7 ม.ค. เวลา 03:00 • การตลาด

สรุป Marketing 6.0 ในโพสต์เดียว การตลาดยุคถัดไป จะเป็นอย่างไร ? เรื่องที่นักการตลาดต้องรู้..

Marketing 1.0 เป็นยุคที่ทุกคนแข่งกันผลิตสินค้าให้ได้ “มากที่สุด”
เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ “ถูกที่สุด” พูดง่าย ๆ คือ ใครขายของได้ถูกสุดชนะ
1
Marketing 2.0 หลายธุรกิจเริ่มอยากสร้างความแตกต่าง
เกิดเป็นการผลิตสินค้าที่มี สี, รสชาติ และขนาดที่ต่างกันมากขึ้น
Marketing 3.0 เริ่มมีการทำ “แบรนด์” เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า
และเริ่มมีการแบ่งกลุ่มผู้บริโภค (Market Segmentation) กันตั้งแต่ตอนนั้น
1
Marketing 4.0 “โซเชียลมีเดีย” สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง
Digital Marketing จึงเกิดขึ้นมา และสร้างอาชีพใหม่ ๆ อย่าง Influencer, KOL
4
Marketing 5.0 หลายแบรนด์ฟาดฟันกันด้วยการเอา “Data”
ที่มีค่าไม่ต่างจากทองคำ มาแข่งกันพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจลูกค้าที่สุด
1
จากที่ว่ามา เป็นวิวัฒนาการของการตลาด ที่หลายแบรนด์พยายามจะปรับเปลี่ยนไปตาม “พฤติกรรมและเทคโนโลยี” ของแต่ละยุคสมัย เพื่อให้ขายของได้อยู่ตลอดเวลา
คำถามคือ ในยุคนี้ที่ AI สามารถทำงานได้ดีไม่แพ้มนุษย์ เผลอ ๆ เหนือกว่าด้วยซ้ำในบางแง่มุม
แถมพฤติกรรมของคนยังเปลี่ยนไปอย่างมาก
แล้วการตลาดในยุคถัดไป หรือ Marketing 6.0 จะมีหน้าตาประมาณไหน ?
บทความนี้ MarketThink ขออาสานำบางส่วนของหนังสือ Marketing 6.0
ที่ Philip Kotler บิดาแห่งการตลาดสมัยใหม่ เป็นคนเขียน มาสรุปให้แบบเข้าใจง่าย ๆ
- Kotler มองว่า การทำตลาดแบบ Immersive และการทำตลาดบน Metaverse
จะเป็นการตลาดในยุคถัดไป
1
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะต่อจากนี้ คนที่มีกำลังซื้อมากที่สุด จะเป็นคน Gen Z และ Gen Alpha
หมายความว่านี่เป็นกลุ่มที่หลายแบรนด์ จะมองข้ามไปไม่ได้แล้วหลังจากนี้
โดยคนกลุ่มนี้มีความพิเศษคือ โตมากับ Social Media ที่ไม่ใช่แค่โพสต์รูปหรือวิดีโอได้อย่างเดียว
แต่เป็นการ “ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น” คล้ายกับโลกในเกม Roblox ที่เด็กสมัยนี้ติดกันงอมแงม
ซึ่งดูไปก็คล้ายคอนเซปต์ของโลก Metaverse อยู่เหมือนกัน
1
จากที่ว่ามาทำให้ Customer Journey ในยุคถัดไป จึงจำเป็นต้องให้ประสบการณ์ทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์ ที่หลายคนชอบใช้คำว่า O2O หรือ Offline-to-Online ให้เนียนที่สุด
1
เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เรียกว่า “Immersive” ซึ่งก็คือการใช้เทคโนโลยีโลกเสมือน มาช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น
1
ขอขยายความคำว่า Immersive ก็คือ การนำเทคโนโลยีในยุคใหม่ ๆ
เช่น เทคโนโลยี AR, VR, เครื่องมือเชิงโต้ตอบอื่น ๆ อย่างแช็ตบอต หรืออื่น ๆ มารวมกัน เพื่อผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
3
ซึ่งที่ผ่านมา หลายแบรนด์ก็เริ่มมีการทำการตลาดแบบนี้ ให้เห็นกันจริง ๆ แล้ว
1
- IKEA เคยทำแอปพลิเคชัน โดยใช้เทคโนโลยี AR จำลองนำเฟอร์นิเจอร์มาใส่ไว้ในห้องของลูกค้า เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ
- Walmart มีการใช้ AR มาช่วยให้พนักงานเติมสินค้าให้เร็วขึ้น เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
- หน้าร้านยุคใหม่ ที่ไม่ต้องมีพนักงานแล้ว แค่ลูกค้าเดินเข้าไปแล้วหยิบของออกมา ก็สามารถหักเงินออกจากบัญชีได้เลย
แถมก็มีผลสำรวจที่น่าสนใจว่า การทำ Immersive Marketing
สามารถสร้างการรับรู้, การมีส่วนร่วม หรือแม้แต่เพิ่ม Brand Loyalty ได้จริง ๆ
นอกจากนี้ Nielsen ยังพบว่า การโฆษณาผ่าน VR สามารถเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้มากถึง 8 เท่า เลยทีเดียว
2
ทีนี้ในฐานะนักการตลาด ถ้าอยากสร้างประสบการณ์แบบ Immersive ให้ลูกค้าบ้าง จะต้องทำอย่างไร และมีเครื่องมืออะไรบ้าง ?
