Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Side Stories
•
ติดตาม
4 ก.พ. 2024 เวลา 16:01 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The Batman: ประกายแห่งรัตติกาล
“นี่คือหนัง #Batman ที่มืดมนสุดตั้งแต่ที่เคยดูมา”
.
.
ประโยคนี้ยังคงก้องดังในหัวไม่หยุด
จากวินาทีที่ค่อยๆ ลุกเดินออกจากโรง
มาถึงตอนนี้ก็ยังคงคิดแบบนี้อยู่
รู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่ยังคงสูบฉีด
ไหลวนไปทั่วทุกอณูเส้นเลือด
ระหว่างที่กำลังกระแทกเรื่องราวนี้ผ่านแป้นพิมพ์
เมื่อการกลับมาของ “อัศวินรัตติกาล” ในครั้งนี้
ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้จักรวาล DC
กลับมาเป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายอีกครั้ง
ผ่านความรู้สึกที่เหมือนเดิมแต่ต่างออกไป
เพราะนี่คือเรื่องราวที่เล่าเลยว่า
“Bruce Wayne (บรูซ เวยน์)”
เพิ่งสวมชุดค้างคาวได้เพียง 2 ปี
พอกันทีฉากในตำนานที่
พ่อแม่ถูกโจรยิงตายในตรอกซอย
ภาพสร้อยคอมุกที่กระจัดกระจาย
พร้อมชีวิตที่กำลังร่วงหล่นของ
Thomas และ Martha Wayne
คือข้ามไปเลยว่าต้องทำยังไงกว่าจะได้เป็นฮีโร่
ที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋นแบบนี้
ทั้งการไปศึกษาเรียนรู้ศาสตร์แห่งอาชญากร
และฝึกฝนวิทยายุทธ์มากมายในโลกจนแตกฉาน
พร้อมก้าวผ่านความกลัวค้างคาวด้วยการเป็นมันซะเอง
เพื่อแทนสัญลักษณ์ที่น่าเกรงขามมาเปลี่ยนแปลงก็อตแธม
เหมือนการกลับมาของไอ้แมงมุมใน
Spider-man: Home Coming ของค่ายมาร์เวล
ที่ไม่เสียเวลาอารัมภบทเล่าฉากโดนแมงมุมกัด
และฉากลุงเบนตายในอ้อมกอด
จุดนี้ภาพจำของ Batman ที่หลายคนคุ้นเคยกัน
จึงมีความแตกต่างอย่างชัดเจนมากๆ
จากภาพของมหาเศรษฐีวัยกลางคน
ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร
และใช้ชีวิตเป็นศาลเตี้ยปราบอาชญากรน้อยใหญ่
ให้เป็นภาพของค้างคาวหนุ่ม
ผู้เต็มไปด้วยความพุ่งพล่าน เย็นชา คาดเดาได้ยาก
ใช้ความเคียดแค้นจากการตายอย่างปริศนาของพ่อแม่
มาระบายกับพวกอาชญากร เข้าต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต
สู้แบบดิบๆ เหมือนอันธพาลซัดกัน ตามฟีลฮีโร่มือใหม่
ถึงจะยังคงคอนเซปต์ไม่ฆ่าคนเหมือนเดิม
แต่ก็ขอประเคนหมัด ซัดให้แหลก เลาะกระดูก
บดขยี้พวกมันจนกว่าจะสาแก่ใจ
ต่อให้ไม่ตาย ก็ขอใช้เพลิงแค้นนี้
แผดเผาวิญญาณพวกมันจนรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น
แล้วค่อยส่งเข้ากระบวนการยุติธรรมต่อไป
เชื่อว่านี่คือมรดกตกทอดจากครอบครัว
ที่ใช้เป็นแรงผลักดันมุ่งสร้างความแตกต่าง
อยากเปลี่ยน “Gotham” มหานครที่เปรียบดั่งขุมนรก
ชนิดที่อาชญากรไม่เคยหลับไหล
เต็มไปด้วยความเน่าเฟะทั้งปัญหาคอรัปชั่น
จากตำรวจ-ข้าราชการที่มือถือสากปากถือศีล
วางมาดเป็นคนดี ทั้งที่จริงคือทรราช
มองเห็นแต่ผลประโยชน์และพวกพ้อง
เสวยสุขอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชน
ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ไม่เคยมีใครเหลียวมอง
ว่าจะมีอีกกี่คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไร้การดูแล ใส่ใจ
ในบรรยากาศแห่งความมัวหม่น ฝนพรำ กองขยะเต็มข้างทาง
มาเป็นที่ที่ดีกว่าเดิม โดยไม่สนว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร
รอยแผลมากมายบนแผ่นหลัง ยังไม่เท่าความเจ็บปวดในหัวใจ
ใครเล่าจะเข้าใจในความเปลี่ยวเหงา อ้างว้างของบรูซ เวยน์
จุดนี้เลยอยากชวนให้ทุกคน
เดินขึ้นไปดาดฟ้ายามค่ำคืนอันโหดร้าย
แล้วทอดกาย ปล่อยใจ เปิด “Bat Signal” ส่งขึ้นไป
เมื่อแสงไฟปรากฎบนฟากฟ้า นั่นจะไม่ใช่เพียงการเพรียกหา
หากแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงพวกอาชญากรทั่ว Gotham
ให้อกสั่น ขวัญสลาย เตรียมตัววอดวาย
ภายใต้คมเขี้ยวแห่งค้างคาว
คนที่พวกมันคิดว่าแฝงตัวย่างกรายในเงามืด
แท้จริงแล้วเค้านี่แหละเงามืด มาได้จากทุกที่
“I'm vengeance: ข้าคือผู้ล้างแค้น!”
มาดำดิ่งไปกับเรื่องราวระหว่างทางของ #TheBatman
ฮีโร่ผู้เต็มไปด้วยความแค้นและเจ็บปวดสุมแน่นอยู่เต็มอก
พร้อมเปิดเพลง “Something In The Way” ของ Nirvana
เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสระหว่างการอ่านบทความ
ให้เสียงดนตรีและจังหวะเพลงพุ่งผ่านโสตประสาท
และเปิดผนึกจดหมายไขปมปริศนาไปด้วยกัน
กับหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอาย
สืบสวน ดราม่า และจิตวิทยาปั่นหัว
ชวนให้ตึงเครียด อึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง
แบบเดียวกับที่รู้สึกตอนดูหนัง #Joker
ซึ่งผมขอบอกว่านี่ “ไม่ใช่” รสชาติใหม่
ของ Batman แต่อย่างใด
ทว่ากลับมีอะไรซ่อนอยู่มากมาย
จนทำให้มันกลายเป็นมากกว่าหนังฮีโร่ทั่วไปจริงๆ,,,
**ใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ อย่าเพิ่งอ่านนะครับ สปอยล์แหลก**
.
.
1. เรื่อง “โกหก” สามารถเป็นจริงได้ถ้า…
- ตอนเด็กๆ เราต่างถูกสอนว่าต้องแยกแยะให้ออก ระหว่างเรื่องโกหกกับเรื่องจริง ขาวกับดำ ดีกับเลว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นเหยื่อหรือไปเสียเวลา เจ็บตัวเจ็บใจกับอะไรทำนองนั้น ซึ่งก็มักจะมีการยกตัวอย่างชัดเจนว่าแบบไหนเป็นยังไง คนโกหกมักหลบตา ก้มหน้า หรือส่อพิรุธบางอย่างให้เห็นชัดๆ หรือคนหน้าโหด บุคลิกเหี้ยมก็มักถูกตีความว่าอาจเป็นคนไม่ดีได้
ทว่าพอโตมามันกลับไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะยิ่งผ่านชีวิตไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบว่าสังคมมนุษย์ล้วนมีความ “เทาๆ” ซับซ้อนซ่อนอยู่มาก ไม่เป็นไรก็อาจแปลได้ว่าเป็น ไม่รู้ไม่เห็นอ่ะยังงี้น่าจะมีไร หรือบางคนอาจบอกเทให้เราทั้งใจ แต่ความจริงก็ซ่อนมีดไว้อยู่ข้างหลังรอวันแทง ไม่เว้นแม้แต่ข่าวบางอย่าง เรื่องบางเรื่องบนหน้าสื่อที่มองจากดาวพลูโตลงมายังรู้เลยว่าโกหก เป็น Fake News ที่ถูกทำให้จริงหรือเกินความจริงไปไกล
เช่นกันกับ Gotham ที่เต็มไปด้วยเรื่องโกหกมากมาย ไม่มีสัจจะในหมู่โจร(คนเลว) อย่างแท้จริง เมื่อทุกคนพร้อมฉวยโอกาส หยิบมีดดาบมาทิ่มแทงกันแลกกับผลประโยชน์อันหอมหวาน อย่างตอนที่โธมัส เวยน์ตกที่นั่งลำบาก พยายามบอกนักข่าวให้กลบข่าวเมียตัวเองเป็นจิตเวชเข้าออกอาร์คัม รพ.บ้า เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองระหว่างลงชิงตำแหน่งเก้าอี้นายกเทศมนตรี
พอนักข่าวไม่ยอม เลยกระเสือกกระสนขอร้องเจ้าพ่อมาเฟียอย่าง “Carmine Falcone (คาร์ไมน์ ฟัลโคน)” ที่เค้าเคยช่วยชีวิตไว้ แต่กลายเป็นมันทำเกินเบอร์ ฆ่านักข่าวทิ้ง ให้ฟีลแบบอ้าว! โทษทีว่ะ ไม่ได้บอกว่าจะให้จัดการแบบไหนนี่ เห้ยยยยเมิ้งงงง!! จนนำไปสู่การตายอย่างปริศนาของโธมันและมาร์ธาที่ยังไม่มีการเฉลยว่ามันทำหรือไม่
ที่แน่ๆ พอมหาเศรษฐีผู้นี้ตาย ทั้งฟัลโคนและพรรคพวก รวมถึงกลุ่มตำรวจ ข้าราชการ อัยการ และเหล่าชนชั้นสูง ไม่เว้นแม้แต่นายกเทศมนตรีที่ขายวิญญาณให้มาเฟีย ต่างฉวยโอกาสนี้มาร่วมมือ จัดฉากป้ายความผิดให้เจ้าพ่อมาเฟียเบอร์ 2 อย่าง “Salvatore Maroni (ซัลวาตอเร่ มาโรนี่)” ถูกจับกุม เพื่อจะได้เทคโอเวอร์ธุรกิจค้ายามาผลิตนำเข้าส่งออก พี้กันเพลินๆ
และรุมทึ้งเอาเงินกองทุนกว่าพันล้านดอลล่าห์ที่โธมัสจะใช้ในการจะฟื้นฟูปฏิรูปเมือง มาแบ่งชิ้นปลามันสนองตัณหาของตัวเอง จากเงินที่จะถูกใช้เพื่อทำความดี พัฒนาเมืองให้เป็นที่ที่ดีกว่าเดิม กลับเป็นหอกทิ่มแทงทำให้มันเน่าเฟะกว่าที่เคย ตลกร้ายจริงๆ
ทว่ากลับไม่เคยมีใครกล้าตีแผ่เรื่องราวนี้ออกไป ทั้งสื่อ ทั้งตำรวจ เพราะต่างหวาดเกรงอำนาจอิทธิพลของฟัลโคนที่คุมทุกอย่างไว้หมด เป็นนายกเทศมนตรีในเงามืด ครองเมืองมากว่า 20 ปี ถ้ารู้อะไรก็ต้องแสร้งไม่รู้ เห็นก็ต้องแสร้งไม่เห็น พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ใครบังอาจมายุ่งหรือแพร่งพรายความลับมีตาย ช่างเป็นเมืองถูกฉาบคลุมด้วยคำโกหกหลอกลวงไปหมด
จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ “The Riddler (เดอะริดเลอร์)” หรือ Edward Nashton (เอ็ดเวิร์ด แนชตัน) อยากออกมากระชากหน้ากากคนหน้าไหว้หลังหลอกพวกนี้ให้หมด ด้วยการเชือดไก่ให้ค้างคาวและสังคมได้ดูว่าก็อตแธมมันเน่าในขนาดไหน ถ้าไม่ทำให้เห็น ก็คงไม่เข็ด ทำชั่วต่อ ใครเป็นพวกกันก็พร้อมอวยกัน หมดประโยชน์เมื่อไหร่นั้น ก็เตรียมตัวโดนเขี่ยทิ้งจากกระดานไป ข่าวสารอะไรที่จะส่งผลเสียต่อตัวเอง ถ้าไม่บิดเบือนก็จะกลบทิ้งทันทีเรื่องโกหกเป็นจริงได้ ถ้ามี “ผลประโยชน์” เป็นตัวนำ
2. ความต่างระหว่างชนชั้น
- เชื่อมั้ยครับ ทั้งแบทแมนและริดเลอร์ต่างเป็นภาพสะท้อนของกันมากกว่าจะถูกแยกด้วยนิยมคำว่าตัวเอกและตัวร้ายอย่างเดียว เพราะทั้งคู่มีความเหมื่อนกันอยู่มาก ทั้งการเลือกทำบางอย่างเพื่อสนองความแค้นตัวเอง มีความจิตหน่อยๆ ที่ได้ระเบิดความมันส์ไปกับห้วงอารมณ์นั้น ริดเลอร์ชอบใจเวลาเห็นคนโดนปั่นหัว ตามเกมตัวเองไม่ทัน ยิ่งพวกระยำตำบอนที่ภาพลักษณ์ดี แต่จริงๆ หาดีไม่ได้ พอได้แฉพวกมัน ยิ่งสุขใจดีนักแล
ส่วนแบทแมนก็ปล่อยใจไปกับการกระทืบพวกอาชญากร ชอบปั่นเหมือนกันอย่างตอนที่ไปตามสืบเบาะแสจาก “Penguin” ในโรงงานขนยาเสพติดของมาโรนี่ พอถึงเวลาออกล่าก็ไม่ได้สตาร์ทรถควบ Batmobile ออกมารีบจับตัวมันทันที กลับเบิ้ลเครื่องไปมา ให้เสียงเครื่องยนต์เป็นเหมือนเสียงมัจจุราชเตือนขู่พวกมันว่าหนีไปสิ กูต่อให้ออกตัวก่อนเลย ยังไงมึงก็หนีไม่รอดหรอก ทำเอาเพนกวิ้นเสียจริตไปพอควรจนต้องโวยวายทำกร่างสู้ กว่าจะรวมสติขับหนีออกไปก่อน
โดยอีกอย่างที่พวกเค้าเหมือนกันคือการเป็น “เด็กกำพร้า” ที่ไร้ความอบอุ่น หัวใจถูกความแค้นหล่อหลอมให้กลายเป็นคนอยากแก้แค้นเพื่อเอาคืนความอยุติธรรมทั้งหมดที่เกิดกับตัวเองและครอบครัว นั่นจึงทำให้ริดเลอร์อยากเข้าหาแบทแมน เพราะเหมือนเห็นตัวเองในนั้น
แต่สิ่งที่แยกพวกเค้าออกจากกันอย่างชัดเจนก็คือ “ความเหลื่อมล้ำ” ถึงฮีโร่อย่างเค้าจะกำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก แต่ก็ยังได้อยู่อย่างสุขสบาย เฝ้ามองก็อตแธมจากหอคอยงาช้าง มีทุกอย่างให้พร้อมกิน พร้อมใช้ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรให้มากมาย สังคมให้การยอมรับและสนใจ ขณะที่อีกฝ่ายต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานกำพร้าซึ่งไม่เคยมีใครเหลียวแล จนถูกทิ้งร้าง ว่างเปล่า เด็กๆ ในนั้นไม่ติดยาก็เอาตัวไม่รอด
กว่าริดเลอร์จะโตมาพอเป็นผู้เป็นคนมีงานทำได้ ก็ต้องตะเกียกตะกายอยู่มาก สิ่งเหล่านี้เลยเป็นแรงขับให้เค้ามีการแสดงออกที่ต่างออกไป พร้อมฆ่าคน ถ้ามันสมควรตายจริงๆ สังคมจะได้เห็นเป็นรูปธรรมกันไปเลย ถ้าไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในตรอกซอกซอยอันมืดมน สิ้นหวัง หมดหนทาง ก็คงไม่มีวันเข้าใจ
3. “มองหา” และ “มองเห็น” ในทุกความเป็นไปได้
- ถึงแบทแมนหรือบรูซจะโตมาพร้อมสรรพ มีสมบัติพัสถานล้อมรอบ มีอุปกรณ์เครื่องมือสุดไฮเทคให้เลือกสรรใช้งานได้ดั่งใจ ทั้งรถ ทั้งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล หลักฐาน เบาะแสต่างๆ ทั้งคอนแทคเลนส์อัจฉริยะที่ช่วยบันทึกเหตุการณ์ที่พบเห็นไว้ได้หมดจด สแกนได้กระทั่งชื่อและข้อมูลเบื้องต้นของเป้าหมาย แต่นั่นก็เป็นเพียงองค์ประกอบรอบๆ ที่อาจไม่มีค่าอะไรด้วยซ้ำ
หากปราศจากมันสมอง ไหวพริบ การช่างสังเกต นำข้อมูลต่างๆ มาต่อยอด คิด วิเคราะห์หาจุดเชื่อมโยงให้ได้ว่าเบื้องหลังหรือใจความสำคัญคืออะไร ไม่ว่าในจักรวาลไหน เวลาที่ตัวร้ายแต่ละคนโยน “โจทย์” มาให้แก้ ก็จะพยายามเข้าไปสวมแว่นมองในมุมของมันผู้นั้น แต่ละข้อความที่ริดเลอร์สื่อมามันหมายถึงอะไร พอคิดได้ไม่พอ ต้องว่าแล้วยังไงต่อ Step ของมันจะทำอะไร ทำยังไง ใครจะต้องได้รับผลอีกบ้าง แกะอินไซต์นั้นให้หมดเพื่อจะได้รีบกู้วิกฤตก่อนมันจะเกิด
อย่างตอนเก็บหลักฐานจากศพนายกฯ มาถอดรหัส พอ “Alfred Pennyworth (อัลเฟรด เพนนีเวิร์ท)” กำลังตัน พยายามวิเคราะห์เป็นจุดๆ บรูซเลยบอกให้มองในภาพรวมสิ จนสังเกตเห็นคำว่า “Drive” ที่หมายถึงแฟลชไดรฟ์ในรถพร้อมนิ้วนายกฯ ที่ถูกตัดไว้เปิดไฟล์หลักฐานความจริงหลายอย่าง
หรือตอนได้โจทย์ตามหา “หนู” ให้เจอแล้วพามายังที่แจ้งเพื่ออะไร “Unmask The Truth” ทำไปทำไม แม้แต่วลี “บาปของพ่อสู่ลูก” ที่สลักประโยคตามกำแพงสถานกำพร้าร้าง พร้อมคลิปโธมัสหาเสียงชูนโยบายทุ่มทุนปฏิรูปก็อตแธม เลยรู้ว่าเป้าหมายต่อไปคือตัวเค้าและคนใกล้ตัวอย่างอัลเฟรดที่กำลังจะโดนเล่นงาน จนโดนซีโฟร์เข้าเกือบจังๆ
พอเจอแบบนั้นเลยรีบ “มองหา” เอาหลักฐาน ข้อมูล และ Ester Eggs ทุกอย่างมาวางรวมกัน พ่นสีสเปรย์ระบุใจความสำคัญแต่ละเรื่อง หาจุดเชื่อมโยงเพื่อให้เห็นภาพรวมและนำไปสู่วิธีแก้ จนสามารถรู้ได้ว่าริดเลอร์ต้องการ Unmask the truth จริงๆ คือทั้งกระชากหน้ากาก ถอนรากถอนโคนพวกหนูทั้งหมด ทั้งพวกสายจากกรมตำรวจ อัยการ นักการเมือง หรือใครที่ทำงานให้ฟัลโคน ต้องถูกเอามาเปิดโปงสู่สายตาสาธารณะและปลิดชีวิตพวกมันทิ้ง
ทั้งแฉความลับตระกูลเวยน์ที่ว่าพ่อแม่นายก็ไม่ได้วิเศษวิโสหรอกนะ หึหึ สิ่งที่ทำอยู่ แน่ใจเหรอว่าเป็นมรดกของครอบครัวจริงๆ เมื่อกองทุนที่ว่าไม่เคยถูกใช้ตามเป้าจริงๆ ทำให้ริดเลอร์และเด็กกำพร้าหลายคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เลยอยากทำให้เค้าได้ลิ้มรสความรู้สึกที่ว่านี้บ้าง เมื่อเข้าใจสิ่งที่ตัวร้ายคิดและรู้สึกทั้งหมดได้ เลยสามารถ “มองเห็น” ว่าต้องทำยังไงต่อเพื่อหยุดยั้งการกระทำอันโหดเหี้ยม
สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้แบทแมนได้รับสมญานามว่า “The World's Greatest Detective: นักสืบที่เก่งที่สุดในโลก” เพราะถึงจะไม่มีพลังพิเศษใดๆ แต่ถ้ามีเวลาให้ได้วิเคราะห์หาจุดแข็ง จุดอ่อน และแรงจูงใจของศัตรู เค้าสามารถโค่นใครก็ได้หมด ไม่เว้นแม้กระทั่งผองเพื่อนฮีโร่ใน Justice League ด้วยกัน
ถึงในเวอร์ชั่นนี้สกิลการสืบจะยังแอบไม่ถึงขั้นนั้น ด้วยความที่ถูกริดเลอร์นำหน้า 1-2 ก้าวตลอด จนต้องเล่นตามเกมซะส่วนใหญ่ ทว่าในมุมที่เค้าเพิ่งเป็นศาลเตี้ยมาได้ 2 ปี ประสบการณ์ ชั่วโมงบินยังน้อย จุดนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่ ยังมีเวลาอัพเวลสกิลด้านนี้อีกมาก
ถึงจะเป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้เห็นแบทแมนฉะมือกับตัวร้ายแบบแลกหมัดหรือวัดกระบวนท่ากันจังๆ แต่ดีกรีความมันส์ก็ไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด เมื่อทุกช็อตคือการชิงไหวชิงพริบ วัดเหลี่ยมกันไปมาว่าใครจะแก้เกมได้ก่อนกัน
4. สิ่งที่เป็น อาจมากกว่าสิ่งที่เห็น
- หากตัดเรื่องปมความแค้นในอดีตออกไป ชีวิตของบรูซ เวยน์แทบจะเรียกว่าเกือบสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ ทั้งรูปหล่อ โปรไฟล์ดี มาจากตระกูลสูงส่งผู้ก่อตั้งก็อตแธม มีธุรกิจครอบครัวเป็นพันล้านหนุนหลัง มีหญิงงามมากมายพร้อมยื่นบัตรคิวเข้าจับจอง มีเทคโนโลยี นวัตกรรมเพียบพร้อม หยิบใช้งานได้ดั่งใจ มีพ่อบ้านทหารเก่าคอยเคียงใกล้ ดูแลอยู่ทุกวัน
แต่ถึงจะรวยล้นฟ้าแบบนั้น ชีวิตบรูซเวอร์ชั่นนี้กลับไม่มีความสุขเลยแม้แต่วินาทีเดียว โตมากับเปลวไฟแห่งความแค้นที่อัดแน่นสุมอก ยิ่งไม่รู้ว่าพ่อแม่ตายยังไง ยิ่งเก็บกดกว่าเดิม กลายเป็นเด็กมีปัญหา อีโมหน่อยๆ ขอบตาดำคร่ำเคร่ง เก็บตัว ไม่คิดออกสังคมหรือสานต่อธุรกิจ “Wayne Enterprises” ของครอบครัว
มัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องอาชญากร ถึงจะบอกว่านี่สิ่งที่ทำอยู่นี่แหละคือการสืบมรดกครอบครัว ทว่าเนื้อแท้แล้วก็ทำไปเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจทั้งหมดออกมาเท่านั้นเอง ทว่ายิ่งทำไปกลับยิ่งว่างเปล่าข้างใน หลงทาง ไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้ก็อตแธมได้เลย
เมื่ออัตราการก่ออาชญากรรมยังเท่าเดิม ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดของชายหนุ่มผู้นี้ให้บาดลึกถึงหลอดเลือดหัวใจ ไม่รู้จะทำไง ทำต่อไปเรื่อยๆ ละกัน เลยทำให้เค้าสูญเสียโอกาสด้านอื่นๆ ในชีวิตไปมากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา ขนาดตอนไปร่วมงานศพอดีตนายกเทศมนตรี มีผู้คนและสื่อล้อมรอบรอจ่อไมค์ มี Bella Reál แคนดิเดตอีกคนที่ลงสมัครนายกเทศมนตรีมาชวนร่วมงานกัน ก็เหมือนไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย แม้แต่อัลเฟรดที่อยู่ใกล้ก็เหมือนอยู่ไกล หยุดได้แล้ว คุณไม่ใช่พ่อผม
จากจุดนี้อาจทำให้บรูซดูเป็นคนเข้าถึงยาก ไม่น่าคบ ไม่น่าเสียเวลาด้วย เป็น Batman วัยหนุ่มที่ยังทำเพื่อตัวเองอยู่ แต่มองอีกแง่นี่คือฮีโร่ที่ “น่าสงสารที่สุด” คนนึงเลยเหมือนกัน ข้างนอกมีพร้อมทุกอย่าง ข้างในกลับอ้างว้าง มองไม่เห็นทางออก กินนอนอยู่กับความแค้นสุดแสนเจ็บปวด
ยิ่งมารู้ความจริงเรื่องพ่อแม่อีกยิ่งใจสลาย ศรัทธาที่เคยมีอยู่ก็เป็นอันสั่นคลอน ทั้งที่จริงแล้วโธมัส เวยน์ พ่อคนเก่งของเค้าก็เป็นคนดีจริงๆ อย่างที่อัลเฟรดบอก เพียงแค่ทำผิดพลาดอย่างไม่ได้ตั้งใจ พอรู้ว่าฟัลโคนฆ่านักข่าวคนนั้นก็เครียด เสียใจขั้นสุดจนคิดจะเอาความจริงไปบอกกับตำรวจ ก่อนจะนำมาซึ่งโศกนาฏรรมของตัวเองในภายหลัง
เป็นอีกแง่มุมที่หนังได้สะท้อนให้เรายิ่งตระหนักว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งฮีโร่เองก็เป็นมนุษย์คนนึงที่มีบาดแผล คุมอารมณ์ไม่อยู่ สู้เก่งแค่ไหนก็โดนชกสวนกลับได้ ร่อนกลางอากาศก็พลาดตกลงมาได้ หรือคนดีๆ โปรไฟล์พร้อมอย่างโธมัสก็ทำพลาดได้เหมือนกัน ไว้ใจคนมากไป ถึงจะเคยช่วยชีวิตมันไว้ ก็ลืมคิดอ่านในสันดานมาเฟียจนตัวเองเดือดร้อน โลกนี้จึงอาจไม่มีขาวไม่มีดำซะทีเดียว เหรียญก็อาจไม่ได้มีสองด้านเช่นกัน เพราะสิ่งที่คนๆ นั้นเป็น อาจมากกว่าสิ่งที่เห็นในมุมทั่วไป
5. การมี “มิตรแท้” คือโชคดีที่สุดแล้ว
- อ่านกันมาถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนคงคิด หนังเรื่องนี้แมร่งจะดาร์คไปไหน ไม่มีอะไรน่าจรรโลงใจเลยหรือ ยังครับ ยังมีอยู่หลายมุมเหมือนกันล่ะ เพราะท่ามกลางปมชีวิตที่ดูโชคร้าย บรูซก็ยังมีความโชคดีที่นอกเหนือจากรูปร่างและฐานะทางบ้านอยู่ ถึงจะสูญเสียพ่อแม่ผู้ไปก็ยังได้เจอ “มิตรแท้” ที่รักและเชื่อในตัวเค้าจริงๆ
ตั้งแต่อัลเฟรด พ่อบ้านผู้คอยดูแลเคียงข้างเค้าไม่เคยห่าง ยามสู้ มีดในครัวก็ใช้เป็นอาวุธร้ายได้ ยามทั่วไปก็ใช้หั่นรังสรรค์เมนูมากมาย พยายามเติมเต็มชีวิตที่ขาดหายไปให้ได้มากที่สุด และไม่ว่าจะเป็นแบทแมนในจักรวาลไหน บรูซจะเคยงี่เง่า ดื้อรั้น หรืออีโก้ยังไง อัลเฟรดก็ไม่เคยหมดศรัทธาในตัวเค้าเลยซักครา เปรียบเสมือน “พ่อบุญธรรม” หรือลมใต้ปีกที่คอยส่งให้ค้างคาวตัวนี้บินสูง หรือต่อให้เพลี่ยงพล้ำโรยแรง ก็พร้อมจะช่วยเย็บแผล ประคองให้บินต่อได้ใหม่
การมี “James Gordon (เจมส์ กอร์ดอน)” หรือ “Jim” ตำรวจน้ำดีเพียงคนเดียวในเมืองห่าเหวนี้ ที่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ ไม่เคยโกงกินใดๆ ถึงแบทแมนจะเป็นศาลเตี้ย ดูเป็นตัวประหลาดในสายตาพวกตำรวจและอาชญากร และไม่รู้ว่าโฉมหน้าภายใต้หน้ากากคือใครกันแน่ จิมก็ไม่เคยตัดสิน
เพราะมองที่การกระทำและเจตนารมณ์ของแบทแมนเป็นหลักว่า เป็นลมใต้ปีกอีกข้างที่คอยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ พึ่งพาอาศัย หาทางหนีทีไล่ให้กัน สืบสวนไขคดีไปด้วยกันจนสุด ท่ามกลางความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกในก็อตแธม อย่างน้อยก็ยังมีใครอีกคนที่เชื่อใจได้จริงๆ สิ่งเหล่านี้เลยทำให้พวกเค้าพร้อมจับมือช่วยกันสู้ เวลาใครลำบาก ขอเพียงเรียกหา บอกกันมา อีกฝ่ายก็พร้อมจะช่วยทันที ถ้าขาดใครไปคงทำภารกิจได้ไม่สำเร็จอย่างที่ต้องการ
หรือแม้แต่การได้เจอคนแปลกหน้าอย่าง “Selina Kyle (เซลิน่า ไคล์)” หรือ “Catwoman” ที่พอได้จัลพลัดจับผลูมาลงเรือลำเดียวกันเพื่อไขคดีว่าใครอยู่เบื้องหลังการตายของแอนนิก้าเพื่อนซี้เธอ จนไปมาก็ตกหลุมรักกัน ทำเอาหลายคนอาจไม่อินในจุดนี้ที่ทุกอย่างดูเร็วและเบาบาง สื่อไม่ชัดนักว่ารักกันได้ไง จุดนี้อาจพอตีความได้ว่าทั้งคู่เหมือนมองเห็นตัวเองในกันและกัน
