3 ก.พ. 2024 เวลา 04:09 • ประวัติศาสตร์

“มอลลีผู้ไม่มีวันจม (Unsinkable Molly)” สตรีผู้กล้าหาญจาก “ไททานิก (Titanic)”

“มาร์กาเรต บราวน์ (Margaret Brown)” คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุโศกนาฏกรรม “ไททานิก (Titanic)”
แต่ที่เธอโด่งดังไม่ใช่เพียงแค่เธอเป็นผู้รอดชีวิตจากไททานิกเท่านั้น แต่มาจากความกล้าหาญของเธออีกด้วย
หากใครได้เคยชมภาพยนตร์เรื่อง “Titanic” ที่ออกฉายในปีค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) ตัวละครมาร์กาเรตนั้นแสดงโดย “เคที เบตส์ (Kathy Bates)” และก็เป็นตัวละครหนึ่งที่มีอยู่จริง
มาร์กาเรต บราวน์ (Margaret Brown) จากภาพยนตร์ “Titanic (1997)”
เรื่องราวของมาร์กาเรตหรือ “มอลลีผู้ไม่มีวันจม (Unsinkable Molly)” เป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
มาร์กาเรตเป็นลูกสาวของผู้อพยพชาวไอริช เกิดในวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ.1867 (พ.ศ.2410) และใช้ชีวิตช่วงแรกในมิสซูรี ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 13 ปี ออกมาทำงานในโรงงาน และใฝ่ฝันที่จะเดินทางไปทางตะวันตก
ต่อมา พี่น้องของมาร์กาเรตได้ตัดสินใจจะย้ายไปยังโคโลราโดเพื่อทำงานในเหมืองแร่ มาร์กาเรตในวัย 18 ปีจึงตัดสินใจจะตามไปด้วย
มาร์กาเรต บราวน์ (Margaret Brown)
ที่โคโลราโด บราวน์ได้พบกับ “โจเซฟ บราวน์ (Joseph Brown)” คนงานเหมืองที่อายุมากกว่าเธอ 12 ปี และถึงแม้ว่าโจเซฟจะยากจน แต่มาร์กาเรตก็ตกหลุมรักเขา และแต่งงานกับเขาในปีค.ศ.1886 (พ.ศ.2429)
ในปีค.ศ.1893 (พ.ศ.2436) บริษัทเหมืองแร่ของโจเซฟก็เจอทองคำ ทำให้โจเซฟกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน และโจเซฟกับมาร์กาเรตก็ได้ซื้อคฤหาสน์หรู
หลังจากร่ำรวย มาร์กาเรตก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสาวสังคม และมักจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการระดมเงินช่วยเหลือการกุศล ในขณะที่สังคมไฮโซส่วนหนึ่งมองว่ามาร์กาเรตนั้นเป็นพวกเศรษฐีใหม่ เป็นสามล้อถูกหวย
แต่ถึงอย่างนั้น มาร์กาเรตก็ได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวทางสังคมต่างๆ สนับสนุนสิทธิสตรี สิทธิคนงานเหมือง สิทธิเด็ก และกฎหมายคุ้มครองสัตว์
มาร์กาเรต โจเซฟ และลูกๆ
แต่ด้วยความที่มาร์กาเรตนั้นทุ่มเทให้การช่วยเหลือสังคม ทำให้เธอกับโจเซฟผู้เป็นสามีมักจะมีปัญหากัน และจบลงด้วยการแยกกันอยู่ในปีค.ศ.1909 (พ.ศ.2452) แต่ทั้งคู่ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เมื่อโสดแล้ว มาร์กาเรตจึงออกเที่ยวรอบโลกในปีค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) และมาร์กาเรตก็ไม่รู้เลยว่าการออกเที่ยวครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
หลังจากท่องเที่ยวอียิปต์ อิตาลี และฝรั่งเศส มาร์กาเรตก็ได้ข่าวว่าหลานชายที่บ้านของเธอนั้นล้มป่วย มาร์กาเรตจึงยกเลิกการท่องเที่ยวและจองตั๋วเรือลำหนึ่ง
เรือลำนั้นมีชื่อว่า “ไททานิก (Titanic)”
ไททานิก (Titanic)
แต่หลังจากที่เธอขึ้นเรือจากฝรั่งเศสได้เพียงสี่วันเท่านั้น ไททานิกก็ได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งในค่ำคืนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) และจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก
1
ก่อนที่เรือจะจม เจ้าหน้าที่บนเรือได้เรียกให้สตรีและเด็กลงเรือชูชีพก่อน ในขณะที่มาร์กาเรตยังคงอยู่บนไททานิกและช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้ลงเรือชูชีพได้ก่อน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะต้อนมาร์กาเรตลงเรือชูชีพหมายเลข 6
และเมื่อลงมาบนเรือชูชีพ มาร์กาเรตก็ยังคงทำตัวให้เป็นประโยชน์ เธอช่วยพายเรือชูชีพให้ออกไปยังจุดที่ปลอดภัย ก่อนที่เธอจะมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ที่พายเรือชูชีพ
บนเรือชูชีพนั้นยังมีพื้นที่เหลือพอสำหรับผู้โดยสารคนอื่นๆ แต่เจ้าหน้าที่ก็ปฏิเสธที่จะพายเรือกลับไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ เนื่องจากเกรงว่าเรือชูชีพจะถูกแรงจากการที่ไททานิกจมดูดลงไป
มาร์กาเรตก็ไม่ยอม เธอไม่สามารถทนฟังเสียงร่ำร้องด้วยความหวาดกลัวของผู้โดยสารที่รอดชีวิต เธอจึงขู่เจ้าหน้าที่ว่าถ้าไม่ยอมพายกลับไป เธอจะโยนเจ้าหน้าที่ลงน้ำซะ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องยอม
1
หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง มาร์กาเรตและคนอื่นๆ บนเรือชูชีพก็ได้รับการช่วยเหลือได้ในที่สุด และเมื่อขึ้นมาบนเรือ “คาร์เพเทีย (Carpathia)” ซึ่งมาช่วยเหลือ เธอก็ได้ช่วยแจกผ้าห่มและอาหาร และใช้ความสามารถด้านภาษาที่เธอพูดได้หลายภาษา ช่วยเป็นล่ามให้แก่ผู้รอดชีวิตที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
และความดีของมาร์กาเรตยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หลังจากรอดชีวิตแล้ว เธอก็ตระหนักว่าผู้รอดชีวิตหลายคนนั้นต้องสูญเสียทุกอย่างไปกับไททานิก ไม่ว่าจะเป็นคนที่รักหรือทรัพย์สินต่างๆ หมดเนื้อหมดตัว มาร์กาเรตจึงกดดันให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งบริจาคเงินให้มากที่สุด
และเมื่อเรือคาร์เพเทียมาถึงนิวยอร์ก มาร์กาเรตก็สามารถระดมเงินบริจาคได้กว่า 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 350,000 บาท)
หลังจากรอดชีวิตจากไททานิก มาร์กาเรตก็ยังคงทุ่มเทช่วยเหลือสังคม ไม่ว่าจะช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้กับเหล่าคนงานเหมืองและกดดันให้ “จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller)” มหาเศรษฐีน้ำมันในตำนาน ให้ผ่อนปรนต่อเหล่าคนงานและมีจริยธรรมในการทำธุรกิจ ก่อนที่มาร์กาเรตจะลงการเมือง
1
แต่เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 (WWI) ได้เริ่มขึ้น มาร์กาเรตก็ถอนตัวจากการเลือกตั้ง และเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อบริหารงานโรงทาน ช่วยเหลือคนยากจน
แต่ชีวิตช่วงบั้นปลายของมาร์กาเรตก็มีเรื่องที่หนักหนาอยู่เหมือนกัน โดยโจเซฟ อดีตคู่ชีวิตของมาร์กาเรตเสียชีวิตในปีค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) และเธอก็ต้องมีเรื่องมีราวกับลูกของตนเองจนต้องขึ้นศาล เนื่องมาจากการแก่งแย่งมรดกของโจเซฟ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกๆ นั้นแย่มาก
จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller)
ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) และยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) มาร์กาเรตได้ชิมลางการเป็นนักแสดง ก่อนจะเสียชีวิตจากเนื้องอกในสมองเมื่อปีค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ด้วยวัย 65 ปี
เรียกว่าชีวิตของเธอนั้นเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันจนสามารถนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เลย
โฆษณา