Kotler ได้ให้ Framework สำหรับการทำตลาดในยุค 6.0 เอาไว้ 3 ระดับ ดังนี้..
1. The Enabler เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ Kotler มองว่าธุรกิจต้องมี เพื่อแข่งขันในยุค 6.0
1
- IoT (Internet of Things) ใช้ในการเก็บ Data ของลูกค้า
- AI เพื่อประมวลผลข้อมูลในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด
- Spatial Computing คอมพิวเตอร์ที่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ เช่น Apple Vision Pro ใช้เพื่อเชื่อมโลกออฟไลน์กับออนไลน์ ไว้ด้วยกัน
- AR และ VR ใช้สร้างประสบการณ์เสมือนจริง
- Blockchain ใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการซื้อขาย
2. The Environment สภาพแวดล้อมที่แบรนด์ควรสร้างให้ลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์แบบ Immersive
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ
2.1 Extended Reality เป็นการเชื่อมโยงโลกจริงกับโลกออนไลน์ ไว้ด้วยกัน
- Seamless Transaction นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในขั้นตอนการชำระเงิน เช่น ร้าน Amazon Go ที่ให้ลูกค้าหยิบของออกไปได้เลย และจะคิดเงินเมื่อเดินผ่านเซนเซอร์
- Contextual Recommendations แบรนด์ต้องนำเสนอการตลาดที่เข้ากับบริบทของลูกค้า ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ให้ได้ เช่น ตู้ขายสินค้า ที่จะแนะนำเมนูให้เหมาะกับสภาพอากาศ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ
1
- Interactive Engagement ต้องมีกิจกรรมให้ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ได้ เช่น กิจกรรมสะสมแต้มที่จะมีภารกิจให้ลูกค้าทำ
- Augmented Discoveries ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
เช่น การนำ AR มาใช้กับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ให้ลูกค้าสามารถลองดูก่อนได้ว่า สินค้าจะเหมาะกับห้องตัวเองไหม ก่อนจะตัดสินใจซื้อ
- Pre and Post-Experiences แบรนด์ต้องพยายามรักษาการมีส่วนร่วมของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
2.2 Metaverse โลกเสมือนที่แบรนด์ต้องมี เพราะอีกหน่อยผู้คนจะใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
ซึ่งองค์ประกอบของ Metaverse ในมุมมองของ Kotler ก็คือ
1
- Virtual Assets สินทรัพย์เสมือน คล้ายการซื้อขายที่ดินใน The Sandbox
- Avatars ร่างอวทาร์ เปรียบเป็นตัวตนของลูกค้าในโลกเสมือน
- User Experience บน Metaverse ควรให้ประสบการณ์คล้ายอยู่บนโลกจริงให้ได้มากที่สุด
- Creator Economy ระบบเศรษฐกิจบน Metaverse
- Governance ต้องมีผู้คุมกฎระเบียบ บนโลกเสมือนด้วย
3. The Experience รูปแบบการตลาดที่ Kotler มองว่าจะเกิดขึ้นในยุค 6.0
- Metaverse Marketing การที่แบรนด์ทำการตลาดบนโลก Metaverse ควบคู่ไปกับโลกจริง
เช่น Adidas ขายเสื้อผ้าบน Metaverse และคนซื้อ ก็จะได้สินค้าจริง ๆ บนโลกด้วย
- Spatial Marketing การที่แบรนด์แทรกโลกเสมือนเข้าไปบนโลกจริง
เช่น Ally Bank ธนาคารจากสหรัฐอเมริกา เคยทำแคมเปญเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นเกมเศรษฐี
ผ่านเทคโนโลยี AR ที่จะซ่อนอยู่ตามจุดสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ของเมือง เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์
- Contextual Marketing การเสนอสินค้าที่ตรงกับบริบท ณ ตอนนั้นของลูกค้าให้ได้มากที่สุด
เช่น McDonald’s มีการเปลี่ยนภาพเมนูภายในร้าน ตามสภาพอากาศ
3
- Multisensory Marketing การทำการตลาดผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ภาพ เสียง
รส กลิ่น และสัมผัส
1
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ที่พูดมานั้นน่าจะดูไกลตัว และเป็นจริงได้ยากสักหน่อย
โดยเฉพาะกำแพงในเรื่องของ “ต้นทุน” ที่ค่อนข้างสูง
ทำให้แบรนด์เล็ก ๆ หรือธุรกิจ SME อาจยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีล้ำ ๆ ในตอนนี้
แถมประเด็นเรื่อง Metaverse ก็ยังเป็นอะไรที่คลุมเครือ
และไม่มีทีท่าว่า จะเกิดขึ้นจริงเร็ว ๆ นี้ เหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยแนวโน้มต่าง ๆ ที่เราเห็นในวันนี้
เช่น อุปกรณ์ IoT ที่ถูกลงเรื่อย ๆ แถมยังมี AI ที่เก่งแบบทวีคูณขึ้นทุกวัน
ก็น่าจะบอกเป็นนัย ๆ แล้วว่า การตลาดยุคถัดไป จะมีหน้าตาประมาณไหน
และที่เราทำได้ ก็น่าจะเป็นการเตรียมตัวและปรับตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เพื่อเข้าสู่ยุค Marketing 6.0..
โฆษณา