนนี้มาก่อนเราบอกเขาได้เลยว่า
สิ่งที่หัวหน้าคนใหม่พูดนั้น ไม่จริงเลย
เพราะเรารู้ว่าเพื่อนคนนี้ทำงานที่เขาทำได้
เราจึงบอกกับเพื่อนคนนั้นว่า มันไร้สาระ
“อย่าเอาคำพูดของคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรามาบั่นทอนตัวเอง”
เรารู้ดีที่สุดว่าเราเป็นยังไง
แน่นอนว่าการที่โดนจ้องจับผิดตลอดเวลา
จะต้องมีสักครั้งแน่นอนที่ผิดพลาด
“สิ่งที่สำคัญคือเราจะต้องแข็งแรงจากภายใน”
เมื่อเราแข็งแรง จากภายในใจ
คำพูดที่มันไร้สาระก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้
อย่าไปกลัวการเปลี่ยนแปลง
“เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง ประตูอีกบานจะเปิดขึ้นเสมอ”
และประตูบานใหม่นั้นอาจจะมีพระอาทิตย์
ทุ่งลาเวนเดอร์สายรุ้งและยูนิคอร์นรออยู่ก็เป็นได้
และการที่เรารู้จักเพื่อนคนนั้น และศักยภาพของเขา
เราสามารถยืนยันได้เลยว่า แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานที่นี้
แต่ยังมีที่อื่นที่เขาเปิดรับอยู่มากมาย
อยู่ที่ตัวเราว่าเราอยากจะเลือกทางไหน
อยากจะทำงานให้คนอื่นต่อหรือจะอยากจะทำงานเพื่อตัวเอง
ซึ่งเป็นทางเลือกที่สามารถเป็นไปได้ทั้งคู่
สิ่งที่เราแนะนำเพื้อนคนนั้นไปคือ
หาเวลาว่างให้ตัวเองได้มีเวลาที่ได้คิดทบทวนกับตัวเอง
ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา
อะไรที่เราต้องการในชีวิต
อะไรที่เราอยากจะให้ชีวิตอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเป็นไป
เราใช้ชีวิตกับการทำงานมาจนไม่มีเวลาที่จะหยุดคิด
ว่าชีวิตของเราต้องการอะไรกันแน่
หากเราให้เวลากับตัวเองสักหน่อย
ทำจิตใจให้นิ่ง มีความสุข หัวสมองว่างปล่าว
และนั่งทบทวนกับตัวเอง นั่งถามตัวเอง
อะไรคือข้อดีข้อเสียของตัวเอง
อะไรคือศักยภาพของเรา
เมื่อคนอื่นมองมาที่เรา
หรือเมื่อเรามองมาที่ตัวเองเราจะเห็นอะไร
อะไรคือสิ่งที่เราต้องการจะเป็น
อะไรคือสิ่งที่เราต้องศึกษาเพิ่มเติม
เพื้อให้เราไปสู่เป้าหมายที่เราอยากจะเป็นในอนาคต
หลังจากที่เราได้พูดสิ่งที่เป็นคำถามที่เราเอามาถามตัวเองเช่นกัน
ทำให้เพื่อนคนนั้น หยุดร้องไห้ ฟังสิ่งที่เราพูดจริงๆ
และเอ่ยออกมาว่า
“โอเคสบายใจขึ้นแล้ว รู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง
เดี๋ยวขอกลับไปตัดสินใจอีกนิดหนึ่งว่าจะทำยังไงต่อไป”
อาจจะด้วยความที่เราต่างโตๆกันแล้ว
สภาวะทางอารมณ์จึงควบคุมได้ง่าย
แต่ก็ทำให้เพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้วยกันงงไปตามๆกันว่า
ทำไมmove on ได้เร็วจัง
อาจจะมองว่าอวยตัวเองสักหน่อยแต่เราก็เข้าใจว่า
เป็นเพราะพลังบวกที่เราส่งต่อให้เพื่อนคนนั้น
และชี้ช่องทางที่เราจะเดินไปข้างหน้า
สิ่งที่ไร้สาระ ก็ไม่ต้องไปสนใจ
ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่า
“ความสุขเป็นสิ่งที่แบ่งปันกันได้”
และ
“ความสุขนั้นเหมือนแสงเทียน ยิ่งส่งต่อยิ่งสว่าง”
โฆษณา