6 ก.พ. เวลา 08:32 • หุ้น & เศรษฐกิจ

3 เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีที่มีการเลือกตั้ง

ปี 2024 เป็นปีที่มีการเลือกตั้งสำคัญในหลายประเทศ โดยหนึ่งในการเลือกตั้งที่ทั่วโลกจับตามองคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจากข่าวล่าสุดค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน
แล้วในมุมมองของการลงทุน ปีที่มีการเลือกตั้งควรเป็นปีที่นักลงทุนต้องกังวลหรือไม่?
J.P.Morgan ได้ตอบคำถามนี้ผ่าน 3 เรื่องที่นักลงทุนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินในปีที่มีการเลือกตั้ง
เรื่องที่ 1: ตลาดหุ้นไม่ดีในปีที่มีการเลือกตั้ง?
ความจริง: ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีที่มีการเลือกตั้งและปีที่ไม่มีการเลือกตั้งไม่แตกต่างกันมากนัก
🟡จากข้อมูลย้อนหลัง 95 ปี นับตั้งแต่ปี 1928-2023 ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ในปีที่ไม่มีการเลือกตั้ง เทียบกับปีที่มีการเลือกตั้งที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.5% ต่อปี แม้จะน้อยกว่าเล็กน้อย แต่ยังคงแข็งแกร่ง
🟡ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 7.5% ในปีที่มีการเลือกตั้ง ไม่แตกต่างกับปีอื่นๆ ที่ 8%
🟡อย่างไรก็ตาม ปีที่มีการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนถึงวันลงคะแนนเสียง จากข้อมูลตั้งแต่ปี 1980 ปีที่มีการเลือกตั้งโดยเฉลี่ยมี drawdown ที่ 17% แต่ในปีที่ไม่มีการเลือกตั้งโดยเฉลี่ยมี drawdown เพียง 13%
🟡ทั้งนี้ ความผันผวนเป็นเรื่องปกติที่ต้องนักลงทุนต้องเจอ แต่มีแนวโน้มที่จะเห็นถึงความผันผวนมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
เรื่องที่ 2: ตลาดหุ้นจะพังไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีก็ตาม?
ความจริง: ภูมิหลังทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นมากกว่าผลลัพธ์จากการเลือกตั้ง
🟡แม้ว่าหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งบางปีมีความผันผวนมากกว่าปีอื่นๆ ซึ่งมาจากภูมิหลังของเศรษฐกิจมหภาคมากกว่าเรื่องการเลือกตั้ง
🟡ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดในปี 2020 กระแสของการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศอีกครั้งหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้น ซึ่งถูกตลาดพูดถึงมากกว่าอุดมการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างโจ ไบเดน และทรัมป์ในขณะนั้น
🟡หรือหากดูในปี 2008 เป็นปีที่มีการเลือกตั้งระหว่างบารัค โอบามา พรรคเดโมแครต ที่ลงสมัครชิงชัยกับจอห์น แมคเคน พรรครีพับลิกัน ในช่วงนั้นวิกฤตการเงินโลกหรือวิกฤตซับไพรม์ที่กำลังเกิดขึ้นเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้น มากกว่านโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้งเรื่องสงครามในอิรักและนโยบายด้านสาธารณสุข
🟡จากข้อมูล 40 ปี นับตั้งแต่ปี 1984 โดยเฉลี่ยแล้วปีที่มีการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นก็ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในอีก 1 ปีต่อมา
🟡โดยเฉลี่ยดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 1 ปีหลังการเลือกตั้ง (เส้นสีม่วง)
เรื่องที่ 3: Fed ไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในปีที่มีการเลือกตั้ง?
ความจริง: Fed มีการปรับขึ้นและลดอัตราดอกเบี้ยในปีที่มีการเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายการเงินขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องการเมือง
🟡ย้อนกลับไปในตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 จะเห็นว่าปี 2012 เป็นปีการเลือกตั้งปีเดียวที่ Fed ไม่ได้ปรับขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องการเมือง
🟡Fed มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินทั้งปรับขึ้นและลดอัตราดอกเบี้ย แม้จะเป็นปีที่มีการเลือกตั้ง
🟡จุดสนใจหลักของ Fed ในวันนี้คือการพยายามทำให้เศรษฐกิจเกิด Soft Landing ซึ่งไม่ใช่งานเล็กๆ ดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างระมัดระวัง เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับสู่เป้าหมาย และไม่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
🟡เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่อาจเปลี่ยนแปลงคาดการณ์การเติบโต อัตราเงินเฟ้อ รวมไปถึง Earnings บางส่วนอาจส่งผลกระทบต่อแต่ละภาคส่วนที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
🟡แต่ ณ จุดนี้ของการแข่งขัน ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น บางนโยบายบางข้อเสนอที่มีการพูดถึงอาจจะไม่ผ่านก็ได้ หรือแม้แต่นโยบายหรือข้อเสนอที่มีผลกระทบสูง จะมีแนวโน้มถูกนำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา ซึ่งถึงตอนนั้น ผู้กำหนดนโยบายจะเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้น
กองทุนกรุงศรีที่เน้นลงทุนใน S&P500 ได้แก่ KFUSINDX-A
อ้างอิงข้อมูล จาก J.P.Morgan Wealth Management
ข้อมูลกองทุน KFUSINDX-A คลิก :
หากท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือขอดูหนังสือชี้ชวน โปรดติดต่อ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรีจำกัด โทร 0 2657 5757
โฆษณา