17 ก.พ. เวลา 16:46 • ปรัชญา
เรื่องงานศพ เค้าจัดงาน ทำบุญส่งบุญกุศลให้จิตที่ออกจากร่าง มันเคยมีเรื่ิองหนึ่ง มีลูกน้อง ที่มันก็รู้ว่าเรามีมีเวลาว่าง เราก็ไปนั่งสมาธิ มีอยู่วันหนึ่ง เรานั่งสมาธิของเรา ก็มีเสียงทุบประตูห้อง โครมคราม
เราก็ถอนสมาธิ มาเปิดประตูห้อง มาก็ทำเสียง ตะคอก ..ว่า ผมไม่เซื่อหรอก ตายแล้วไปเกิดใหม่ มีแต่ตายแล้วสูญทั้งนั้น ..เราก็เลยบอกว่า ..เออ..ดี จำไว้..เวลา พม…มึงตาย มึงทำเหมือนหมูเหมือนหมาไป ไม่ต้องทำอะไรหรอก ไม่ต้องมีพิธี นิมนต์พระสวดอะไรหลอก แล้วมึงก็จำคำพูดมึงไว้ให้ดี ..ทำแบบที่มึงเชื่อแหละ .เวลา พม..มึงตาย
พอวันรุ่งขึ้น มามาเค้าประตูอีก บอกว่า ผมขอโทษ เมื่อคืนนี้เมาไปหน่อยครับนี่แม่ผมเพิ่งเสีย ก่อนมาลงเรือสามเดือนนี้เอง .แล้วมันก็หยิบสายสร้อย ที่มีกรอบพลาสติใส่กระดุกแม่ให้ดู ..
เรื่องการทำบุญงานศพ เมื่อก่อนเราก็คิดแบบนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เสียเงินทองมากมาย ..พอเราได้เห็นได้รับรู้ จิตวิญญาณที่ออกจากร่างบ้าง .ที่เค้าเรียกว่า เค้าให้โอกาสรับบุญกุศล จากญาติพี่น้อง ทำส่งให้ ..หากเราไม่ได้เห็นสัมผัสไม่ได้ ..เราก็คงคิดแบบเดิม พอสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้
เราก็ค่อยเรียนรู้มากขึ้น ไปงานศพเพื่อนแถวบางนา ..ระหว่างที่ฟังพระสวดงานเพื่อน ..ก็มีผู้หญิง ก้มยกเมื่อไหว้ กระซิบพร้อมชี้มือไปข้างหลัง พูดว่า ..กำลังเผาอยู่ๆ เห็นเสื้อผ้าชัดเจน..พอพระสวดจบแรกเราก็ไปยืนดูหน้าเมรุ จบที่สองก็ไปดูอีก ก็พอดีคนมาหันรูป..มาทางหน้าเมรุ ก็เลยได้เห็น รูกคนตายเสื้อผ้าที่เค้าใส่ เค้าก็ให้เห็นเหมือนในรูป
จิตบางดวง ..จิตออกจากร่าง ก็เหมือนอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ตัวว่าตาย ..นึกถึงคนนั้นคนนี้ ก็ไปถึงเลย มีรายหนึ่งตาย ..ก็คุยกันกับนอนที่ ว่าจะไปงานศพ พอเอ่ยชื่อคนตาย ไอ้น้องนั้นก็หยิบหน้ากากอนามัยมาสวมใส่ ..ขึ้นรถไปงานศพมันก็นั่งหลับ สั่นกระดุกกระดิก ไปตลอดทาง .พอลงจากรถ..น้องคนนี้ถึงค่อยกับมาเป็นคนเดิม บางเรื่อง จิตของคนตายก็รับบุญไม่ได้ ..เพราะตอนเป็นคนมีชีวิตอยู่ เห็นพระเห็นเครื่องหมายของธรรมก็ไม่รู้จัก .ในงานศพก็เดินทักทายคนนั้นคนนี้ แต่ไม่มีใครคุยด้วย เพราะไม่มีสังขารพูดให้คนได้ยิน ..เป็นสภาพนามธรรม
เรื่องราวบุญกุศล.จิตที่ออกจากร่าง เค้าให้โอกาสรอรับบุญ ประมาณเจ็ดวัน ..แต่ก็เอาแน่นอนไม่ได้ บางคนจิตออกจากรูปปุ๊บ เป็นเปรตเลย .เค้าก็อยากได้บุญกุศล เรื่องพวกนี้แล้วแต่ใครจะคิด..ส่วนเรา ตอนแม่เสีย ..เราทำของเราเต็มที่ แม้ยกผ้าไตร วางหน้าเมรุ ก่อนเผา เราก็ขอทำเอง..ผ้าไตรที่จะเอาไปถวายทำพิธีหน้าเมรุ เราก็เอาไปถวายพระ กรวดน้ำของเรา แล้วก็ขอลาไปไปทำพิธี ตามประเพณี ..
เวลาถวายของตอนพระสวด เราก็ขอไปร่วมถวาย เพราะกายเรามีกายพ่อแม่ให้เราอาศัย เราก็ระลึกเอากายแม่ไปทำถวายของ ให้ธาตุนะโม ของแม่ส่งบุญกุศลให้แม่ของเรา พี่ชายจะให้แต่แขก เร่ไม่ยิมนี่มันงานแม่เราเอง เราเป็นลูกขอถวายขอให้พระเอง
1
มีอยู่รายหนึ่ง ..เค้าจัดพิธี ให้แขกมางาน หันหน้าเข้าหาโลง จัดดอกไม้สวย ..ตอนที่พระสวดให้พร เค้าก็ทำตัวเบา มีวิชาตัวเบา .ลอยอยู่เหนือโลง .เอามือยืดออกมาจับที่มือเรา ..นีี่เราก็รู้ได้ว่าพระที่มาสวด ท่านไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมเลน ..เมื่อทำบุญส่งให้คนตายครั้งสุดท้าย เราก็ควรส่งบุญกุศลดีๆให้เค้า แล้วก็ขออโหสิกรรมกันไป ไม่รู้ว่า อีกยาวนานแค่ไหน จะเจอกัน ..หากเจอกันก็ขอให้เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อมัน อย่ามาเป็นศัตรูกันเลย
เคยไปงานศพที่วัดหนึ่ง จิตวิญญาณที่อยู่ในวัด ก็มายืนติดกับพระที่สวด เป็นแถวยาว เพราะอยากจะได้บุญกุศล อีกวัดหนึ่งมายืนกันเป็นระเบียบ เหมือนทหารจัดแถว ตัวดำๆทั้งนั้น เพราเค้าอยากจะได้บุญ ส่วนอีกที่หนึ่ง มากันเต็มศาลา นั่งพับเพียบตัวตรง เอาดาบวางของตัว พนมมือตัวตรง ..เรื่องบุญกุศล นั่นจิตที่เป็นนามธรรมเค้าต้องการ แลัวก็มีแต่มนุษย์ที่จะทำขึ้นมาได้
ที่เขียนมานี่ มันเรื่องเล่า เรื่องจริงๆต้องไปทำเอง คือ ให้จิตรับรู้เรื่องโลกวิญญาณบ้าง ว่า บุญนั้นมีความสำคัญอย่างไร แต่นั่นแหละ มันอยู่ที่แต่ละคน ..เพราะมันทำได้ แต่ตอนเป็นมนุษย์
โฆษณา