Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
5 ก.พ. 2024 เวลา 03:28 • ประวัติศาสตร์
“จักรวรรดิอาชานติ (Ashanti Empire)” อดีตอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแอฟริกา
ท่ามกลางป่าทึบในแอฟริกาตะวันตก ปรากฎ “จักรวรรดิอาชานติ (Ashanti Empire)” อาณาจักรที่เติบโตกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในสมัยศตวรรษที่ 18 และ 19
1
แรกเริ่มเดิมที ดินแดนนี้เป็นเพียงดินแดนด่านหน้าเล็กๆ ก่อนจะเติบใหญ่ กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มีประชากรนับล้าน กินพื้นที่มหาศาล
อาณาจักรนี้อยู่ในดินแดนซึ่งคือประเทศกานาในปัจจุบัน ก่อนจะค่อยๆ ขยายอำนาจ กลืนกินดินแดนรอบๆ และกลายเป็นมหาอำนาจแห่งแอฟริกาตะวันตก โดยในช่วงพีคของจักรวรรดิอาชานติในสมัยปลายศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิแห่งนี้ปกครองคนกว่าสี่ล้านคน และควบคุมดินแดนตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันตกของแอฟริกานับร้อยกิโลเมตร
1
หากแต่ความรุ่งเรืองของอาณาจักรแห่งนี้ก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป
เรามาเรียนรู้เรื่องราวของจักรวรรดิอาชานติกันครับ
ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าต้นกำเนิดจักรวรรดิอาชานตินั้นมาจากไหน แต่ที่แน่ๆ ก็คือชาวอาชานตินั้นเป็นกลุ่มหนึ่งของชนชาติ “อาคาน (Akan)” โดยตามตำนานของชาวอาชานตินั้น ว่ากันว่าชาวอาชานติกำเนิดมาจากรูที่พื้นป่าในสมัยโบราณ และอพยพจากแถบชายฝั่งทะเลเข้ามายังพื้นที่ซึ่งคือประเทศกานาในปัจจุบัน
นักประวัติศาสตร์บางคนก็เชื่อว่าบรรพบุรุษของชาวอาชานตินั้นมาจากจักรวรรดิกานาโบราณ ซึ่งก็คือดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศมอริเตเนียและประเทศมาลี แต่บางคนก็คิดว่าชาวอาชานตินั้นมีต้นกำเนิดมาจากอียิปต์
1
แต่ไม่ว่าจะมาจากไหน แต่บ้านใหม่ของชาวอาชานตินั้นก็รกร้าง ห่างไกลความเจริญ เป็นป่าลึกซึ่งดูแล้วยากที่จะก่อกำเนิดอารยธรรมใดได้ หากแต่ชาวอาชานติก็ค้นพบบางอย่างที่ล้ำค่า
2
“ทองคำ”
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ชาวอาชานติได้สร้างเส้นทางการค้าตลอดแนวแอฟริกาตะวันตก และเมื่อถึงศตวรรษที่ 15 ชาวยุโรปก็เริ่มสนใจจักรวรรดิอาชานติ
โปรตุเกสคือชาติแรกที่เริ่มติดต่อกับชาวอาคาน ตามมาด้วยเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ และเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มชาวอาคานกลุ่มต่างๆ ก็ผลัดกันขึ้นมารุ่งเรืองและล่มสลาย และด้วยความที่ดินแดนนี้เป็นดินแดนที่มีทองคำมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก กลุ่มต่างๆ จึงสู้รบกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ และหนึ่งในอาณาจักรที่สู้รบเพื่อชิงความเป็นใหญ่ก็รวมจักรวรรดิอาชานติด้วย
แต่จักรวรรดิอาชานติก็ไม่ใช่กลุ่มแรกที่ขึ้นเป็นใหญ่ กลุ่มแรกที่ขึ้นมาเป็นใหญ่คือ “เดนคยิรา (Denkyira)”
กษัตริย์แห่งเดนคยิราได้มีอำนาจเหนือดินแดนต่างๆ และได้จับบุคคลชั้นสูงในอาณาจักรต่างๆ ไว้เป็นตัวประกัน และในบรรดาตัวประกันที่สำคัญที่สุด คือชายที่ชื่อ “โอเซตูตุ (Osei Tutu)”
หลังจากถูกจับเป็นตัวประกันเป็นเวลาหลายปี โอเซตูตุก็สามารถหนีออกมาได้และหนีไปถึง “คูมาซี (Kumasi)” ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอาชานติ และขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์
จากนั้น พระองค์ก็ทรงสร้างกองทัพที่เกรียงไกรและสร้างสัมพันธภาพกับดินแดนเพื่อนบ้าน
เมื่อถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 17 พระเจ้าโอเซตูตุก็กลายเป็นกษัตริย์ที่น่าเกรงขาม และตั้งแต่ค.ศ.1698-1701 (พ.ศ.2241-2244) กองทัพอาชานติก็ได้สู้รบกับศัตรูอย่างไม่หยุดหย่อน
หลังจากพิชิตดินแดนต่างๆ ได้แล้ว พระเจ้าโอเซตูตุก็มีรับสั่งให้จัดหาพระที่นั่งทองคำ ซึ่งเป็นการแสดงว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือทุกผู้คนในดินแดน
1
ในเวลานั้น เชื่อกันว่าพระที่นั่งทองคำนั้นเป็นสิ่งที่มาจากสวรรค์ และหลังจากพระเจ้าโอเซตูตุขึ้นนั่ง พระที่นั่งทองคำก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งกษัตริย์อาชานติและเหล่าประชาราษฎร์
ในสมัยต่อมา ทายาทของพระเจ้าโอเซตูตุก็ทรงขยายดินแดนขึ้นไปทางเหนือและตลอดชายฝั่งทะเลทางใต้ของแอฟริกาตะวันตก ซึ่งบริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของสถานีการค้าของยุโรป มีการค้าขายแลกเปลี่ยนอาวุธและสินค้าต่างๆ แลกกับทองคำและทาส
1
ทาสนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมอาชานติมานานแล้ว และทาสกับทองคำก็คือสิ่งที่ช่วยทำให้จักรวรรดิอาชานติเติบโต แต่เมื่อนักสำรวจชาวอังกฤษเข้ามาในบริเวณนี้ สิ่งที่พวกเขาพบนั้นไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ หากแต่คือความป่าเถื่อน
1
“โทมัส เอ็ดเวิร์ด บาวดิช (Thomas Edward Bowdich)” เป็นนักสำรวจชาวอังกฤษที่เป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกๆ ที่เดินเรือเข้ามาในบริเวณจักรวรรดิอาชานติในปีค.ศ.1817 (พ.ศ.2360) และนอกจากความยิ่งใหญ่อลังการของเสื้อผ้าและกองทัพอันเกรียงไกรของอาชานติ ก็ยังมีพิธีกรรมบูชายัญมนุษย์ ซึ่งสร้างความหดหู่และสยดสยองแก่บาวดิชเป็นอย่างมาก
1
โทมัส เอ็ดเวิร์ด บาวดิช (Thomas Edward Bowdich)
แต่ถึงอย่างนั้น อังกฤษก็ได้ก่อตั้งอาณานิคม “โกลด์โคสต์ (Gold Coast)” ในปีค.ศ.1821 (พ.ศ.2364) ในบริเวณที่ใกล้กับดินแดนอาชานติ ทำให้เกิดการค้าระหว่างจักรวรรดิอาชานติและอังกฤษ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองชาติอย่างง่ายๆ เช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าในช่วงแรกการค้าจะรุ่งเรือง แต่ก็ค่อยๆ ถดถอยในเวลาต่อมา และอังกฤษกับอาชานติก็เริ่มจะมีความขัดแย้งกันในเรื่องพิธีกรรมของชาวอาชานติ รวมทั้งเรื่องการค้าทาส และเมื่ออังกฤษตั้งใจแน่วแน่ว่าจะยึดครองจักรวรรดิอาชานติ ก็เป็นที่แน่ชัดว่าความรุนแรงย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
ความรุนแรงเริ่มขึ้นเมื่อทหารอาชานติสังหารทหารแอฟริกาที่อยู่ใต้อำนาจของอังกฤษในปีค.ศ.1823 (พ.ศ.2366) ซึ่งถึงแม้การสังหารนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนักอาชานติ เป็นเพียงความบาดหมางส่วนตัวของทหาร แต่แม่ทัพอังกฤษอย่าง “เซอร์ชาร์ลส์ แม็คคาร์ที (Sir Charles MacCarthy)” ก็ตัดสินใจจะทำสงคราม
เซอร์ชาร์ลส์ แม็คคาร์ที (Sir Charles MacCarthy)
หากแต่กองทัพอังกฤษจำนวน 500 นายก็ต้องถูกล้อมด้วยทหารอาชานติกว่า 10,000 นาย ทำให้ทหารอังกฤษถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ที่หนีออกไปได้มีเพียง 20 นายเท่านั้น
สำหรับแม็คคาร์ที เขาตัดสินใจยิงตัวตายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกจับเป็นตัวประกัน ก่อนที่กะโหลกศีรษะของแม็คคาร์ทีจะถูกนำมาประดับด้วยทองคำ และใช้เป็นถ้วยน้ำสำหรับกษัตริย์อาชานติ
1
ถึงแม้ว่าศึกแรกอังกฤษจะแพ้ หากแต่สงครามต่อๆ มาก็ทำให้จักรวรรดิอาชานติเสื่อมลงเรื่อยๆ และแล้วในปีค.ศ.1874 (พ.ศ.2417) กองทัพอังกฤษสามารถบุกไปถึงคูมาซี และทำการเผาคูมาซีจนราบ
หลังจากพิชิตจักรวรรดิอาชานติและเนรเทศกษัตริย์ออกไปแล้ว ข้าหลวงอังกฤษแห่งอาณานิคมโกลด์โคสต์ นั่นคือ “เซอร์เฟรเดอริก มิตเชลล์ ฮอดจ์สัน (Sir Frederick Mitchell Hodgson)” ก็ได้เดินทางมาถึงคูมาซีในปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) เพื่อเรียกร้องให้ชาวอาชานติยอมรับอำนาจอังกฤษ และก็ได้ทำการหยามเหล่าขุนนางอาชานติ
เซอร์เฟรเดอริก มิตเชลล์ ฮอดจ์สัน (Sir Frederick Mitchell Hodgson)
เมื่อเหล่าขุนนางอาชานติมารวมกันต่อหน้าฮอดจ์สัน ฮอดจ์สันก็ได้ประกาศก้องกลางที่ประชุม
“พระที่นั่งทองคำอยู่ไหน? ทำไมตอนนี้ฉันยังไม่ได้นั่งบนพระที่นั่งทองคำ? ฉันคือตัวแทนของอำนาจสูงสุด เหตุใดจึงให้ฉันนั่งบนเก้าอี้นี้?”
คำดูถูกของฮอดจ์สันสร้างความโมโหแก่ชาวอาชานติเป็นอันมาก และชาวอาชานติก็ตัดสินใจจะเข้าโจมตีฮอดจ์สันและทหารอังกฤษ ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพอังกฤษจะสามารถปราบปรามกลุ่มกบฏได้ทั้งหมด และจักรวรรดิอาชานติก็กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษอย่างเป็นทางการในปีค.ศ.1902 (พ.ศ.2445)
แต่อำนาจของอังกฤษก็ใช่จะอยู่ตลอดกาล
ในปีค.ศ.1957 (พ.ศ.2500) อาณานิคมนี้ก็เป็นดินแดนใต้อำนาจของเครือจักรภพ ก่อนที่อีกไม่กี่ปีต่อมา ดินแดนนี้จะได้รับอิสรภาพและกลายเป็น “ประเทศกานา (Ghana)” ในปีค.ศ.1960 (พ.ศ.2503)
และนี่ก็คือเรื่องราวของความรุ่งเรือง ล่มสลาย และอิสรภาพของจักรวรรดิอาชานติ อดีตอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองแห่งประวัติศาสตร์แอฟริกา
References:
https://www.britannica.com/place/Asante-empire
https://allthatsinteresting.com/ashanti-empire
https://aaregistry.org/story/the-ashanti-empire-a-story/
https://mobile.ghanaweb.com/GhanaHomePage/history/ashanti.php
ประวัติศาสตร์
5 บันทึก
22
3
5
22
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย