6 ก.พ. เวลา 09:01 • ไอที & แก็ดเจ็ต

สรุป Apple Vision Pro ทำอะไรได้บ้าง ? ทำไมคุ้มค่า สำหรับคนรวย

หลายปีที่ผ่านมา เราก้มหน้าเล่นเกมในสมาร์ตโฟน ก้มหน้าทำงานในแล็ปท็อป ก้มหน้าทำหลายอย่างในแท็บเล็ต
แต่ตอนนี้ Apple กำลังสร้างนวัตกรรมใหม่ ที่ทำให้เราไม่ต้องก้มหน้าทำเรื่องพวกนี้ แต่มันจะเกิดขึ้นในสิ่งที่สวมอยู่บนหัวและครอบดวงตาสองข้างของเรา
มันคือสิ่งที่เรียกว่า “Apple Vision Pro”
ประเด็นคือ Apple Vision Pro เปิดราคามา เริ่มต้นที่ประมาณ 122,000 บาท
เห็นราคาแบบนี้ หลายคนคงสงสัยว่า Apple Vision Pro ทำอะไรได้บ้าง ? แล้วมีข้อมูลสำคัญอะไรที่ต้องรู้
1. ของแถมในกล่อง มีอะไรบ้าง ?
ภายในกล่อง Apple Vision Pro มีอุปกรณ์เยอะ คือ
- ผ้าเช็ดรอยที่สลักคำว่า Apple Vision Pro
- ที่รองกรอบหน้า Light Seal Cushion สำหรับผู้ที่ใส่แว่นสายตา
- Dual Loop Band คือ สายที่คาดศีรษะสองส่วน
- Cover หรือ ตัวปิดป้องกันฝุ่น
- คู่มือการใช้งาน เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงใส่คู่มือมาให้
- แบตเตอรี่
- 30W USB-C Power Adapter และสายชาร์จ USB‑C
2. ก่อนเริ่มต้นใช้งาน ต้องวัดใบหน้า วัดค่าสายตา
เนื่องจากการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องไม่ให้มีแสงจากภายนอกเข้ามา
และต้องปรับค่าสายตาให้เหมาะสม ทำให้เวลาซื้อต้องมีการวัดใบหน้าและค่าสายตาก่อน
คือสำหรับใครที่เป็นคนใส่แว่น มีค่าสายตาสั้น ยาว แล้วไม่อยากใส่แว่นตอนสวมใส่ Apple Vision Pro ก็ทำได้
โดยการวัดใบหน้านั้น หากใช้ iPhone อยู่แล้ว สามารถทำการวัดใบหน้าด้วยเซนเซอร์สแกนใบหน้าบน iPhone ได้เลย
โดย iPhone ของเราจะทำการสแกนใบหน้าอย่างละเอียด เพื่อให้ได้กรอบรองหน้าก่อนสวม Apple Vision Pro ที่พอดี
ส่วนการวัดค่าสายตา หากเราเป็นคนสายตาสั้นหรือยาว เราสามารถเลือกใส่เลนส์ค่าสายตาจาก ZEISS เข้าไปใน Apple Vision Pro ได้
โดยเริ่มต้นที่ประมาณ 3,500 บาท ถึง 5,300 บาท (ซึ่งต้องหมายเหตุว่า ราคานี้เป็นราคาค่าใช้จ่ายในสหรัฐอเมริกา)
1
3. การใช้งาน และสั่งการในโลกของ Apple Vision Pro
โดยฟังก์ชันสำคัญ และการสั่งงานในรูปแบบพิเศษหรือน่าสนใจ ก็อย่างเช่น
- ต้องต่อ Apple Vision Pro กับแบตเตอรี่ ทุกครั้งที่ทำการใช้งาน
- เราสามารถเลือกเข้าแอปพลิเคชันที่ต้องการผ่านการ “มองและจีบนิ้ว” แทนการคลิกไปที่แอปพลิเคชันที่ต้องการได้เลย
1
- เมื่อต้องการพิมพ์ สามารถมองที่ตัวอักษรและจีบนิ้วเพื่อพิมพ์ หรือแตะแป้นพิมพ์กลางอากาศได้เลย
- หากต้องการลากหรือขยับแอปพลิเคชัน สามารถใช้ท่าทางจีบนิ้วค้างและขยับ เหมือนการคลิกและเลื่อน เสมือนว่าเรากำลังจับกระดาษเปลี่ยนหน้า
- ฟีเชอร์ Passthrough ที่เชื่อมโยงสองโลกเข้าด้วยกัน
คือการเปลี่ยนโลกจริงให้เป็น “โลกใน Apple Vision Pro” ซึ่ง Apple Vision Pro จะใช้กล้องจับภาพในมุมมองต่าง ๆ เพื่อสร้างโลกที่มีลักษณะเหมือนกับโลกที่เราอยู่
ซึ่งโลกนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหรือรอบ ๆ ตัวเราตอนนั้น
หรือเป็นสภาพแวดล้อม อย่างเช่น ขั้วโลกเหนือ ทะเลทราย ที่ Apple ใส่มาให้เราสามารถเลือกได้ และมีเสียงของสภาพแวดล้อมนั้นด้วย
ทำให้เวลาที่เราใช้งาน เราจะเห็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ได้เช่นเดียวกับโลกจริง เหมือนกับการย้ายไปอยู่ที่ไหนบนโลกก็ได้
โดยในปัจจุบัน Apple จะทยอยใส่พื้นที่บริเวณต่าง ๆ มาให้
4. ฟีเชอร์ ที่ให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในวิดีโอที่บันทึกไว้ได้
1
ฟีเชอร์นี้ อาศัยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Spatial Video หรือวิดีโอเชิงมิติพื้นที่
คือเมื่อแสดงผลใน Apple Vision Pro จะเป็นวิดีโอที่มีขนาดเท่าของจริง และมีมิติรอบ ๆ ที่กว้างขึ้น
คือเหมือนได้เข้าไปอยู่ในช่วงเวลาที่ถ่ายอีกครั้ง
โดยการบันทึกวิดีโอแบบนี้ สามารถทำได้บน iPhone 15 รุ่น Pro และ Pro Max
นอกจากนี้เรายังสามารถรับชมภาพยนตร์แบบ Spatial ได้ โดยในปัจจุบันสามารถรับชมได้จากแพลตฟอร์ม Disney Plus
หมายความว่าเราสามารถรับชมภาพยนตร์ด้วยจอขนาดใหญ่ ตามใจเราต้องการ และเหมือนได้ใกล้ชิด หรือเข้าไปอยู่ในวิดีโอนั้นได้เลย
5. จำลองดวงตาของเรา บนหน้าจอด้านนอก
Apple Vision Pro สามารถจำลองดวงตาของเราออกมาให้คนภายนอกเห็น ผ่านหน้าจอแสดงผลภายนอก
เพื่อให้คนที่เราคุยด้วยในโลกจริง เห็นสายตาเรา ว่ามองอะไรอยู่ หรือบอกความรู้สึกผ่านสายตา
เพื่อช่วยให้การสนทนากับคนอื่นในโลกความจริงเป็นไปได้อย่างปกติ
6. อยู่ในอีกโลกบนตัวตน ที่ชื่อว่า Persona
หากเราประชุมในโปรแกรมต่าง ๆ อย่างเช่น ZOOM คู่สนทนาจะมองเห็นเราเป็น อวทาร์ ที่มีลักษณะคล้ายเรา
โดยใน Apple Vision Pro นั้นเราจะเรียกว่า “Persona” หรือก็คือตัวเราในมุมมองของ Apple Vision Pro
แปลง่าย ๆ ก็เหมือน อวทาร์ ที่เราเห็นในเฟซบุ๊กนั่นเอง
 
7. ทำงานร่วมกับระบบนิเวศ Apple ได้แบบไร้รอยต่อ
ยกตัวอย่างเช่น การทำงานร่วมกันระหว่าง Apple Vision Pro กับ MacBook โดยการส่งออกจอภาพจาก MacBook เข้าสู่ Apple Vision Pro
ทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
เพราะเราสามารถทำงานบนจอขนาดเท่าใดก็ได้ ตามใจเราต้องการ เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยสานต่อจินตนาการของเราให้เข้าใกล้ความสำเร็จ มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันแอปพลิเคชันต่าง ๆ นั้นยังไม่ค่อยมีให้ Apple Vision Pro ได้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Spotify, Amazon และแอปพลิเคชันจาก Google
แต่สรุปภาพรวมฟีเชอร์ทั้งหมดที่ว่ามา แล้วเมื่อบวกด้วย DNA ความพรีเมียมของ Apple แล้ว ก็ดูสมเหตุสมผลกับการตั้งราคา Apple Vision Pro ในระดับ 122,000 บาท
ราคาแบบนี้ คนทั่วไปอาจจะบ่นว่าแพง ไม่ซื้อ
แต่สำหรับคนรวย หลายคนน่าจะบอกว่า
จ่ายราคานี้ แลกกับการได้ใช้นวัตกรรมเท่ ๆ ก่อนคนอื่นแบบนี้ ได้ลองประสบการณ์ล้ำ ๆ แบบนี้ อย่างไรมันก็คุ้ม..
โฆษณา