ถึงแคทวูแมนจะคล้ายริดเลอร์มากกว่าในความเป็นเด็กกำพร้าที่มาจากความไม่มีอะไรเลย ต้องต่อสู้ ไต่เต้าเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดที่ตัวเองต้องการในที่สุด ถึงภายนอกจะดูเป็นหญิงแกร่ง ชั้นดูแลตัวเองได้น่ะพ่อหนุ่ม แต่ข้างในลึกๆ แล้วพวกเค้าต่างก็เคว้งคว้าง ว่างเปล่า ไม่เคยสัมผัสได้ถึงไออุ่นรักจากใคร พอได้มาเจอใครอีกคนที่เป็นศาลเตี้ยเหมือนกัน ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เดียวกัน แม้จะต่างวิธีการ ก็ทำให้พลันรู้สึกชีวิตมีหวังขึ้นมาในมุมที่ว่าเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียว
“Maybe we’re not so different. Who are you under there?: บางทีเราอาจคล้ายกันมากกว่าที่คิด คุณเป็นใครกันนะ ใต้หน้ากากนี้”
Selina
การได้มาเจอแบทแมนนั้น นอกจากเธอจะมีโอกาสได้ร่วมกอบกู้ก็อตแธมจากเงื้อมมือริดเลอร์ เธอยังได้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น อย่างตอนจะฆ่า ตร.เลว และฟัลโคนพ่อแท้ๆ ผู้เลวทราม ก็ได้แบทแมนห้ามไว้ คอยเตือนใจเธอให้ได้สติ “Selina, don’t throw your life away: เซลิน่า อย่าให้ชีวิตคุณพังไปกับเรื่องพวกนี้เลย”
ประมาณว่าถ้าปล่อยใจไปฆ่าพวกอาชญากร เราก็คงแทบไม่ต่างอะไรจากมัน อย่าเสียคุณค่าในตัวเองจากเรื่องพวกนี้เลย เพราะแบบนั้นทั้งคู่เลยเห็นอกเห็นใจกัน เข้ากันได้ดี แม้สุดท้ายเซลิน่ามองว่าก็อตแธมมันเกิดเยียวยาเลยเลือกลาจากไปที่อื่น ในฉากที่ต่างคนต่างควบมอไซค์แยกไปตามทางของตัวเอง
แต่ความจริงนั้นมันอาจเป็น “คนละเส้นทางเดียวกัน” ในถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ยังมีอุดมการณ์เหมือนกัน อาจมีวันมาบรรจบกันได้อีกทีในภาคต่อๆ ไป หรือแม้แต่ริดเลอร์ที่ผิดหวัง โดนพวกแบทแมนขัดขวางจนร้องไห้คาห้องขังก็ยังได้เจอเพื่อนสไตล์เดียวกันหัวเราะลั่นอยู่ห้องข้างๆ ยิ่งคุยยิ่งถูกคอเหมือนผีเห็นผี
ตอนเด็กเราอาจยากมีเพื่อนเยอะมากมาย โตมาขอเพื่อนน้อยๆ แต่เป็นเพื่อนแท้ที่จริงใจ เข้าใจในตัวเรา นั่นก็โชคดีพอ
6.เปลี่ยนจากสร้าง “ความกลัว” มาเป็น “ความหวัง”
- ทำไมตลอด 2 ปีที่เป็นแบทแมนมา บรูซถึงไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้ก็อตแธมได้เลย? ทั้งที่พวกอาชญากรก็กลัวเค้าทุกครั้งที่พวกมันเห็น Bat Signal บนฟากฟ้า กลายเป็นยิ่งจัดการเท่าไหร่ก็ยิ่งมีงอกมาใหม่ให้ปวดหัวตามมาอีก สาเหตุหลักคงเป็นเพราะความแค้นไม่อาจล้างได้ด้วยความแค้น ต่อให้ได้ระบายไปก็จะอยากระบายอีก
และความรุนแรงก็ไม่สามารถหยุดได้ด้วยการใช้ความรุนแรงด้วยกัน ยิ่งใส่พลังลบไปก็ยิ่งมีแต่พลังลบสะท้อนกลับมา ทำพวกกูใช้มั้ยไอ้แบทแมน เดี๋ยวเจอดีมั่ง! เกิดเป็นวัฏจักรการล้างแค้นไม่รู้จบ อย่างตอนท้ายที่เค้าต้องสู้กับกองทัพริดเลอร์ที่บุกมากลางงานแถลงนายกเทศมนตรี ซัดกันนัว ล้มกันระนาว
จนมีคนนึงที่โดนอัดคว่ำและถูกถอดหน้ากากแบบ Zodiac Killer ออก พอพวกแบทแมนถามไปว่าแกเป็นใคร คำตอบที่ได้คือ “I'm vengeance: ข้าคือผู้ล้างแค้นไง!” เหมือนเป็นการเย้ยหยันและสื่อทางอ้อมว่าก็แบทแมนนี่แหละที่เป็นผู้สร้างพวกอาชญากรขึ้นมาอีก จากเดิมที่ก็อตแธมได้สร้างมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว เหมือนประโยคที่อาจเคยได้ยินกันว่า “Villains are not born, they are made: ตัวร้ายไม่ได้ร้ายโดยกำเนิด พวกมันถูกสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ทำให้เป็นแบบนั้น”
และสาเหตุอีกข้อที่สำคัญคือต่อให้แบทแมนกำจัดอาชญากรไปเรื่อยๆ ได้จริง
ก็อตแธมก็ยังคงเป็นก็อตแธมเหมือนเดิมอยู่ดี เพราะปัญหาที่แท้จริงมันไม่เคยถูกเปิดโปงมาให้ได้รับการแก้ไข หรืออีกแง่คือไม่มีใครกล้าและมีศักยภาพพอจะสืบสาวหาต้นตออย่างฟัลโคนได้ มันเลยมีการทุจริต โกงกิน ติดสินบนกันอยู่ร่ำไป คุณภาพชีวิตประชาชนอีกมากมายก็ถูกหมางเมิน จนเราเห็นภาพคนเร่ร่อน ขยะกองโต และการก่อเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่เว้นวันเสมือนเป็น Signature ของเมืองไปแล้ว เมื่อต้นเหตุไม่ถูกกำจัด ก็ยากที่จะแก้ปัญหาได้จริง
จนตอนท้ายที่ต้องสู้กับพวกริดเลอร์และเห็นประชาชนวิ่งวุ่นหนีน้ำท่วม จากที่ริดเลอร์ตัวหัวหน้าทำการจุดระเบิดแนวกั้นเขื่อน ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เค้าได้เห็นว่า กุญแจสำคัญที่จะช่วยก็อตแธมได้ไม่ใช่การสร้าง “ความกลัว” หากแต่เป็นการสร้าง “ความหวัง” เป็นพลังให้เมืองที่มืดมนได้เห็นแสงสว่าง เห็นทางไปต่อ เลยตัดสินใจเสี่ยงตายเข้าช่วยนายกฯ และผู้คนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายให้รอดพ้นวิกฤตไปด้วยกัน
“การล้างแค้นไม่อาจเปลี่ยนอดีตของผมหรือของใครได้เลย ผมต้องเปนมากกว่าเดิม ผู้คนต้องการความหวัง ว่ามีคนอยู่ข้างเค้า เมืองนี้มีแผลเปน แต่ถ้าเรารอดมาได้ มันจะให้พลังเรา ให้อดทน เข้มแข็งพอที่จะสู้ต่อไป” –
The Batman
แน่นอนการสร้างความกลัวหรือเล่นไม้แข็งบ้างอาจยังจำเป็นอยู่ในบางกรณี แต่การสร้างความหวังก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไป การปราบอาชญากรอย่างเดียวคุณอาจได้ชื่อว่าเป็นศาลเตี้ยผู้เก่งกาจ การปกป้องผู้คนต่างหากที่จะทำให้คุณได้เป็น “ฮีโร่” จริงๆ
ฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่
การตีความ Batman ในรสชาติใหม่ซะทีเดียว
เพราะมันคือรสชาติดั้งเดิมแบบที่ “ควรจะเป็น”
ทั้งโทนความตึงเครียดสไตล์หนังสืบสวน ดราม่า
และความเป็น “Coming of Age” จริงๆ
ในระยะเวลาที่หนังดำเนินเรื่องเพียง 7 วัน
จาก 31 ต.ค.- 6 พ.ย. กลับทำให้ได้
เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย
ผ่านตัวตนของทั้งแบทแมนและบรูซที่เติบโตขึ้น
ทั้งฝีมือ ประสบการณ์ และจิตวิญญาณแห่งคุณธรรม
ชื่อของหนังถึงมีการใช้ “The” นำหน้า
เพื่อจะสื่อเรื่องราวและมุมมองของ
Batman และ Bruce Wayne แบบเต็มๆ
แม้ว่าเค้าจะไม่ใช่ฮีโร่ที่มีพลังพิเศษเหนือใคร
แต่ด้วยหัวจิตหัวใจ ความมุ่งมั่น ฉลาด
มีไหวพริบ ตีความเก่ง มองเกมออก
ไม่ว่าเหล่าร้ายจะเก่งแค่ไหน
ก็จะหาทางแหวก “จุดอ่อน” เล่นงาน
โต้กลับพวกมันได้ในที่สุด
สิ่งเหล่านี้แหละคือจุดเด่นที่สุดไม่เหมือนใคร
เพราะฮีโร่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ
แต่คือคนที่พร้อมโอบรับทั้งความสุขความเจ็บปวด
มาขัดเกลา พัฒนาตัวเองให้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น
สร้างคุณค่าให้เมืองและผู้คนได้จริงๆ
เฉกเช่นประกายแห่งรัตติกาลที่กำลังส่องสว่าง
สร้างพลังความหวังให้เมืองก็อตแธม,,,
netflix
บันเทิง
ภาพยนตร์
บันทึก
2
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย