Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Thairath Online - ไทยรัฐออนไลน์
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
18 ม.ค. 2024 เวลา 12:30 • ข่าว
"กิจกรรมหน้าเสาธง-วิชาลูกเสือ" ยังจำเป็นไหม หลังผลสำรวจเด็กไทยอยากให้ยกเลิก
เปิดมุมมองอีกด้าน "กิจกรรมหน้าเสาธง-วิชาลูกเสือ" ยังจำเป็นไหม หลังผลสำรวจเด็กไทยอยากให้ยกเลิก
กลายเป็นประเด็นถกเถียงในวงการศึกษา หลังจาก Rocket Media Lab ร่วมกับ มูลนิธิแพธทูเฮลท์ ได้จัดทำแบบสอบถามนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 ทั่วประเทศ ในช่วงวันที่ 9-11 มกราคม 2567 เพื่อสำรวจความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ในโรงเรียน การเรียนการสอน ครู โดยผลการสำรวจมีความน่าสนใจในหลายประเด็นด้วยกัน
1
ไม่ว่าจะเป็นผลสำรวจวิชาที่อยากให้ยกเลิกที่สุด พบว่า วิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ เป็นวิชาที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด เช่นเดียวกับกิจกรรมใดที่นักเรียนไม่อยากให้มีมากที่สุด พบว่านักเรียนอยากให้ยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธงมากที่สุด 26.8% รองลงมาก็คือ สมุดบันทึกความดี 16.52%
ส่งผลให้มีการตั้งคำถามว่า วิชาลูกเสือ เนตรนารี และกิจกรรมหน้าเสาธง มีความสำคัญอย่างไร ปัจจุบันนี้ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ หรือถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการปรับเปลี่ยน
●
กิจกรรมหน้าเสาธง สำคัญยังไง
จากการสอบถามประเด็นดังกล่าวกับ ครูต้น (นามสมมติ) ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า ประโยชน์ของกิจกรรมหน้าเสาธง ในฐานะครูไม่ใช่แค่การมายืนร้องเพลงชาติ ไหว้พระสวดมนต์ สำหรับโรงเรียนที่ตนทำงานอยู่นั้น กิจกรรมหน้าเสาธงจะเป็นการเข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธงตามปกติแบบโรงเรียนทั่วไป เริ่มเวลา 07.50-08.30 น.
นอกจากนั้นยังมีข่าวประชาสัมพันธ์หน้าเสาธง การมอบรางวัล รวมถึงการใช้เวลาของช่วงกิจกรรมหน้าเสาธงให้ครูที่ปรึกษาพบกับนักเรียนเพื่อพูดคุย และเช็กชื่อนักเรียนในชั้นเรียนส่งให้ผู้ปกครองทราบว่า ใครมาทันเข้าแถว
ส่วนตัวมองว่าประโยชน์ของของกิจกรรมหน้าเสาธง คือ 1.เป็นการรับรู้ข่าวสารเบื้องต้น 2.เป็นการฝึกความรับผิดชอบในการมาโรงเรียน 3.เป็นการพบครูที่ปรึกษาตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่กำหนดไว้ในคาบ Homeroom ซึ่งก็คือช่วงหลังกิจกรรมหน้าเสาธงจนถึงคาบเรียนแรก จึงมองว่ากิจกรรมหน้าเสาธงจำเป็นอยู่ เพราะเราเคยพิสูจน์มาแล้วในช่วงโควิด-19 ที่ทางโรงเรียนได้กระจายข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น แฟนเพจโรงเรียน ไลน์กลุ่ม ปรากฏว่านักเรียนเข้าถึงข่าวสารน้อยกว่าการเข้าแถว
ดังนั้นความคิดเห็นต่อผลสำรวจดังกล่าว จึงมองว่าทุกคน ไม่ว่าครู หรือ นักเรียน มีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้ กลุ่มที่อยากให้ยกเลิกอาจมองว่าไม่เกิดประโยชน์หรือเพราะอากาศร้อน ทั้งนี้ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่า การเก็บข้อมูลดังกล่าวได้แยกเปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนที่เข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธงกลางแจ้งกับโรงเรียนที่เข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธงในโดม หรือในร่มหรือไม่ เพื่อที่ข้อมูลที่ได้มาเป็นจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ส่วนความคิดเห็นต่อผลสำรวจ "อยากให้ยกเลิกวิชาลูกเสือเนตรนารีของนักเรียน" มองว่าเป็นการสะท้อนความคิดของนักเรียนว่ามีมุมมองต่อวิชานี้อย่างไร ซึ่งวิชาลูกเสือ เนตรนารีถูกจัดว่าเป็นวิชาในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรที่สถานศึกษาต้องจัดให้กับนักเรียน การจะยกเลิกหรือไม่นั้นต้องไปพิจารณากันที่หน่วยงานที่ร่างหลักสูตร โรงเรียนไม่สามารถยกเลิกเองได้ เพราะจะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานหลักสูตร
ส่วนตัวมองว่าวิชานี้ยังมีความจำเป็น หากแต่ปรับเนื้อหาให้มีความสนุกและทันสมัยมากกว่าการยึดติดกับเครื่องแบบ และพิธีกรรมที่ทำให้นักเรียนเบื่อได้ ในฐานะครูผู้สอนสังเกตได้ว่านักเรียนจะชอบวิชาที่ได้ลงมือทำและสนุก เช่น วิชาสูทกรรม (ทำอาหาร) วิชาการเดินทางไกล วิชาผจญภัย
ในความคิดครูผู้สอนหากปรับเป็นวิชาเลือกได้จะดีกับการเรียนการสอนในภาพรวม เพราะจะได้นักเรียนที่สนใจเข้ามาเรียนจริงๆ และด้วยจำนวนที่น้อยลงกว่าการบังคับเรียนทำให้การจัดกิจกรรมคล่องตัวมากขึ้น
★
"วิชาลูกเสือ เนตรนารี" ควรมี หรือ ยกเลิก?
ขณะเดียวกัน ครูเจี๊ยบ (นามสมมติ) ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า กิจกรรมหน้าเสาธง ยังคงมีอยู่เพื่อเป็นการเช็กว่าเด็กมาโรงเรียนไหม และเพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร ส่วนตัวคิดว่ายังจำเป็นเพราะมีประโยชน์ ยกตัวอย่างห้องของตนมีเด็ก 40 คน ถ้าพบว่ามีเด็กหายไปก็จะไลน์แจ้งผู้ปกครองเลยว่าเด็กยังไม่เข้าเรียน และต้องยอมรับว่าในบางครั้งผู้ปกครองจะเชื่อลูกมากกว่าเชื่อครู ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีหลักฐานว่าเด็กยังไม่มาเรียน
1
ในบางโรงเรียนอาจจะมีระบบที่สามารถแสกนแล้วก็เช็กชื่อได้ว่าเด็กคนนี้มากี่โมง กลับกี่โมง แต่บางโรงเรียนที่ไม่มีเทคโนโลยี กิจกรรมหน้าเสาธงก็ยังมีประโยชน์อยู่ ซึ่งกิจกรรมหน้าเสาธงหลักๆ จะมีร้องเพลงชาติ สวดมนต์ แจ้งข่าวสาร เช็กชื่อว่าใครมา ใครไม่มา ใครลาป่วย ซึ่งรวมแล้วใช้เวลาประมาณ 20 นาที โดยให้เด็กอยู่ในโดม ไม่ให้ยืนกลางแดด
ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุที่เด็กไม่อยากทำกิจกรรมตรงนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากกระแสในโซเชียลที่อยากให้ยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธง ซึ่งเขาไม่ได้มองถึงมุมของครู ซึ่งช่วงหนึ่งที่โรงเรียนที่ทำงานอยู่ก็เกิดกระแสนี้เช่นกัน โรงเรียนก็ไม่ได้ห้าม แต่มีการพูดคุยกับผู้ปกครอง และเรียกเด็กมาทำความเข้าใจตักเตือน ตอนนี้พอกระแสในโซเชียลเงียบ กระแสในโรงเรียนก็นิ่ง
จากผลการสำรวจเด็กอยากให้ยกเลิกวิชาลูกเสือเนตรนารีนั้น ตนเองคิดว่าส่วนหนึ่งเพราะเครื่องแบบที่ใส่แล้วร้อน เด็กอาจจะรู้สึกว่าเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไม่เกิดประโยชน์ ลำบาก ซึ่งตนก็เคยตอบคำถามเด็กเหมือนกัน เพราะเด็กจะมีคำถามว่า เรียนไปแล้วได้อะไร เรียนไปแล้วเกิดประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งแต่ละสถานศึกษาจะไม่เหมือนกัน และอีกเหตุผลคือเด็กไม่อยกาเข้าค่าย เพราะการเข้าค่ายมีความลำบาก ไม่สะดวกสบาย ต้องเน้นความเป็นระเบียบวินัย ต้องฝึกทำงานร่วมกับผู้อื่น จำเป็นต้องใช้ความอดทน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง
สำหรับ วิชาลูกเสือ เนตรนารี หลักๆ จะเรียนรู้การผูกเงื่อน ระเบียบวินัย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่น คนหกล้ม โดนน้ำร้อนลวก แขนหัก คนเป็นลม ฝึกระเบียบแถว การทำงานร่วมกัน สอนกิจกรรมรอบกองไฟ ประโยชน์ของการเดินทางไกล คือการจำลองให้เด็กปฏิบัติระยะสั้นๆ ซึ่งก็ไม่ได้ลำบากมาก การเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว
เมื่อถามว่า หากมีการปรับเครื่องแบบให้สวมใส่สบายขึ้นจะทำให้เด็กชอบวิชานี้ขึ้นหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้เด็กอยากเรียน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด
"การที่เด็กบอกว่าให้ยกเลิกกิจกรรมวิชาลูกเสือเนตรนารี เด็กๆ เขาอาจจะไม่เข้าใจคำว่า หลักสูตรแกนกลาง หากจะปรับก็ต้องปรับทั้งประเทศ เพราะมีกิจกรรมบังคับ หากนักเรียนไม่ผ่านกิจกรรมก็จะไม่จบหลักสูตร เช่น ไม่จบ ม.3 ก็จะไม่สามารถไปเรียนต่อได้ ทางโรงเรียนเองก็ต้องทำตามนโยบายที่กระทรวงมอบหมายให้ ดังนั้นหากจะให้ยกเลิกวิชาลูกเสือเนตรนารีก็ต้องใช้เวลา เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจที่จะต้องนำเรื่องมาพูดคุย ปรับเปลี่ยน เพราะโรงเรียนไม่มีอำนาจยกเลิกเอง"
หลังจากอธิบายความสำคัญของวิชานี้ไปแล้วพบว่ามีเด็กประมาณ 60% ที่เข้าใจ ส่วนอีก 40% ยังไม่ค่อยเห็นด้วย มีทั้งเด็กผู้ชาย และเด็กผู้หญิง หรือหากคิดนักเรียน 100 คน ก็จะมี 10 คนที่ไม่อยากเรียน แต่ไม่ใช่ว่าเด็กไม่อยากเรียนวิชาลูกเสือทั้งหมด เพราะขึ้นอยู่กิจกรรมด้วย ยกตัวอย่าง กิจกรรมที่ลงมือปฏิบัติ เด็กผู้ชายจะชอบ แต่ถ้าปฏิบัติมากๆ หรือต้องเดินวนฐานซึ่งจะร้อนหน่อย แม้ไม่ได้ให้ไปยืนกลางแดด แต่เนตรนารีจะไม่ค่อยชอบ
★
ผลสำรวจพบว่า เด็กอยากเรียน การเงิน การลงทุน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ครูต้น มองว่า เหตุผลที่นักเรียนอยากเรียนวิชาที่กล่าวไปข้างต้น คิดว่ามาจากการรับรู้จากสื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ที่มีทั้งการแนะนำการลงทุน การขายคอร์สอบรมการเงินการลงทุน และมีตัวอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านการเงินการลงทุนเป็นที่รับรู้มากขึ้น
ส่วนการใช้สื่อโซเชียลมีเดียก็คงจะมาจากตัวอย่างการใช้ในด้านที่เป็นบวก และเป็นลบ ส่วนด้าน E-Sport คิดว่าคงมองเห็นเฉพาะในด้านบวกของวงการที่เป็นนักแข่งมืออาชีพได้รายได้ดีจากการแข่งขันรายการต่างๆ
ถามว่าอนาคตจะมีวิชาเหล่านี้บรรจุในหลักสูตรไหม คือปัจจุบันหลักสูตรของไทยจะแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้และมีตัวชี้วัดกำกับเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ตนจึงมองว่าอาจจะเป็นไปในรูปแบบของเพิ่มเนื้อหาส่วนหนึ่งเข้าไปในวิชาเรียนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องมากกว่า หรืออาจจะเป็นวิชาเพิ่มเติมหรือชุมนุม ชมรมให้นักเรียนเข้ามาเลือกเรียนตามความสนใจ และความถนัด เช่น ชุมนุม E-Sport ซึ่งก็มีอยู่แล้วในหลายโรงเรียน
แต่จะให้ดีควรมีการปรับหลักสูตรให้มีความยืดหยุ่นให้ครูออกแบบการสอนเองได้โดยไม่มีตัวชี้วัดจากส่วนกลางมาจำกัดจึงจะตอบโจทย์ต่อการเพิ่มวิชาใหม่ๆ ตามความจำเป็น และความสนใจของผู้เรียน
"ในฐานะครูมองว่าวิชาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอารมณ์ตัวเอง การมีความนับถือตนเอง มี Empathy Sympathy การมองตนเองเป็นพลโลกก็มีความสำคัญอย่างมาก วิชาภาษาอังกฤษก็ยังสำคัญ และควรเน้นการสื่อสารให้ใช้ได้จริง ต่อมาก็วิชาปรัชญาสำหรับนักเรียนน่าจะมีความจำเป็นต่อนักเรียนในปัจจุบันที่นักเรียนบางส่วนไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ตนเอง ไม่มีที่ปรึกษาที่ดี ไม่รู้วิธีจัดการ นำไปสู่การแสดงออกด้านลบ"
ขณะที่ ครูเจี๊ยบ เปิดเผยว่า ผลสำรวจวิชาที่เด็กอยากเรียนนั้น มองว่าเด็กเลือกตามความถนัด ตามความสนใจของเขา ตนเห็นด้วยว่าควรจะเปิด ซึ่งทางโรงเรียนก็มี E-Sport เปิดเป็นวิชาชุมนุมทั้งปี เป็นการเปิดแบบระบบออนไลน์ให้เด็กที่สนใจลงเล่นได้เลย
แต่วิชาเกี่ยวกับการลงทุน และวิชาว่าด้วยโซเชียลตอนนี้ทางโรงเรียนยังไม่ได้เปิด แต่ก็สามารถทำได้ อาจจะไม่ได้เปิดเป็นวิชาก็ได้ แต่เปิดเป็นวิชาแบบชุมนุมเพิ่มเติม เช่นเดียวกับชมรมกีฬา แต่ก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนที่ต้องสนับสนุนด้วย ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับกระทรวงแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละโรงเรียน ทางผู้บริหารจะมีเห็นด้วยไหม ครูคนไหนมีความสามารถที่จะสอนหรือไม่ เพราะถือว่าเป็นชั่วโมงเรียนเหมือนกัน เป็นกิจกรรมที่เด็กจะต้องผ่าน
"การที่เด็กได้เลือกเรียนสิ่งที่ชอบคิดว่ามีประโยชน์ต่อเด็ก เพราะวันจันทร์ถึงวันศุกร์เขาโดนให้เรียนมาเยอะแล้ว พอมีคาบหนึ่งที่ได้เรียนแบบที่อยากเรียน นอกเหนือจากที่โดนบังคับก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับเขา ผลสำรวจต่างๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดก็เหมือนสะท้อนความคิดเขา แต่บางอย่างหากจะแก้ ก็ต้องแก้แบบช่วยกัน ผู้ใหญ่ต้องมาช่วยกันแก้ให้ตรงจุด
หรือเวลาที่เด็กไม่เข้าใจ เขาเปิดคำถามมาแล้วถ้าครูคนไหนรับฟังเขา เขาก็ยอมรับฟัง ไม่ได้แบบเถียงหรืออะไร เมื่อเรารับฟังเขา ก็เหมือนเรายอมรับฟังในมุมมองของเขา ไม่ใช่บอกเขาแค่ว่า ไม่ควรทำ เพราะเด็กสมัยนี้เขาไม่ชอบ เขาต้องการเหตุผลกับการพูดคุย".
อ่านเพิ่มเติม
thairath.co.th
″กิจกรรมหน้าเสาธง-วิชาลูกเสือ” ยังจำเป็นไหม หลังผลสำรวจเด็กไทยอยากให้ยกเลิก
เปิดมุมมองอีกด้าน ”กิจกรรมหน้าเสาธง-วิชาลูกเสือ” ยังจำเป็นไหม หลังผลสำรวจเด็กไทยอยากให้ยกเลิก
บันทึก
1
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย