Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
15 ม.ค. 2024 เวลา 14:00 • กีฬา
วันนี้ของเสือมลายู : ทีมชาติมาเลเซีย กับการพัฒนาจนกลายเป็นชาติน่าจับตาของเอเชีย
นับแต่ที่ทีมชาติมาเลเซียคว้าโทรฟี่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือสมัยที่เรียกว่า เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในปี 2010 แน่นอนว่าความสำเร็จนี้ได้สร้างแรงผลักดันชั้นดีให้กับวงการลูกหนังทีมชาติ โดยเฉพาะการต่อยอดสู่เวทีลูกหนังที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต กระนั้น ทีมชาติมาเลเซียก็ยังไม่อาจก้าวไปยังโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายได้ แถมยังทำผลงานชนิดต่ำกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าแฟนบอลมาเลย์จะรู้สึกถึงอาการถอดใจไปเสียทีเดียว โดยเฉพาะช่วงหลังปี 2023 เรื่อยมา ทีมชาติมาเลเซียกลับมาทำให้คอลูกหนังในประเทศกลับมาเชียร์กีฬาแบบมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เก็บผลชนะได้จนชินตา เล่นฟุตบอลตื่นตาตื่นใจ มีคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามอง ฯลฯ จนเปรียบได้ดั่งความหวังใหม่ที่พร้อมจะทะยานสู่อนาคตชนิดดีที่สุดยุคหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ทีมชาติ
พวกเขาทำได้อย่างไร อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลบ้าง ร่วมวิเคราะห์และติดตามไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
จากทีมอันดับ 178 ของโลก
แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ (ชื่อในขณะนั้น) ปี 2010 คือโทรฟี่ระดับนานาชาติรายการล่าสุดที่ทีมชาติมาเลเซียเคยคว้าความสำเร็จเอาไว้
โดยหลังชัยชนะเหนือทีมชาติอินโดนีเซีย ด้วยสกอร์รวม 4-2 ในปีดังกล่าว ได้ปลุกพลังกายและใจของแฟนลูกหนังในชาติอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่านี่เป็นสัญญาณอันดีกับการพัฒนาทีมชาติไปสู่แนวทางที่เป็นในอนาคตด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วมาเลเซียก็ยังไม่อาจก้าวข้ามพาตัวเองไปสู่จุดที่ควรจะเป็นได้ มิหนำซ้ำ ผลงานของทีมเสือมลายูกลับอยู่ในสถานะ “ดิ่งลง” จนน่าตกใจ ดังตัวอย่างที่ปรากฏให้เห็นมากมาย
ในปี 2013 หรือสามปีหลังผงาดแชมป์แห่งอาเซียน พวกเขาเก็บชัยชนะในการแข่งขันรอบปีปฏิทิน ทั้งเกมทางการและไม่เป็นทางการรวมกันแค่สองเกม
จากนั้นอีกสองปี (2015) มาเลเซียเก็บผลการแข่งขันไม่สู้ดีสุด ๆ เมื่อบุกไปพ่ายต่อทีมชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี 0-10 ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก รอบสอง กลายเป็นสถิติแพ้คู่แข่งขาดลอยที่สุดตลอดกาลของมาเลเซีย ตามด้วยเกมบุกพ่ายทีมชาติปาเลสไตน์กระจุย 0-6
โดยรวมแล้ว มาเลย์ลงเตะเกมคัดเลือกฟุตบอลโลกปีดังกล่าวไป 8 นัด แต่เสียประตูคู่แข่งถึง 29 ลูก และยิงได้แค่ 7 ลูกเท่านั้น
วงการทีมชาติมาเลเซียยังคงซบเซาต่อเนื่อง ในปี 2017 พวกเขามีเกมลงเตะตามปีปฏิทิน 8 นัด ผลปรากฏว่าพวกเขาไม่อาจคว้าชัยชนะได้เลยแม้แต่เกมเดียว (เสมอ 2 แพ้ 6) นำมาซึ่งการดำดิ่งสู่อันดับโลกฟีฟ่า 178 ในปีต่อมา (2018) ซึ่งเป็นอันดับโลกที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติด้วย
