16 ม.ค. เวลา 06:11 • หนังสือ

หนังสือชุดคุยกับประภาส (เล่ม๗) ลมพาเกสรปลิวว่อน โดย ประภาส ชลศรานนท์

ดาวทุกดวงในจักรวาลหมุนรอบตัวเอง และก็หมุนรอบดาวดวงอื่นด้วย ไม่มีดาวดวงไหนอยู่นิ่งๆให้ดาวดวงอื่นหมุนรอบ เพียงฝ่ายเดียวหรอก ทุกวันนี้มนุษย์ยังชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลกันอยู่เลย (หน้า ๒๕)
มาตรา "ความรู้" ต่างหากที่น่าจะใช้วัดคนได้ดีกว่ามาตรา "ประกาศนียบัตร"
... เข้มแข็งต่อความถูกต้อง อ่อนโยนต่อความสัมพันธ์ (หน้า ๔๘)
ผมเคยพูดไว้ว่า บ้านเราไม่ได้ขาดแคลน "คนมีความรู้" แต่บ้านเราขาดแคลน "คนมีความคิด" หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะพูดว่าไม่ได้ขาดแคลนขัดสนหรอก เพียงแต่คนที่มีความคิดไม่ค่อยแสดงตัวออกมา ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดออกมา ผมขอพูดอีกประโยคหนึ่งที่คล้ายๆกันว่า บ้านเราไม่ได้ขาดแคลน "นักสังคมสงเคราะห์" แต่บ้านเราขาดแคลน "ประชาชนที่มีจิตสำนึกต่อสังคม" ต่างหาก (หน้า ๖๒)
"จุดตะเกียงดีกว่าสาปแช่งความมืด" (หน้า ๑๓๑)
ผมยังเชื่อเสมอว่า 'มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะทำอะไรได้มากกว่าที่ทุกคนทำอยู่ มันอยู่ที่เขาอยากจะทำหรือเปล่า' (หน้า ๑๔๓)
มาลองเล่นเกมกันสักเกมไหมครับ ฉากของเกมนี้เป็นห้องสอบสัมภาษณ์แห่งหนึ่ง โจทย์ก็คือ กรรมการสอบ ท่านจะรับใครไว้เป็นพนักงาน ลองอ่านดูครับ
หน้าประตูห้องสอบ ผมซึ่งขอสมมุติตัวเองเป็นกรรมการอีกคนหนึ่ง แกล้งเอาไม้กวาดไปพิงไว้คล้ายจะขวางทางเดินอันหนึ่งพร้อมกับกระป๋องน้ำกระป๋องหนึ่ง พอเหลือช่องให้คนเดินผ่านได้ แต่อาจจะเดินลำบากไปสักหน่อย
ชายคนแรกเดินเอียงตัวผ่านด้ามไม้กวาดและก้าวข้ามกระป๋องน้ำเข้ามานั่งสอบสัมภาษณ์ เขาแต่งตัวเรียบร้อยมากและตอบคำสัมภาษณ์ด้วยเสียงดังฟังชัด
ชายคนที่สองแต่งตัวเรียบร้อยปานกลาง ปลายเท้าเขาเฉี่ยวไม้กวาดล้มลง เขาก้มลงหยิบมันขึ้นมาพิงดังเดิม แล้วก็เข้ามานั่งสอบสัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจเช่นกัน
ชายคนที่สามแต่งตัวเรียบร้อยน้อยที่สุด เขาตอบสัมภาษณ์ด้วยความมั่นใจไม่แพ้กัน ชายคนนี้ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์เขาหยุดมองไม้กวาดที่ทิ้งไว้อย่างไม่เรียบร้อย แล้วก็จับมันให้พิงชิดฝาผนังมากขึ้น พร้อมกับเขยิบกระป๋องน้ำให้ชิดตามเข้าไปด้วยเพื่อจะได้เปิดทางเดินให้สะดวกขึ้นสำหรับทุกคน
เลือกคนไหนเข้าทำงานดีล่ะครับ...ท่านกรรมการ (หน้า ๑๔๖-๑๔๗)
... ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คิดต่างกัน แต่อยู่ที่จะปฏิบัติอย่างไรเมื่อคิดต่างกัน พวกเรายอมรับความคิดหรือรสนิยมของอีกฝ่ายหนึ่งที่แตกต่างจากเราได้หรือเปล่า (หน้า ๑๕๔-๑๕๕)
อย่าเลี้ยงเด็กหรือสอนนักเรียนแบบติดตาต่อกิ่งเลยครับ มันงอกออกมาได้แต่รากแขนงแค่นั้น มนุษย์ที่สมบูรณ์จำต้องมีรากแก้วแห่งความคิดของตัวเอง (หน้า ๑๗๑)
เดือนที่ผมไปคราวนั้นรู้สึกจะมีฝนพรำๆอยู่ตลอดทั้งเดือน รถสองแถวขอไปส่งพวกผมแค่ตีนดอย เพราะทางมีแต่โคลน มันอันตรายสำหรับรถ ขนาดวิ่งแค่ตีนดอยรถยังไหลไปไหลมาแทบจะควบคุมรถไม่อยู่ คนขับรถสองแถวติดต่อชาวเขาให้เป็นคนนำทางได้คนหนึ่ง หลังจากที่เขารู้เจตนารมณ์ของชายหนุ่มจากกรุงเทพฯสามคนนี้ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าพวกนี้ก็จะดันทุรังขึ้นยอดดอยให้ได้ ถึงจะต้องเดินขึ้นก็เอา ชาวเขาที่มารับจ้างพาขึ้นเขาเป็นชาวเขาเผ่ามูเซอ
... รถไปส่งถึงตีนดอยราวๆเก้าโมงเช้าได้ พวกผมสามคนเอาสัมภาระมาน้อยที่สุด เพราะเตรียมตัวไว้แล้วว่าอาจจะต้องเดินเท้าขึ้นดอย ผมและเพื่อนใส่รองเท้าปีนเขาแบบที่พื้นเป็นร่องๆอย่างดี เสื้อทหารหนาๆคนละตัว แล้วก็มีข้าวเหนียวเนื้อเค็มคนละห่อไว้กินมื้อกลางวัน มื้อเย็นนั้นคิดไว้ว่าไปตายเอาดาบหน้า ส่วนพรานมูเซอดำ เขาใส่เสื้อยืดเก่าๆตัวเดียวกับกางเกงชาวเขา รองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะที่ทำจากยางรถยนต์
ผมจำได้ว่า ทันทีที่เห็นคนที่จะนำเราขึ้นเขา ผมมองหน้าเพื่อนแล้วถามกันว่านี่มันชาวเขาจริงหรือ แน่หรือ แต่งตัวอย่างนี้แล้วมันจะเดินขึ้นเขาไหวหรือ แค่หนึ่งกิโลเมตรแรกความจริงก็ปรากฏ รองเท้าแตะยางรถยนต์เดินลิ่วแซงรองเท้าปีนเขาแบบฝรั่งของพวกผมไปไกลลิบแล้ว ผมเคยรู้มาว่าคนภูเขานี่เขาเดินบนทางลาดเอียงได้เร็วมาก แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
เพื่อนผมพยายามตะโกนร้องให้เขาเดินช้าๆ เขาก็แวบหายไปอยู่อีกเนินหนึ่ง ไอ้ครั้นจะหยุดเดินนั่งพักก็กลัวหลงป่า เพราะพรานของเราหายไปอยู่ข้างหน้าตลอด ไม่รู้ว่าเป็นอุบายให้พวกเรารีบเดินหรือเปล่า พอเริ่มสายๆ มูเซอดำตัวเล็กคนนี้ก็พาออกจากเส้นทางถนน เขาบอกว่าเดินตามทางของชาวเขามันลัดกว่า และอีกอย่างเดินบนทางรถที่มีแต่โคลนมันเดินยาก ไม่รู้สิครับเขาว่าลัดพวกผมก็ต้องเชื่อว่าลัดเพราะเพิ่งมาครั้งแรก
แต่พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ทางลัดของพี่มูเซอมันชันเอามากๆเลยครับ รองเท้าที่ผมคิดว่ามันทำร่องไว้ที่พื้นรองเท้าลึกแล้วยังเกาะไม่ค่อยอยู่เลย ไม่รู้ไอ้รองเท้าแตะธรรมดาของเขามันเกาะพื้นได้อย่างไร ข้าวเหนียวเนื้อเค็มถูกแกะมากินก่อนเที่ยง เจ้ามูเซอตัวดีมานั่งยิ้มๆมองพวกผมกิน ชวนเขากินก็ไม่ยอมกิน เขาบอกว่าข้าวเหนียวของเขาอยู่ในย่าม ตอนนี้เขายังไม่หิว
เขาถามพวกผมอีกว่าอยากเดินบนสันเขาที่มีทะเลหมอกอยู่ขนาบข้างซ้ายขวาไหม พวกผมตอบทันทีว่าอยากสิ เขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นต้องเดินเลี่ยงไปอีกเส้นทางหนึ่ง ผ่านหมู่บ้านมูเซอแถวๆนั้นจะเป็นสันเขา แต่ต้องรีบเดินหน่อยเพราะถ้าช้ามากจะถึงยอดดอยช้า อาจทำให้คืนนี้ต้องนอนกลางป่า พวกผมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เต้นท์ก็ไม่ได้เตรียมมาเพราะกะว่าจะไปนอนกับพวกชาวเขาบนดอยอยู่แล้ว นอนกลางป่าบนเขาแบบไม่กางเต็นท์และไม่มีผ้าห่มนี่คงหนาวถึงกระดูก เข็ดแล้วครับเรื่องนอนใต้ต้นไม้บนภูเขาสูง
ผมเคยเจอดีที่ภูกระดึงตอนหน้าหนาว ผิงไฟกินเหล้าแล้วก็นอนข้างกองไฟ ตื่นเช้าหนาวไข้แทบจับ ในที่สุด ผมก็ตกปากยอมเดินผ่านหมู่บ้านชาวเขาเพราะอยากเดินบนสันเขาที่เห็นทะเลหมอกอยู่ขนาบข้าง เขาลุกขึ้นชวนพวกผมออกเดินต่อทันทีที่กินอิ่ม ยิ่งขึ้นสูงป่ายิ่งชื้นและเย็น แต่ต่อให้เย็นแค่ไหนพวกผมก็เหงื่อท่วมเพราะเดินกันไม่หยุด เราไปนั่งพักกันที่หน้าผาแห่งหนึ่งมันสวยมากจนต้องหยุดถ่ายรูป
เป็นเหมือนผมไหมครับเวลาที่เรามองทิวทัศน์ลงมาจากหน้าผา เราจะรู้สึกว่าชีวิตมนุษย์นั้นมันกระจิดริดเหลือเกิน พวกผมนั่งดื่มด่ำธรรมชาติอยู่พักใหญ่ เจ้าพรานนำทางของผมหายไปเหมือนเดิม สงสัยคงจะไปหาอะไรกิน ป่าลึกๆที่ไม่มีคนนี่มันสวยจริงๆนะครับ หน้าผาที่ผมไปนั่งทอดหุ่ยอยู่นี่ มองลงไปมีแต่ต้นไม้เขียวไปหมดนั่งมองลงมานิ่งๆอย่างนั้นแหละครับ แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันทั้งสามคน สามสี่ชั่วโมงมานี้พวกเราได้ยินแต่เสียงลมและเสียงนก ... สักพักเจ้าพรานมูเซอก็โผล่ออกมาตามพวกผมให้ออกเดินต่อ เขาขู่ว่าอาจจะถึงดอยค่ำเอาได้
พวกผมค่อยๆอิดออดลุกขึ้น แหม...เวลาเมื่อยๆแล้วได้นั่งพักนี่ มันไม่อยากลุกเลยหลังเที่ยงมานี่พวกผมเริ่มเหนื่อยมากขึ้น พรานชาวเขาก็ดีใจหาย อาสารับเป้ของพวกเราไปช่วยแบกผลัดกันไปผลัดกันมา เกือบสี่โมงเย็น พวกผมมองเห็นหมู่บ้านมูเซออยู่ไกลๆ ขาทั้งหกข้างนั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะก้าวไม่ออกอยู่แล้วก็เดินมาตั้งแต่เก้าโมง พรานมูเซอเห็นพวกผมเดินช้าลงก็เลยตะโกนลงมาจากเนินที่อยู่ข้างหน้าว่า เดินเลยหมู่บ้านนี้ไปจะถึงสันเขาที่มีทะเลหมอกขนาบข้างแล้ว ฟังคำว่าทะเลหมอกแล้วเรี่ยวแรงมันมาจากไหนไม่รู้ พวกผมออกเดินเร็วขึ้น
มีเด็กชาวเขาวิ่งมายืนดูพวกเราผมถ่ายรูปเด็กไป 2-3 รูปแล้วก็รีบจ้ำตามเพื่อนๆไป เพราะมันตะโกนร้องบอกผมว่าถึงสวรรค์แล้ว มันเป็นสันเขาที่มีทางเดินเท้าของพวกชาวเขาอยู่ข้างบนสัน ทั้งสองข้างขนาบด้วยทะเลหมอกอันวิจิตรมีเขาลูกเล็กๆโผล่ขึ้นมาจากทะเลหมอกเหมือนเป็นเกาะกลางทะเล แสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นสีส้มอาบเป็นขอบให้เกาะกลางทะเล เพื่อนผมเผลอครางออกมาว่า เขาไม่ได้อยู่บนโลกแน่ๆ มันสวย มันเย็น และมันเงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงตัวเองคุยกับตัวเองดังก้องไปทั้งขุนเขา
ถึงตอนนี้หากจะต้องถึงยอดดอยอ่างขางค่ำสักหน่อย ผมก็ยอมแล้วครับ พวกเราเดินเท้าอย่างไม่เร่งรีบตามแนวสันเขา เกือบทุ่มพวกเราก็ถึงยอดดอยที่มีโครงการหลวงตั้งอยู่เป็นอาคารไม้หลังเล็กๆมีเจ้าหน้าที่นอนเฝ้าอยู่สองคนได้ ผมไปนอนที่บ้านมูเซออีกครอบครัวหนึ่งเลยโครงการไปอีกสองสามกิโล เขาคิดเงินพวกผมคนละสามสิบบาทเป็นค่าที่นอนและอาหารสองมื้อ ... ผ่านไปเกือบยี่สิบห้าปีแล้วครับ แต่ภาพทุกภาพผมยังเห็นมันชัดเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน (หน้า ๒๐๑-๒๐๖)
สิบกว่าปีมานี้สัตว์ป่ามีจำนวนลดน้อยลงไปทุกที ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ที่อยู่ในป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติที่มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ มนุษย์ถูกจัดให้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ต้องรบกับพวกลักลอบดักจับสัตว์อยู่ตลอดเวลา
นอกเหนือจากมนุษย์แล้ว ยังมีภัยอื่นๆที่ทำลายชีวิตสัตว์ป่าให้ลดลง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ต้องคอยดูแลป้องกัน อาทิ ที่น้ำตกเหวนรกนี้ เจ้าหน้าที่ต้องทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันชีวิตของช้างป่าที่พลัดตกน้ำอันสูงชันนี้ทุกปี เราจึงต้องยอมเห็นเสาปูนกลมๆหน้าตาน่าเกลียดขนาดเสาในห้างสรรพสินค้า ขึ้นเป็นกำแพงเพื่อกันช้างไม่ให้เดินเข้าใกล้น้ำตกช่วงที่สูงชัน (หน้า ๒๑๐-๒๑๑)
... ผมเห็นด้วยกับคุณอุ้มครับว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดบนโลกนี้ก็คือ สันติภาพที่ไม่เคยมีอยู่จริง กับความเหลื่อมล้ำที่มนุษย์หยิบยื่นให้กัน (หน้า ๒๒๑)
โฆษณา