Rosé (โรเซ่) คำฮิตติดหูที่หลาย ๆ คนมักจะใช้เรียกเครื่องดื่มสีชมพูนั้นมีที่มาจากไหนกันนะ
Rosé (โรเซ่) คำฮิตติดหูที่หลาย ๆ คนมักจะใช้เรียกเครื่องดื่มสีชมพูนั้นมีที่มาจากไหนกันนะ วันนี้ริมปิงจะพามาส่องโลกของเครื่องดื่มสีชมพู ต้อนรับเดือนแห่งความรักนี้กันค่ะ
The colorful history of Rosé
Rosé เป็นคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศส อ่านออกเสียงว่า โรเซ่ ซึ่งไม่ได้หมายถึงดอกกุหลาบอย่างที่หลายคนเข้าใจ เนื่องจากคำว่า “Rosé” (โรเซ่) นั้นคล้ายกับคำว่า “Rose” (โรส) ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าดอกกุหลาบ หลายคนจึงเข้าใจกันว่าเครื่องดื่มสีชมพูที่เรียกกันว่า Rosé นั้นเป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากดอกกุหลาบ
จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ เพราะในภาษาฝรั่งเศสคำว่า Rosé แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “Pink” และแปลเป็นภาษาไทยว่า “สีชมพู” ดังนั้นเมื่อคำว่า Rosé ไม่ได้เจาะจงถึงเครื่องดื่มชนิดใดชนิดหนึ่ง ทุกวันนี้เครื่องดื่มหลายชนิดจึงนิยมนำคำว่า Rosé มาใช้ เพื่อสื่อถึงเครื่องดื่มที่มีสีชมพูนั่นเองค่ะ
The word rosé was originally used to refer to a type of wine
Rosé เดิมทีเป็นคำที่ใช้เรียกไวน์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นไวน์สีชมพูที่มีความเก่าแก่มาก ๆ ของชาวโพรวองซ์ (Provence) ในฝรั่งเศสตอนใต้ โดยคำว่าโรเซ่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้กันใน โปรตุเกส และอังกฤษ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่บริโภคไวน์ด้วย แต่ในสเปนและอิตาลีก็จะเรียกกันอีกแบบ โดยชาวสเปนจะเรียกว่า “Rosado” ส่วนชาวอิตาลีจะเรียกว่า “Rosato” ค่ะ
Rosé มีกระบวนการทำที่ก้ำกึ่งระหว่างไวน์แดง และไวน์ขาว แต่ไม่ได้นำไวน์แดงและไวน์ขาวมาผสมกันนะคะ เพียงแค่นำองุ่นแดงมาคั้นน้ำ กดอัด แยกเปลือกและเม็ดออกเหมือนกับไวน์แดง โดยหมักแค่ครั้งเดียว ใช้อุณหภูมิที่ไม่สูง ในเวลาที่ไม่นาน พอน้ำองุ่นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู แล้วจึงกรองเอาเปลือกออกโดยไม่ปล่อยให้น้ำเป็นสีแดงเข้มจนกลายเป็นไวน์แดง ดังนั้นสีชมพูของไวน์โรเซ่จะมีความเข้มหรืออ่อนแตกต่างกันไปตามระยะเวลาในการหมักเปลือกองุ่นค่ะ
นอกจากนี้การทำไวน์โรเซ่ยังมีอีกวิธีที่เรียกว่า “Saignée (แซงเย่)” แปลตรงตัวจะมีความหมายว่า เลือดออก ซึ่งวิธีการทำคือ แยกน้ำองุ่นที่เริ่มจะเป็นสีชมพูส่วนหนึ่งออกมาหลังจากที่หมักรวมอยู่กับเปลือกและเมล็ดองุ่นในช่วงต้น ๆ ของกระบวนการหมักประมาณ 2 ชม. ถึง 2 วัน นำมาหมักทำเป็นไวน์โรเซ่ ที่มีรสชาติเข้มข้นและสีชัดโดดเด่นกว่าไวน์โรเซ่อื่น ๆ โดยส่วนที่เหลือในถังแรกหมักเป็นไวน์แดงพร้อมเปลือกซึ่งจะได้ไวน์แดงที่เข้มข้นเช่นกันค่ะ
ด้วยความที่ฝรั่งเศสตอนใต้จะมีพื้นที่ติดกับทะเล ผู้คนจึงบริโภคอาหารทะเลกันเป็นประจำ ไวน์ที่มีรสชาติเบาและสดชื่นอย่างไวน์โรเซ่ จึงได้รับความนิยมทานไปพร้อมกับอาหารทะเล ซึ่งความนิยมนี้ได้ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น จึงทำให้โรเซ่กลายเป็นหนึ่งในไวน์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับหมู่บ้านโพรวองซ์ จนแพร่ขยายไปยังหลายประเทศ ดังนั้นการผลิต Rosé จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโพรวองซ์เท่านั้น แต่สามารถผลิตได้ทั่วโลก ตั้งแต่แคลิฟอร์เนีย อิตาลี สเปน ออสเตรเลีย อาร์เจนตินา และประเทศอื่น ๆ ทั้งในและนอกยุโรป
ในอดีตนั้น Rosé เคยถูกมองว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติเบาเกินไปในประเทศทางฝั่งอเมริกา บ้างก็มองว่าคล้ายเครื่องดื่มของเด็ก หรือยาของผู้สูงอายุ ทั้ง ๆ ที่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวฝรั่งเศสที่มักจะสั่งมาดื่มกันเป็นว่าเล่นในช่วงฤดูร้อน อาจเป็นเพราะช่วงแรก ๆ ทางฝั่งอเมริกาทำ Rosé ที่มีรสหวานเกินไปในชื่อ White Zinfandel
แต่ความคิดนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ปี 2013 ที่เหล่าคนดังบนอินสตาแกรมอย่าง จอช ออสโตฟสกี ( (@thefatjewish) ) เบบ วอล์กเกอร์ (@whitegrlproblem) และ แอนเจลินา โจลี (@angelinajolie) เริ่มมองว่าการถือแก้วไวน์สีชมพูเป็นการบอกสถานะว่าคนคนนั้นมี “ชีวิตที่ดี” ซึ่งแอนเจลินา โจลี และอดีตสามี แบรด พิตต์ ชื่นชอบมาก ถึงขั้นลงทุนซื้อไร่ไวน์และผลิตไวน์เป็นของตัวเอง ในเขตโพรวองซ์ ฝรั่งเศส ในชื่อ Miraval
ในเวลาต่อมา Rosé จึงกลายเป็นเครื่องดื่มฮอตฮิตประจำซัมเมอร์ของเมืองใหญ่ในอเมริกา คู่กับวลี #YesWayRosé ที่เห็นได้ตั้งแต่ปาร์ตี้พักร้อนสุดหรูบนเรือยอตช์ในแฮมป์ตัน ไปจนถึงงานคอนเสิร์ตเล็ก ๆ บนรูฟท็อปในบรูกลิน โดยชาวอเมริกันก็จะนิยมเรียกไวน์โรเซ่ว่า “blush wine”
เมื่อความหลงใหลในเครื่องดื่มสีชมพูมีเพิ่มมากขึ้น ในเวลาต่อมาคำว่า Rosé จึงไม่ได้จำกัดแค่ไวน์สีชมพูเพียงอย่างเดียว แต่แบรนด์เครื่องดื่มต่าง ๆ ก็เริ่มนำคำว่า Rosé มาใช้ด้วยเช่นกัน เช่น Hoegaarden Rosé, Rosé Lemonade และ Rosé champagne
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