ขณะที่เรื่องการบริหารจัดการภายในของสมาคมฟุตบอลมาเลเซียเองก็มีเรื่องให้ถูกพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ดังที่ตวนกู อิสมาอีล บิน อิบรอฮีม มกุฎราชกุมารแห่งรัฐยะโฮร์ เจ้าของทีมฟุตบอล ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม (JDT) เคยออกมาวิจารณ์แบบตรงไปตรงมาอย่างต่อเนื่อง ไล่มาตั้งแต่ช่วงที่เจ้าชายยะโฮร์เคยได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมฟุตบอลฯ ในปี 2017 และลาออกในปีถัดมา ด้วยเหตุผลที่ว่า
“ผมเป็นเหมือนกับเสือ และเสือไม่ทำงานกับลูกแกะ มันไม่สามารถเข้ากันได้”
คำวิจารณ์ของเจ้าของทีม JDT ที่มีต่อระบบการบริหารจัดการของสมาคมฟุตบอลมาเลย์ ยังคงปรากฏขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีให้หลัง ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานของสมาคมฯ ที่เชื่องช้า สื่อสารไม่ชัดเจน เช่นเดียวกับการแปลงสัญชาตินักเตะชนิดที่ไม่ได้พิจารณาโดยถี่ถ้วนมากพอ
“ทุกวันนี้การไปเล่นให้ทีมชาติไม่ได้เป็นภารกิจหรือหน้าที่อีกต่อไป มันเหมือนการไปพักร้อน ระบบต้องมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากนี้ จะไม่เสนอให้มีการแปลงสัญชาติได้ง่าย ๆ มันจะถูกควบคุมและวิเคราะห์โดยทีมงานเทคนิคทีมชาติ ว่านักเตะเหมาะกับสไตล์การเล่นของเราหรือไม่” เจ้าชายยะโฮร์ วิจารณ์การบริหารของสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย ในปี 2021
กระนั้น ใช่ว่ายุคสมัยของทีมชาติมาเลเซียจะมืดมนไปตลอด ที่สุดแล้วสปอตไลท์ก็เริ่มกลับมาฉายภาพพลพรรคลูกหนังแหลมมลายูให้กลับมาสว่างอีกครั้ง ในยุคของ คิม พัน-กอน
อีกทั้งกระบวนการสร้างหลาย ๆ อย่างมาประจวบเหมาะกันในยุคของกุนซือชาวเกาหลีใต้แบบพอดิบพอดีด้วย
กุนซือที่ใช่
คิม พัน-กอน เข้ามารับงานคุมทีมชาติมาเลเซียอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมกราคม 2022 ด้วยสัญญา 2 ปี พร้อมออปชั่นขยายต่อเพิ่มอีก 2 ปี โดยมีดีกรีเคยคุมทีมชาติฮ่องกงทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่มาแบบโชกโชน
หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของเฮดโค้ชแดนกิมจิผู้ฉมังในเรื่องการสร้างเกมบุก ก็คือการพาทีมชาติฮ่องกง รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ผงาดเหรียญทองในรายการอีสต์ เอเชี่ยน เกมส์ 2009 โดยนัดชิงชนะเลิศเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่นที่มีดาวดังอย่าง ยูยะ โอซาโกะ รวมถึงโยอิจิโร่ คาคิตานิ ซึ่งภายหลังทั้งสองคนมีดีกรีติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่
1
การเข้ามาของพัน-กอน เป้าหมายสูงสุดของเขาร่วมกับวงการลูกหนังมาเลย์ ก็คือการพาทีมชาติก้าวข้ามฟุตบอลอาเซียน ขึ้นไปต่อกรกับชาติอื่น ๆ ร่วมทวีปเอเชียแบบสูสีให้จงได้
“ผมทราบดีว่าเรา (ทีมชาติมาเลเซีย) ตั้งเป้าที่จะก้าวข้ามระดับจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปให้ได้ นี่คือเป้าหมายของทั้งทีมงานผม และตัวผมเอง กับก้าวมาที่นี่เพื่อพาทีมบรรลุเป้าหมาย ผมสัญญาว่าทั้งตัวผมเองรวมถึงทีมงานของผมจะทำเต็มที่เพื่อพามาเลเซียไปอีกระดับ ผมเชื่อว่ามาเลเซียมีศักยภาพที่ดีมาก”
และดูเหมือนว่าพัน-กอน จะนำแนวทางของตัวเองมาปรับใช้และพัฒนาทีมชาติมาเลเซียชุดใหญ่ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างปี 2022 หรือปีแรกที่เขาเข้ามาคุมทีม คิมมีสถิติคุมทีมเสือเหลืองชนะ 10 และเสมอ 3 จากการคุมทั้งหมด 15 เกม นี่เป็นสถิติที่กุนซือคนก่อนหน้าหลาย ๆ คนก็ยังไม่อาจทำได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการพาทีมชาติมาเลเซีย ผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายของฟุตบอลเอเชียน คัพ หรือศึกชิงแชมป์แห่งชาติของทวีปเอเชีย 2024 และเป็นการผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในรอบกว่า 42 ปีเสียด้วย
“ตอนนี้พวกเขา (สมาคมฟุตบอลมาเลเซีย) พบเจอกับตัวเลือกที่ดีอย่างคิม พัน-กอน ดูเหมือนว่าเขาจะพัฒนาทีมชาติให้ดีขึ้นจากประสบการณ์ที่เคยคุมฮ่องกองมาก่อน เขาทำการบ้านมาอย่างดี และปรับตัวเข้ากับสไตล์ฟุตบอลมาเลเซียได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน เขายังนำแนวคิดรวมถึงปรัชญาฟุตบอลเชิงรุกมาใช้ที่นี่ด้วย” บี. ซาเธียนาธาน (B. Sathianathan) อดีตกุนซือทีมชาติมาเลเซียชุด U23 ให้สัมภาษณ์กับ New Straits Times
ผลงานของคิม พัน-กอน ไม่ได้โดดเด่นแค่ปีแรกปีเดียว ที่สุดแล้วแนวทางของเขาที่นำมาปรับใช้กับมาเลเซีย ตลอดจนปณิธานที่ตั้งไว้ตั้งแต่เริ่ม ค่อย ๆ ผลิดอกออกผลขึ้นมาเรื่อย ๆ เผลอ ๆ ดีขึ้นกว่าปีแรกที่เข้ามาเสียอีก
แม้ในปี 2023 พัน-กอน จะไม่อาจพามาเลเซียเถลิงแชมป์เอเอฟเอฟ คัพ ได้ หลังพ่ายต่อทีมชาติไทยในรอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 3-1 เช่นเดียวกับการอกหักแชมป์เมอร์เดก้า ทัวร์นาเมนต์ หรือรายการแข่งขันฟุตบอลที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัด และถูกนำกลับมาแข่งขันอีกครั้งในปี 2023
ทว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นผลในทิศทางที่ดีก็คือทีมชาติมาเลเซียของ คิม พัน-กอน นั้น “ทรงดี” และ “มีอนาคต”
ตลอดปีปฏิทิน 2023 มาเลเซียทำผลงานในทุก ๆ การแข่งขันได้อย่างน่าชื่นชม พวกเขาลงเตะเกมทางการไปทั้งหมด 11 เกม แปรเปลี่ยนเป็นผลชนะถึง 7 เกม มีทั้งเกมที่อุ่นเครื่องซ้อมเกมบุกเอาชนะทีมชาติปาปัว นิวกินีถึง 10-0, อัดทีมอันดับโลกสูงกว่าอย่างทีมชาติอินเดีย 4-2
ตามด้วยผลงานโชว์พลิกนรกจากที่โดนทีมชาติคีร์กีซสถานยิง 3-1 เป็นชัยชนะ 4-3 ในเกมนัดแรกของการคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 เช่นเดียวกับเกมบุกเสมอทีมชาติจีนถึงถิ่น 1-1
ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ทีมชาติมาเลเซียขยับอันดับโลกได้น่าตื่นตาตื่นใจและก้าวกระโดดมากที่สุดครั้งหนึ่ง จากอันดับโลก 178 ในปี 2018 สู่อันดับที่ 130 หลังจบปี 2023
1
นอกจากฝีไม้ลายมือที่ได้รับการยกย่องและชวนให้จับตาแล้ว ดูเหมือนว่าองค์ประกอบอื่น ๆ ก็ยังช่วยสอดรับกับการพัฒนาของทีมชาติมาเลเซีย จนกลายเป็นที่น่าจับตามองไปด้วยกัน
ลูกครึ่งและนักเตะแปลงสัญชาติ
จริงอยู่ที่ทีมชาติมาเลเซียใช้กระบวนการแปลงสัญชาติผู้เล่น รวมถึงดึงนักเตะลูกครึ่งมาเล่นให้ทีมชาติมาตั้งแต่ยุคก่อนที่คิม พัน-กอน จะเข้ามาเป็นกุนซือแล้ว
อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลดังกล่าวในช่วงก่อนหน้าโค้ชคิม หาใช่ความสำเร็จที่เห็นผลและลงตัวในทันที มันกลับให้ภาพของการแปลงสัญชาติเอาไว้ก่อน เรื่องของแท็คติกส์การเล่นและสไตล์ที่เหมาะสมมักจะถูกมองในรูปแบบของการใช้งานแบบนัดต่อนัดมากกว่า
ทำให้นักเตะหลาย ๆ คนไม่สามารถเค้นศักยภาพของตัวเองได้เพียงพอ แถมบางคนกลายเป็น “ตัวตลก” ในหมู่แฟนบอลด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่าง กิลเยร์เม่ เดอ เปาล่า กองหน้าสายเลือดบราซิลแท้ ๆ แต่โยกมาเล่นในลีกอาชีพมาเลเซียตั้งแต่ปี 2015 จนได้เข้าสู่กระบวนการแปลงสัญชาติจนได้เล่นให้เสือเหลืองชุดใหญ่ในปี 2021
ทว่าเขาไม่สามารถเค้นฟอร์มตัวเองออกมาช่วยมาเลเซียได้มากพอ สถิติลงเล่น 13 เกม ยิงไปแค่ 2 ประตูเท่านั้น
กรณีของกิลเยร์เม่ เดอ เปาล่า ที่ปัจจุบันอายุ 37 ปี กลายเป็นบทเรียนสำคัญของสมาคมฟุตบอลมาเลเซียชั้นดี ว่าการจะหยิบจับใครเข้ามาเล่นให้ทีมชาตินั้น ต้องพิจารณาองค์ประกอบถี่ถ้วน ไม่ใช่แปลงสัญชาติแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
การเข้ามาของคิม พัน-กอน ที่มีดีกรีเคยคุมทีมชาติฮ่องกง โดยใช้โมเดลการแปลงสัญชาติกอปรกับควานหานักเตะที่มีสายเลือดฮ่องกงในต่างประเทศ โดยกระบวนการแต่ละครั้งจะคำนึงถึงแท็คติกส์และสไตล์การเล่นของชาติเป็นสำคัญ
ที่สุดแล้วแนวทางดังกล่าวก็ถูกนำมาปรับใช้กับทีมชาติมาเลเซียได้อย่างเหมาะสมและลงตัว นักเตะแปลงสัญชาติในยุคเดิมอย่างกิลเยร์เม่ เดอ เปาล่า หรือแม้แต่ลิริดอน คลาสนิกี้ ไม่ได้ถูกเรียกตัวอีกต่อไป
มาเลเซียในยุคคิม พัน-กอน มีการแปลงสัญชาติแข้งหน้าใหม่สู่สารบบทีมเพิ่มเติมขึ้นมา เช่นเดียวกับกับการเฟ้นหาและให้โอกาสนักเตะลูกครึ่งสายเลือดมาเลเซียหน้าใหม่มาสู่ทีมชาติชุดใหญ่ เช่น เปาโล โชเซ่, เซร์คิโอ เอเซเกล อเกวโร่, สจ๊วต วิลกินส์, แดเนี่ยล ติง, เอนดริค ดอส ซานโตส ฯลฯ
และยังไม่นับนักเตะที่เกิดและเติบโตในมาเลเซียแบบ 100% อีกหลาย ๆ คน ตลอดจนเหล่าแข้งลูกครึ่งคนก่อนหน้าซึ่งก็ยังเป็นฟันเฟืองให้ทีมชาติอยู่เรื่อยมา นี่ถือเป็นองค์ประกอบที่เหมาะสม ลงตัว เป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ และได้รับการจับตามองไม่แพ้ชาติใดในเอเชีย
“หากนำมาเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้นักเตะท้องถิ่นของเราก็ดีขึ้นมาก ๆ นะ แล้วตอนนี้การแปลงสัญชาติก็เหมือนได้รับการเติมเต็มที่ดีเลย” คาลิด ชัมลุส อดีตนักฟุตบอลดีกรีทีมชาติมาเลเซีย 24 นัด พูดถึงภาพรวมของขุมกำลังทีมชาติชุดปัจจุบัน
ความยิ่งใหญ่ของยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม
การลงทุนมหาศาลของมกุฎราชกุมารแห่งยะโฮร์ (TMJ) ตวนกู อิมาอีล บิน อิบรอฮีม กับสโมสรยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ตั้งแต่ปี 2012 เรื่อยมาจนถึงปีปัจจุบัน (2024) เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือการผงาดแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2014
ไม่ว่าจะด้วยการควานหานักเตะสายเลือดมาเลเซีย ทั้งในท้องถิ่นเองหรือสรรหาจากต่างแดนเพื่อเข้าสู่สโมสร ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านฟุตบอลที่ครบครันที่สุดในประเทศ ซ้ำยังมีเวทีฟุตบอลระดับชิงแชมป์สโมสรเอเชีย ไม่ว่าจะถ้วยใหญ่หรือถ้วยเล็กให้ลงห้ำหั่นอยู่บ่อย ๆ
