15 ก.พ. เวลา 07:30 • อาหาร

Baihao Yinzhen - ชาขาวเข็มเงิน น้ำชาของคนที่ตั้งมั่น

ไปห่าวหยินเจิน หรือชาขาวเข็มเงิน เป็นหนึ่งในชาจีนที่ทั้งหายากและน่าลิ้มรสที่สุด โดยมันเป็นชาขาวชนิดเดียวที่ติดอันดับชาจีนที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ และจำนวนของมันคิดเป็นแค่ 0.1% ของชาทั้งหมดที่ผลิตในประเทศจีนเท่านั้น
แต่อะไรกันที่ทำให้มันพิเศษกว่าชาอื่นๆ
ชื่อ “เข็มเงิน” ของชาชนิดนี้ถูกตั้งตามลักษณะเด่นของมัน ยอดของใบอ่อนชาขาวเข็มเงินนั้นจะมีปุยขนอ่อนสีขาวปกคลุม เมื่อรวมกับรูปร่างของใบซึ่งเรียวเป็นแท่งแหลมๆแล้ว ชื่อชาขาวเข็มเงินจึงเหมาะสมกับมันอย่างไม่ต้องสงสัย
ตำนานเล่าขานว่าในสมัยโบราณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งกำลังประสบภัยโรคระบาด ซึ่งเป็นผลมากจากภัยแล้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ซึ่งหนทางที่จะรักษาโรคระบาดนั้น จำเป็นต้องใช้สมุนไพรจากสวรรค์ที่สามารถรักษาได้ทุกโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ชายผู้กล้าจำนวนมากออกผจญภัยเข้าไปในภูเขานั้นเพื่อตามหามัน …แต่ก็ไม่เคยมีใครได้กลับออกมา
ในหมู่บ้านนั้นมีครอบครัวสามพี่น้องอาศัยอยู่ ประกอบไปด้วยพี่ชายสองคน และน้องสาวคนเล็ก พี่ชายคนโตตัดสินใจออกเดินทางตามหาสมุนไพรสวรรค์อันเลื่องชื่อ และก่อนที่เขาจะเริ่มขึ้นภูเขา เขาก็ได้พบกับชายชราคนหนึ่ง (บางตำนานก็เล่าว่าเป็นพญามังกรดำ)
“สมุนไพรที่เจ้าตามหาอยู่บนยอดเขา” ชายชราบอกเขา “แต่เจ้าจะทำสำเร็จ ต่อเมื่อเจ้าไม่หยุดขึ้นภูเขาจนกว่าจะได้พบมัน ห้ามคิดหันหลังกลับเด็ดขาด”
พี่ชายคนโตรับฟังคำเตือนนั้น แต่เมื่อเขาขึ้นไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือหินจำนวนมาก โดยไม่มีวี่แววของสมุนไพรที่ตามหาเลยแม้แต่นิดเดียว และในตอนนั้น เสียงอันน่าสะพรึงก็คำรามออกมาจากหุบเขา “เจ้าอย่าบังอาจก้าวขึ้นมามากกว่านี้นะ!”
ความหวาดกลัวเข้าครอบงำจิตใจพี่ชายคนโต และเขาก็หันหลังกลับเพื่อที่จะล้มเลิกภารกิจ ซึ่งทันใดนั้นเอง ร่างกายของเขาก็ถูกสาปให้กลายเป็นก้อนหิน
ในเมื่อพี่ชายคนโตไม่กลับมาสักที พี่ชายคนรองจึงออกเดินทางขึ้นภูเขาไปอีกคนหนึ่ง …และเขาก็พบชะตากรรมไม่ต่างจากพี่ชายของตัวเอง
สุดท้ายน้องสาวคนเล็กก็ตัดสินใจขึ้นภูเขาตามพี่ชายทั้งสองของเธอ และที่ตีนเขา เธอก็ได้พบกับชายชราคนเดียวกับที่พี่ชายของเธอเจอ
“ห้ามคิดหันหลังกลับเด็ดขาด” ชายชรามอบคำเตือนเหมือนทุกครั้ง
ซึ่งเมื่อน้องสาวคนเล็กขึ้นภูเขาได้ครึ่งทาง เธอก็ได้พบกับก้อนหินมากมาย ซึ่งพี่ชายทั้งสองของเธอก็อยู่ในกลุ่มก้อนหินเหล่านั้นด้วยเช่นกัน และเสียงอันน่าสะพรึงก็คำรามออกมาจากภูเขา “เจ้าอย่าบังอาจก้าวขึ้นมามากกว่านี้นะ!”
แต่น้องสาวคนเล็กจดจำคำเตือนของชายชราได้ เธอจึงตั้งสติและไม่หันหลังกลับตามที่ถูกสั่ง แต่เสียงอันน่าสะพรึงก็ทำให้เธอก้าวขาไปข้างหน้าต่อไม่ไหวเช่นกัน
“กลับไปซะ! กลับไป!” เสียงคำรามมีแต่จะน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ “หันหลังกลับไป!”
“อย่าบังอาจคิดก้าวขึ้นมา-!!!”
เสียงคำรามเงียบลง แต่ไม่ใช่เพราะมันหยุดข่มขู่น้องสาวคนเล็กแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอใช้ก้อนข้าวอุดหูทั้งสองข้างของตัวเอง และวิ่งขึ้นภูเขาโดยไม่สนใจฟังเสียงขู่
จนในที่สุด เธอก็ถึงยอดเขา แล้วพบกับสมุนไพรสวรรค์ซึ่งโตขึ้นข้างบ่อน้ำ เธอนำน้ำจากบ่อข้างๆมารดมัน และดอกก็เริ่มผลิจากต้นสมุนไพรนั้น
หลังจากนั้น เธอก็นำน้ำที่ชงจากสมุนไพรสวรรค์ไปรดบนเหล่าก้อนหินที่เธอเจอระหว่างทาง ทำให้พวกมันกลับคืนสู่สภาพมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง รวมถึงพี่ชายทั้งสองของเธอด้วย
เหล่าคนที่เคยถูกสาปให้เป็นหินต่างก็รู้สึกขอบคุณน้องสาวคนเล็กเป็นอย่างมาก และพวกเขาทุกคนก็ช่วยกันนำเมล็ดจากต้นสมุนไพรสวรรค์กลับไปปลูกที่หมู่บ้าน ไม่นานนักหมู่บ้านซึ่งเคยมีแต่ความแห้งแล้ง ก็เต็มไปด้วยสมุนไพรใบเรียวแหลมที่มีปุยสีขาวคล้ายก้อนเมฆบนสวรรค์
ชาวบ้านจึงขนานนามมันว่า “ต้นชาขาวเข็มเงิน”
ใบอ่อนของต้นชาขาวเข็มเงินจะถูกเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ต่างจากใบชาเขียวที่สามารถนำไปให้ความร้อนได้เลย (ผ่านวิธีการอบไอน้ำหรือคั่วกระทะร้อน เพื่อหยุดการทำงานของเอนไซม์) กระบวนการผลิตชาขาวจำเป็นต้องใช้ความอดทนมากกว่านั้น คล้ายกับน้องสาวคนเล็กในตำนานที่อดทนเดินโดยไม่หันหลังกลับ
ความแตกต่างสำคัญระหว่างชาเขียวกับชาขาวคือการผึ่งใบชา หากมีการนำไปให้ความร้อนก่อนการผึ่ง ชาที่ได้จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นชาขาว การผึ่งใบชาขาวเข็มเงินจะถูกทำทั้งใต้แสงแดดด้านนอกและในห้องควบคุมอุณหภูมิ พวกมันจะถูกนำมาผึ่งบนแผ่นไม้ไผ่ใต้แสงแดด แล้วนำไปเก็บในห้องอุณหภูมิประมาณ 36 องศาเซลเซียสอีกไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง
กระบวนการผึ่งนี้อาจจะฟังดูง่ายดายไม่ซับซ้อน ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆหากไม่สนใจคุณภาพของชาที่ได้ออกมา แต่การผลิตใบชาขาวคุณภาพสูงจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด คล้ายกับที่น้องสาวคนเล็กเชื่อฟังตามที่ชายชราแนะนำก่อนขึ้นภูเขา
หากห้องที่ใช้ผึ่งไม่มีระบบระบายอากาศดีพอ ใบชาจะไม่สูญเสียความชื้นตามที่ตั้งใจไว้ และจะมีรสชาติจืดชืดไม่น่าลิ้มรส แต่หากปล่อยไว้นานเกินไป ใบชาก็จะมีสีน้ำตาลผิดปกติ หรือถ้าไม่ระมัดระวังในตอนเก็บ มันจะกลายเป็นสีแดง แถมหากถูกวางทับกันมากเกินไปในขั้นตอนผึ่ง มันก็อาจจะเปลี่ยนเป็นสีดำได้อีกด้วย
หลังจากผึ่งสำเร็จแล้ว ใบชาขาวเข็มเงินก็จะนำมาทำให้แห้งด้วยวิธีรมควัน และอีกหนึ่งขั้นตอนพิเศษสำหรับการผลิตชาขาวชนิดนี้ คือการบรรจุผลิตภัณฑ์ทันทีที่รมควันเสร็จ โดยที่ใบชานั้นต้องยังมีความร้อนอยู่ เพื่อที่จะรักษารูปทรงเข็มอันเป็นเอกลักษณ์ของมันไว้ หากบรรจุในตอนที่มันเริ่มเย็นลงแล้ว ใบชาขาวเข็มเงินจะแตกหักได้ง่ายระหว่าการบรรจุ
เมื่อนำไปชงในน้ำร้อนแล้ว ใบชาขาวเข็มเงินจะลอยขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆจมลงไปสู่ด้านล่างเมื่อมันดูดซับน้ำเข้าไปมากขึ้น ทำให้มีคนเปรียบเทียบลักษณะของมันกับหินย้อย
การดื่มชาขาวนั้นมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง หรือมากกว่าหนึ่งพันปีก่อน และขั้นตอนการผลิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชาขาวก็มีการจดบันทึกตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง แต่การผลิตเพื่อนำมาค้าขายธุรกิจนั้นเริ่มต้นในสมัยราชวงศ์ชิง หรือในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
ปัจจุบันแหล่งผลิตชาขาวเข็มเงินที่มีชื่อเสียงคือที่ฝูติ้งกับเจิ้งเหอ มณฑลฝูเจี้ยน(ฮกเกี้ยน) มณฑลชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน เนื่องจากบริเวณนั้นอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนต่างกันมาก ในตอนกลางวันใบชาจะผลิตสารต่างๆเช่นกรดอมิโนกับคาร์โบไฮเดรตจากแสงแดดอันร้อนแรง และเก็บสารที่ผลิตไว้ได้มากเนื่องจากตอนกลางคืนมีอุณหภูมิต่ำ ทำให้เมตาบอลิซึมที่เผาผลาญสารเหล่านั้นต่ำด้วยเช่นกัน
ยิ่งอยู่บนยอดเขาสูง ความต่างของอุณหภูมิระหว่างวันก็ยิ่งมาก ทำให้ใบชาขาวเข็มเงินบนนั้นมีสารต่างๆอยู่ในใบเยอะ รสชาติจึงออกมาหอมอร่อยเข่นกัน (อาจจะเป็นเหตุผลที่สมุนไพรสวรรค์ในตำนานถึงพบได้บนยอดเขาเท่านั้นก็เป็นได้)
ถึงจะผลิตได้น้อย เนื่องจากมีแหล่งใบชาคุณภาพเพียงไม่กี่ที่ กับกรรมวิธีการผลิตที่ผิถีผิถัน แต่ชาขาวเข็มเงินก็ยังเป็นที่นิยมในบรรดาผู้รักชาจีน ถึงจะต้องใช้ความพยายามในการหาซื้อ แต่ก็คุ้มค่าเมื่อได้ลิ้มรสอันหอมหวลของมัน
สมกับเป็นสมุนไพรสวรรค์ในตำนาน ที่ต้องตั้งมั่นอย่างแรงกล้าถึงจะหาพบ
โฆษณา