ประกอบกับการที่สโมสรเสริมนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีมาเล่นอยู่ทุก ๆ ฤดูกาล ไล่มาตั้งแต่ปาโบล ไอมาร์ หรือแม้แต่ดาวเด่นในยุคล่าสุดทั้งเบิร์กสัน ดา ซิลวา และเฟอร์นานโด ฟอเรสติรี ทำให้นักเตะสัญชาติมาเลย์เองก็ได้พัฒนาฝีเท้าตัวเองไปด้วย
“ด้วยการที่ TMJ ลงทุนเงินและทรัพยากรจำนวนมากกับ JDT นี่ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานและศักดิ์ศรีของฟุตบอลในมาเลเซียอย่างแท้จริง” เค. รายาน นักข่าวจาก New Straits Times กล่าว
ตัวอย่างที่ว่ามานี้ ส่งผลกระทบเรื่องดีให้กับทีมชาติมาเลเซียอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะนักเตะทีมชาติมาเลเซียในยุคหลังมานี้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ค้าแข้งกับทีมฉายา เสือใต้แห่งแหลมมลายู ทั้งสิ้น
ที่สำคัญ หลาย ๆ คนคือแกนหลักของทีมชาติชุดปัจจุบันกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลาเวียร์ คอร์บิน-ออง, แมทธิว เดวีส์, อารีฟ ไอมาน รวมถึงอัคยาร์ ราชิด เป็นต้น
เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
ครั้งหนึ่ง จีนเคยตั้งเป้าหมายเป็นมหาอำนาจในโลกฟุตบอล ภายในปี 2050 ขณะที่ญี่ปุ่นก็มีโปรเจ็คต์จะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกให้ได้ในปี 2050 เช่นเดียวกัน ฟุตบอลมาเลเซียก็มีแผนงานระยะยาวที่กำหนดร่างเอาไว้
โดยสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย เคยเปิดตัวโครงการพัฒนาฟุตบอลแห่งชาติเพื่อส่งเสริมและพัฒนาวงการลูกหนังของประเทศใน 2 ระยะ ตั้งแต่ปี 2014 ถึง 2020 และ 2021 ถึง 2030 โดยมุ่งเน้นไปยังการพัฒนานักเตะระดับเยาวชน รวมถึงการปรับปรุงงานด้านการโค้ช สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ในระบบนิเวศลูกหนังชาติ
มากไปกว่านั้น ทางสมาคมฯ ยังออกโปรเจ็คต์ใหญ่เพื่อเดินไปให้ถึงอีกหนึ่งโปรเจ็คต์ นั่นคือ “F:30” ด้วยเป้าหมายการก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำ 5 อันดับแรกของทวีปเอเชียให้จงได้ ภายในปี 2030
ไม่ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ในภายหน้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมชาติมาเลเซียในยุคสมัยปัจจุบัน หรือยุคของกุนซือคิม พัน-กอน ที่มีทั้งนักเตะสัญชาติมาเลเซียแท้ ๆ อยู่ผนึกกำลังกับเหล่าลูกครึ่ง รวมทั้งแข้งแปลงสัญชาติคอยรู้เรียนรู้แท็คติกส์และวิธีการไปด้วยกัน กำลังเดินอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องและมีอนาคต
บทความโดย พชรพล เกตุจินากูล
แหล่งอ้างอิง
https://www.straitstimes.com/sport/football/football-malaysia-on-the-rise-again-but-is-this-a-new-or-false-dawn
https://en.wikipedia.org/wiki/Malaysia_national_football_team
https://www.thevibes.com/articles/sports/100514/reviving-the-glory-harimau-malayas-claws-on-fire-as-2024-campaign-begins-with-daunting-asia-cup
https://www.thestar.com.my/sport/football/2024/01/11/financial-rewards-high-at-asian-cup-but-kims-tigers-have-other-motivations
https://www.goal.com/en-my/news/the-rise-and-fall-of-malaysia---how-harimau-malaya-went-from-asia-cup-regulars-to-eternal-strugglers/cv41b1l99jkc1cr37z091zxjg
1 บันทึก
8
1
1
8
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย